สิริพจน์ มาโนช ชูยุทธศาสตร์ปรับลุคเอกชล - Forbes Thailand

สิริพจน์ มาโนช ชูยุทธศาสตร์ปรับลุคเอกชล

การเบนเข็มเส้นทางของมัณฑนากรหนุ่มอนาคตไกลสู่เบื้องหลังการวางยุทธศาสตร์ธุรกิจโรงพยาบาลของครอบครัวอายุกว่า 43 ปี ให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของคนชลบุรี และขยายฐานผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น ด้วยความเข้มแข็งของบุคลากรและนวัตกรรมระดับโลก เพิ่มความสามารถการแข่งขันและการเติบโตอย่างยั่งยืน


    ภาคต่อของโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกในจังหวัดชลบุรีที่ต้องปรับตัวฝ่าวิกฤตความเปลี่ยนแปลงและกระแสการแข่งขันที่ถาโถมรอบด้าน โดยคลื่นลูกใหม่ที่มีความตั้งใจรับภารกิจยกระดับการให้บริการของโรงพยาบาลในฐานะทายาทธุรกิจ ด้วยความพร้อมเริ่มต้นเรียนรู้จากศูนย์ ทั้งการศึกษาเฉพาะทางและการฝึกอบรมจนสามารถขยับตำแหน่งและสร้างผลงานพิสูจน์ความตั้งใจจริงในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตข้ามผ่านความท้าทายสู่โอกาสการขยายฐานผู้ใช้บริการให้ครอบคลุมทุกความต้องการในฐานะโรงพยาบาลของชาวชลบุรี

    “คุณตาของผมทำธุรกิจสวนปาล์มยูนิวานิชที่ภูเก็ต เพื่อนสนิทของคุณตาเป็นหมอจึงมาชวนคุณตามาเปิดโรงพยาบาลที่ชลบุรีเพราะเล็งเห็นการเติบโตของจังหวัด และมองว่าน่าจะมีโรงพยาบาลเอกชนมาดูแลสุขภาพของชุมชนชลบุรี ซึ่งช่วงแรกคุณหมอที่เป็นกลุ่มเพื่อนคุณตาเป็น CEO”

    “หลังจากนั้นคุณตาก็ส่งคุณแม่ไปเรียนเรื่องการบริหารโรงพยาบาลโดยตรงที่ต่างประเทศกลับมาเป็น CEO และนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อระดมทุนขยายโรงพยาบาลเอกชล 2 รับผู้ป่วยประกันสังคมที่มีจำนวนมาก จนกระทั่งการแข่งขันรุนแรงจากที่เราดำเนินกิจการมาเรื่อยๆ ก็ต้องปรับตัวนำเรื่องระบบคุณภาพต่างๆ เข้ามาและวางกลยุทธ์ธุรกิจ”

    สิริพจน์ มาโนช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายยุทธศาสตร์องค์กร บริษัท โรงพยาบาลเอกชล จำกัด (มหาชน) หรือ AHC เล่าถึงการก่อตั้งธุรกิจโรงพยาบาลเอกชลบนถนนพระยาสัจจา อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี เอกพจน์ วานิช นำชื่อแรกรวมกับชื่อของจังหวัด ซึ่งเริ่มต้นให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ปี 2524 และแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2535 รวมถึงขยายกิจการและจัดตั้งสาขาเพิ่มเป็นโรงพยาบาลเอกชล 2 ในบริเวณใกล้เคียงกันที่ถนนอ่างศิลา อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรีในปี 2549



    สำหรับในปัจจุบันโรงพยาบาลเอกชลและโรงพยาบาลเอกชล 2 ดำเนินธุรกิจหลักเกี่ยวกับการให้บริการรักษาพยาบาลครบวงจร ทั้งด้านการให้บริการป้องกันโรค รักษาโรค ส่งเสริมสุขภาพและฟื้นฟูสุขภาพ ซึ่งเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง โดยสามารถขยายจำนวนเตียงเพิ่มจากระยะแรกที่เปิดรองรับผู้ป่วยจำนวน 80 เตียงเป็น 310 เตียง และคลินิกเฉพาะทางหลายสาขา พร้อมคลินิกเครือข่ายให้บริการผู้ประกันตน ซึ่งมีผู้ประกันตนจำนวน 124,821 รายในปี 2565 และกลุ่มผู้รับบริการทั่วไปประเภทเงินสด ประกันชีวิต พ.ร.บ. และกองทุนเงินทดแทนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    “ผมเกิดหลังจากโรงพยาบาลประมาณ 2 ปี คุณพ่อคุณแม่ให้อิสระในการเรียนเต็มที่ ทำให้ความฝันวัยเด็กไม่เคยคิดเรื่องโรงพยาบาลเลย รวมถึงผมชอบวาดรูปตั้งแต่เด็กจึงเรียนด้านการออกแบบและทำงาน interior design ที่ New York ซึ่งได้ทำโปรเจกต์ใหญ่ๆ ทั่วโลก เช่น ร้านอาหารมิชลินที่ New York, Shangri-La ที่ Beijing”

    “โดยรวมเวลาเรียนและทำงานในอเมริกา 8 ปีจึงกลับเมืองไทยในปี 2557 เพื่อรับงานฟรีแลนซ์ด้านออกแบบและพาร์ตไทม์งาน interior design กับบริษัทสิงคโปร์ ซึ่งระหว่างนั้นคุณแม่ส่งให้เราลองไปฟังเรื่องการเตรียมตัวขอมาตรฐาน JCI ทำให้เราสนใจเข้ามาช่วยธุรกิจครอบครัวทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ”

    สิริพจน์เล่าถึงจุดเปลี่ยนเส้นทางชีวิตที่เบนเข็มจากนักออกแบบใน New York ดีกรีปริญญาโท Master of Fine Arts in Lighting Design (MFALD) Parsons School of Design สหรัฐอเมริกา และพื้นฐานปริญญาตรี สาขาวิชาออกแบบตกแต่งภายใน คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร สู่การทำงานในธุรกิจโรงพยาบาลอย่างเต็มตัว

    สิริพจน์ได้เข้ามามีส่วนร่วมยกระดับการให้บริการสำหรับโรงพยาบาลตามการชักชวนของ ดร.พจนา มาโนช ซึ่งเป็นมารดาและนั่งเก้าอี้ซีอีโอในเวลานั้นมอบหมายให้เข้ามาช่วยดูแลเรื่อง facilities management ของโรงพยาบาล จนกระทั่งเป็นโรงพยาบาลแรกในจังหวัดชลบุรีที่ได้รับมาตรฐาน Joint Commission International (JCI) ซึ่งเป็นองค์กรสากลจากประเทศสหรัฐอเมริกาที่ตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยในปี 2558 และยังได้รับการรับรองต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 3 ในปัจจุบัน


เปิดเกมรุกยกระดับ รพ.

    ภายใต้การบริหารงานของสิริพจน์ที่ให้ความสำคัญกับการวางกลยุทธ์เพิ่มความสามารถการแข่งขัน การขยายฐานลูกค้าในวงกว้าง และการวางแผนเพิ่มบริการเฉพาะทาง เพื่อขยายศักยภาพการดูแลรักษาและตอบสนองความต้องการครอบคลุมผู้ใช้บริการทุกเพศวัย รวมถึงการปรับโครงสร้างระบบปฏิบัติการรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ พร้อมยกระดับการเป็น smart hospital ด้วยความมุ่งมั่นรักษามาตรฐานคุณภาพทางการแพทย์และการบริการที่สร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ใช้บริการ และรักษาอัตราการเติบโตธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

    “เราต้องยอมรับว่าเราไม่ใช่แบรนด์ใหญ่ แต่เป็นแบรนด์ท้องถิ่นขนาดเล็กในชลบุรี ถ้าเราตามเขาคงไม่ไหว แต่ถ้าทำแบบเดิมก็สู้คู่แข่งไม่ได้ ดังนั้น เราต้องทบทวนตัวเองและพยายามหาสิ่งที่เป็นตัวเราด้วยการกลับมาที่จุดประสงค์แรกของคุณตาที่ต้องการเป็นโรงพยาบาลของชุมชนชลบุรี”


    สิริพจน์กล่าวถึงนโยบายการสร้างเครือข่ายพันธมิตรระหว่างโรงพยาบาลทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยช่วงปลายปีที่ผ่านมาได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านศัลยกรรมตกแต่งและความงามกับ ID Hospital ซึ่งเป็นโรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งระดับท็อป 5 ของประเทศเกาหลีใต้ที่ได้รับการรับรองจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขแห่งเกาหลีใต้ โดยมีชื่อเสียงในกลุ่มคนไทยจากรายการ Let Me In

    นอกจากนั้น สิริพจน์ยังเล็งเห็นโอกาสจากความก้าวหน้าทางการแพทย์ ซึ่งได้มีการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่เกี่ยวกับชีววิทยาระดับโมเลกุล (genetics) หรือ precision medicine ในการตรวจวินิจฉัยเพื่อให้เกิดความแม่นยำและสามารถพยากรณ์โรคได้มากขึ้น รวมถึงช่วยให้แพทย์สามารถเลือกรูปแบบการรักษาที่เหมาะสมที่สุด โดยมุ่งเน้นความร่วมมือกับบริษัทที่มีความแข็งแกร่งเฉพาะด้านในต่างประเทศเพิ่มการให้บริการอย่างครบวงจร เช่น การตรวจยีน วิเคราะห์ความเสี่ยงจากพันธุกรรม

    “เรากำลังคุยกับบริษัท top 3 ของไต้หวัน ภายใต้ BenQ Medical มีบริษัทลูกชื่อ K2 Medical ซึ่งมีผลิตภัณฑ์หลายอย่าง ถ้าในเชิงทางการแพทย์มี TCIG เป็นตัวตรวจ genetics เรื่องโรคที่มีความเสี่ยงจากพันธุกรรมด้วยการ swab ทางปากแบบการตรวจ DNA และตรวจได้ถึง 58 โรค ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ มะเร็ง เบาหวาน ซึ่งสอดคล้องกับ wellness ทำให้คนปรับพฤติกรรมดูแลตัวเองเมื่อรู้ว่ามีความเสี่ยงจากมรดกพันธุกรรมที่ได้รับ” สิริพจน์เล่า

    “รวมถึงอีกบริษัทของ K2 Medical ชื่อ B&M จำหน่ายผลิต-ภัณฑ์ออร์แกนิกตั้งแต่การปลูกสมุนไพรในฟาร์มของตัวเอง ห้องแล็บสกัด วิเคราะห์ และผลิตเอง เช่น โฟมล้างหน้า ครีม ยาสระผม ภายใต้แบรนด์ NHH นอกจากนั้น เรายังเซ็นสัญญา MOU กับบริษัท Tempus ของอเมริกาเรื่อง precision medicine โดยเจาะเลือดและตัดชิ้นเนื้อเซลล์มะเร็งของคนไข้ส่งไปอเมริกาเพื่อวิเคราะห์หายาคีโมที่ได้ผลที่สุดในการรักษาแบบเฉพาะเจาะจง”

    ขณะเดียวกันโรงพยาบาลยังให้ความสำคัญกับการทำตลาดผู้ป่วยสิทธิประกันสุขภาพ สิทธิทั่วไป และกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ เนื่องจากกลุ่มดังกล่าวมีอัตราการซื้อประกันสุขภาพ ประกันอุบัติเหตุ และประกันกลุ่มเพิ่มจำนวนมากขึ้นในทุกปี โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มเด็กซึ่งมีอัตราการครองเตียงสูงที่สุดในปี 2566 รวมถึงมาตรการของภาครัฐที่สนับสนุนการเร่งพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติได้ดึงดูดชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพกันมากยิ่งขึ้น

    นอกจากนั้น โรงพยาบาลเอกชล 2 ยังได้ขยายโควตาผู้ประกันตน 130,000 ราย พร้อมมอบสิทธิพิเศษสำหรับผู้ประกันตนและครอบครัว โดยมุ่งเน้นการทำตลาดกลุ่มข้าราชการ กลุ่มบริษัทคู่สัญญา สปสช. ประกันสังคม และสิทธิร่วมต่างๆ ในกลุ่มแรงงานภาคตะวันออก ซึ่งสอดคล้องกับการขยายตัวในเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษพื้นที่ภาคตะวันออก Eastern Economic Corridor (EEC) รวมถึงลูกค้าต่างชาติกลุ่ม CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) เพื่อรองรับการรักษาพยาบาลของจำนวนแรงงานกลุ่มนี้ในจังหวัดชลบุรีที่เพิ่มขึ้นทุกปีให้สามารถเข้าถึงผู้รับบริการได้หลากหลายระดับมากขึ้น


เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : Personalized Marketing การตลาดแบบเจาะจงความต้องการของลูกค้า

คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนเมษายน 2567 ในรูปแบบ e-magazine