จากแนวโน้มการลงทุนที่มีความผันผวนเพิ่มมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา การลงทุนควรมีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ทั้งด้านโอกาส ความเสี่ยง และความเข้าใจของนักลงทุน แม้ว่าตลาดหุ้นประเทศกำลังพัฒนาจะมีปัจจัยเสี่ยงอยู่บ้าง แต่ก็ได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ทรงตัว และราคาหุ้นที่ยังไม่แพงเกินไปนัก
ภาพรวมการลงทุนตั้งแต่ต้นปี
ตั้งแต่ต้นปีเราเห็นภาพการลงทุนที่มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไป ช่วงต้นปีตลาดมีมุมมองที่เป็นบวกต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดี Trump ที่คาดว่าจะส่งผลต่ออัตราการเจริญเติบโตและแนวโน้มเงินเฟ้อ จนทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้น อัตราดอกเบี้ยระยะยาวสูงขึ้น และเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น แต่ในช่วงปลายไตรมาสหนึ่งต่อเนื่องต้นไตรมาสสอง แนวโน้มเชิงบวกจาก “Trump Trade” เริ่มชะลอลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อความหวังในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลังของสหรัฐฯ เริ่มถูกตั้งคำถาม เมื่อประธานาธิบดี Trump ไม่สามารถผลักดัน ร่างกฎหมาย healthcare ได้ ทั้งๆ ที่เป็นนโยบายสำคัญตอนหาเสียงเลือกตั้ง ทำให้ตลาดสงสัยว่าการปฏิรูปภาษี (ซึ่งเป็นความหวังสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และจะเป็นผลดีโดยตรงกับตลาดหุ้น) อาจจะล่าช้าออกไป หรือไม่สามารถถูกผลักดันได้ตามที่ตลาดคาดไว้ก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ ประเด็น ความเสี่ยงเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ก็เริ่มปะทุขึ้นเมื่อสหรัฐฯ เริ่มโจมตีฐานที่มั่นทางการทหารของรัฐบาลซีเรีย หลังจากมีการใช้อาวุธเคมี นอกจากนั้น ความตึงเครียดกับเกาหลีเหนือก็เพิ่มมากขึ้นด้วย การเลือกตั้งในหลายๆ ประเทศในยุโรป และกระบวนการเจรจาของสหราชอาณาจักรเพื่อถอนตัวจากสหภาพยุโรปยังเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับภูมิภาคยุโรปด้วย
อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ซึ่งเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังพัฒนาเป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลก ราคาสินค้าโภคภัณฑ์รวมถึงราคาน้ำมันที่ฟื้นตัวทำให้ความเสี่ยงด้านลบของประเทศกำลังพัฒนาเริ่มมีน้อยลง
แนวโน้มการลงทุนไตรมาสสาม
การลงทุนในไตรมาสที่สาม และช่วงที่เหลือของปีอาจจะเต็มไปด้วยความผันผวน ทั้งจากปัจจัยเสี่ยงด้านลบและด้านบวกที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

ตลาดหุ้นประเทศกำลังพัฒนามีความน่าสนใจมากขึ้น
ในระยะสั้น ผมมองว่าตลาดหุ้นประเทศกำลังพัฒนามีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้น ตลาดหุ้นประเทศกำลังพัฒนาเหล่านี้ ได้แก่- ตลาดหุ้นกลุ่มประเทศละตินอเมริกา (เช่น บราซิล เม็กซิโก ชิลี) ที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ และเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้นในระยะหลังๆ
- ตลาดหุ้นกลุ่มยุโรปตะวันออกและแอฟริกา (เช่น รัสเซีย ตุรกี แอฟริกาใต้) ที่พึ่งพาราคาน้ำมันและเศรษฐกิจภายในประเทศค่อนข้างมาก
- ตลาดหุ้นของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย (เช่น จีน อาเซียน อินเดีย เป็นต้น) ที่ได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจโลกที่มีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้น และเสถียรภาพที่ปรับตัวดีขึ้นของภาคการเงินของจีน (แม้ว่ายังมีความเสี่ยงอยู่ก็ตาม)
แต่การลงทุนในประเทศกำลังพัฒนาก็ยังมี ความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของนโยบายทางการค้า ความเสี่ยงจากความเปราะบางของภาคการเงินในจีน ความเสี่ยงจากการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยของประเทศที่พัฒนาแล้วที่มักนำไปสู่ความผันผวนของการเคลื่อนย้ายเงินทุนและความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่มักมีความสำคัญต่อประเทศกำลังพัฒนา
ผมเชื่อว่าในระยะสั้นความเสี่ยงเหล่านี้น่าจะยังมีไม่มากนักสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นประเทศกำลังพัฒนา อย่างไรก็ดีปัจจัยเหล่านี้ก็เป็นปัจจัยที่นักลงทุนต้องติดตามเพราะจะส่งผลกระทบต่อการลงทุน
แม้ว่าเราจะมีมุมมองที่เป็นบวกกับประเทศกำลังพัฒนา สำหรับนักลงทุนที่เลือกกระจายการลงทุนไปยังตลาดหุ้นต่างประเทศ ผมคิดว่าไม่ควรมีกองทุนหุ้นประเทศกำลังพัฒนามากจนเกินไป แต่ควรกระจายการลงทุนไปยังหุ้นในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว (เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตลาดหุ้นยุโรป ตลาดหุ้นญี่ปุ่น) เพราะผมเชื่อว่าความผันผวนของตลาดหุ้นประเทศกำลังพัฒนามีมากกว่า ทั้งนี้ นักลงทุนอาจเลือกกองทุนเฉพาะแต่ละภูมิภาค หรือกองทุนตลาดหุ้นทั่วโลก เพื่อเป็นแกนหลักในพอร์ตและเลือกซื้อกองทุนหุ้นของประเทศกำลังพัฒนาเพิ่มเติมได้
พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าทีมวิจัยลูกค้าบุคคล
บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน)
คลิกอ่าน "โอกาสการลงทุนตลาดหุ้นในประเทศกำลังพัฒนา" ฉบับเต็ม ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ มิถุนายน 2560 ในรูปแบบ e-Magazine

