Bitcoin ยังไม่ใช่เงิน (ในตอนนี้) - Forbes Thailand

Bitcoin ยังไม่ใช่เงิน (ในตอนนี้)

บิตคอยน์เป็นขวัญใจคนใหม่ของบรรดานักลงทุนมูลค่าของบิตคอยน์ทะยานขึ้นจาก 5,000 เหรียญสหรัฐฯ ในเดือนมีนาคม 2020 เป็นกว่า 40,000 เหรียญ ก่อนที่มูลค่าจะตกลง แฟนพันธุ์แท้พากันทำนายว่า มูลค่าจะพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องและแตะที่ 100,000 เหรียญ หรือมากกว่านั้น

  • อย่างไรก็ตาม บิตคอยน์ก็ยังไม่สามารถเป็นตัวแทนของเงินดอลลาร์ได้ในขณะนี้
ผู้คนแห่แหนเข้าลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้ เนื่องจากขาดความเชื่อมั่นในสกุลเงินของภาครัฐ ธนาคารกลางสหรัฐฯ และธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง และกำลังพิมพ์ธนบัตรมูลค่ามากมายเกินจินตนาการ เพื่อใช้จ่ายไปกับมาตรการบรรเทาผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 และกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับความเสียหาย ในปัจจุบันบิตคอยน์และเงินคริปโตฯ อื่นๆ จัดว่าเป็นเครื่องมือในการลงทุนซึ่งเป็นที่ยอมรับ และสถาบันการเงินต่างๆ ก็กำลังเพิ่มการลงทุนในบิตคอยน์เข้าในพอร์ตของตน ผู้คลั่งไคล้ในสินทรัพย์ประเภทนี้กล่าวว่า บิตคอยน์เป็นเหมือนกับทองคำชนิดใหม่ และจะสามารถแทนที่เงินดอลลาร์ได้ในที่สุด โปรดใจเย็นสักนิด! ไม่ว่าคุณจะมองว่าบิตคอยน์เป็นอะไร แต่บิตคอยน์ไม่ใช่เงินอย่างแน่นอน เราใช้เงินในการซื้อสินค้าและบริการ ในบางคราวเงินดอลลาร์เป็นเหมือนกับใบรับรถยนต์หรือเสื้อคลุม หรือบัตรผ่านประตู แต่เราสามารถใช้เงินดอลลาร์ในการซื้อหรือขายทุกสิ่งทุกอย่างได้ เงินตราจะทำหน้าที่ได้ดีที่สุดก็ต่อเมื่อมีมูลค่าที่แน่นอน ถึงแม้ว่าจะมีผู้ค้าหลายรายที่เต็มใจรับเงินคริปโตฯ อย่างบิตคอยน์ หากแต่เงินคริปโตฯ ก็จะยังคงเป็นสิ่งลึกลับอยู่จนกว่าจะมีมูลค่าคงที่ สัญญาเป็นสิ่งที่สำคัญต่อภาคเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นสัญญาเพื่อการเช่าซื้อรถ การซื้อประกันหรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน ไม่มีผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์คนใดจะทำสัญญาระยะยาว โดยอิงกับบิตคอยน์ถ้าหากคุณกู้เงิน แบบจดจำนองในยอด 250,000 เหรียญจากธนาคารเมื่อเดือนมีนาคม 2020 ในวันนี้คุณจะเป็นหนี้มากถึงเกือบ 2 ล้านเหรียญ เนื่องจากบิตคอยน์มีมูลค่าผันผวนเป็นอย่างยิ่ง วันหนึ่งเป็นเหมือนกับเนื้อสเต๊ก อีกวันหนึ่งกลายเป็นอาหารสุนัข และเปลี่ยนเป็นคาเวียร์ในวันต่อมา ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของบิตคอยน์ก็คือ อุปทานที่มีอยู่อย่างจำกัด เราไม่สามารถเพิ่มจำนวนของบิตคอยน์ได้ หากแต่การเพิ่มอุปทานของเงินต้องสามารถทำได้เพื่อตอบสนองความต้องการของเศรษฐกิจที่กำลังขยายตัว ในช่วงปี 1775-1990 เมื่อสหรัฐฯ เปลี่ยนผ่านจากประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจแบบพื้นฐานที่อิงภาคเกษตรกรรมเป็นหลักไปเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก อุปทานของเงินดอลลาร์เพิ่มขึ้นถึง 160 เท่า การที่เงินคริปโตฯ จะสามารถแข่งขันกับเงินสกุลต่างๆ ที่ใช้กันอยู่อย่างจริงจังได้นั้น สินทรัพย์ประเภทนี้จะต้องใช้ง่ายเหมือนกับเงินตราในปัจจุบัน และจะต้องมีค่าคงที่โดยที่มูลค่าผูกติดกับทองคำหรือของมีค่าอย่างเงินฟรังก์สวิส เพื่อให้สามารถใช้ในการทำนิติกรรมสัญญาได้ ถ้าหากว่าไม่สามารถตอบโจทย์ทั้งสองข้อนี้ได้ เงินคริปโตฯ ก็ไม่สามารถเป็นตัวแทนของเงินดอลลาร์ หรือสกุลเงินที่ตราขึ้นโดยรัฐบาลของประเทศต่างๆ ได้อย่างแท้จริง เงินคริปโตฯ ที่สามารถใช้ในเชิงพาณิชย์ได้จะกลายเป็นความผิดพลาดมหันต์ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ปั๊มเงินส่วนเกิน โดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เพื่อใช้เป็นงบประมาณในโครงการบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาต่างๆ ที่มีค่าใช้จ่ายสูง และร่างงบประมาณวงเงินมหาศาลที่จะมีขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้หมายถึงบิตคอยน์ เนื่องจากบิตคอยน์มีจำนวนจำกัดตามที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว อุปทานของเงินฟรังก์สวิสนั้นมีมาก เนื่องจากเงินสกุลนี้ได้รับการยอมรับจากตลาดโลกว่ามีความน่าเชื่อถือ โดยค่าเงินฟรังก์สวิสมีเสถียรภาพมากกว่าค่าเงินสกุลอื่นๆ ทั่วโลกตลอดระยะเวลากว่า 1 ศตวรรษที่ผ่านมา  
  • ความผิดพลาดใหญ่หลวงของบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ยักษ์
เมื่อพูดถึงการเซ็นเซอร์ บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่กำลังทำพลาดมหันต์ Twitter และบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่อื่นๆ กำลังพยายามอย่างหนักที่จะควบคุมหรือหยุดยั้งการแสดงความคิดเห็นแนวอนุรักษนิยมเป็นเวลานานหลายปีมาแล้วที่บรรดาบริษัทเหล่านี้ได้ขัดขวาง หรือบางครั้งก็ปิดกั้นการโพสต์แสดงความคิดเห็นของฝ่ายขวา หรือพวกอนุรักษนิยม Tyumen, Russia - January 21, 2020: TikTok and Facebook, YouTube application on screen Apple iPhone XR ทุกวันนี้ หลังเหตุการณ์อันน่าตื่นตระหนกที่กลุ่มผู้ชุมนุมบุก Capitol Hill ยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยีเหล่านี้ได้กำจัดสิทธิ์การเรียกร้องความเป็นกลางทั้งหมดทั้งมวล สิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็คือ พวกเขาปิด Parler ซึ่งเป็นคู่แข่งรายใหม่ของ Twitter ผู้ทรงอิทธิพลซึ่งบริหาร Twitter, Facebook, Amazon และบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ ต่างก็อ้างความชอบธรรมว่า พวกเขาต่อต้านการปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรง ซึ่งเป็นข้ออ้างที่น่าหัวเราะอย่างยิ่ง เมื่อพิจารณาดูถึงการโพสต์แสดงความคิดเห็นรุนแรงน่าสะอิดสะเอียนจากนักโฆษณาชวนเชื่อชาวจีนและอิหร่าน ยังไม่ต้องพูดถึงการโพสต์ข้อมูลเกินจริงจากผู้คนและองค์กรจำนวนมากที่มีอยู่เกลื่อนโดยที่ไม่มีใครจัดการหรือแก้ไข ตัวอย่างเช่น อดีตซีอีโอ Twitter เรียกร้องให้สังหารบรรดานายทุนที่ตัวเขาเกลียดชัง ยักษ์ใหญ่กลุ่มนี้อาจจะคิดว่า พวกเขาซื้อประกันความคุ้มครองจากพรรคเดโมแครต ซึ่งครองอำนาจในทำเนียบขาวและสภาคองเกรสทั้งสองสภา แต่ความจริงแล้วพวกเขากำลังสร้างความเกลียดชังอย่างร้ายแรง ซึ่งจะหวนกลับมาทำร้ายตัวเองในท้ายที่สุด ความอวดดีและทัศนคติแบบ “ประชาชนนั้นโง่ ไม่จำเป็นต้องรู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการบริหารงานขององค์กร” จะนำมาซึ่งการแก้แค้นเสมอ ไม่ว่าบริษัทหรือองค์กรนั้นๆ จะมองเห็นว่าตนเองมีอำนาจมากเพียงใดก็ตาม ความพยายามในการบ่อนทำลายเว็บไซต์อย่าง Parler ของยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยีกำลังจุดชนวนให้เกิดการฟ้องร้องกล่าวหาพวกเขาในข้อหากีดกันทางการค้าตามมาอีกหลายต่อหลายคดี ยิ่งไปกว่านั้นว่าที่เจ้าทุกข์กำลังเสาะหาลู่ทางต่อสู้ด้วยกฎหมายแบบอื่นๆ อย่างเช่นแนวคิดที่ว่า เว็บไซต์บางเว็บไซต์มีคุณสมบัติเป็นผู้ให้บริการพื้นฐานกับประชาชนทั่วไป ดังนั้น จึงไม่สามารถปิดกั้นการโพสต์แสดงความคิดเห็นซึ่งไม่ละเมิดกฎหมาย เหมือนกับบริษัทขนส่งทางรถไฟ หรือบริษัทโทรศัพท์ซึ่งไม่สามารถห้ามประชาชนไม่ให้ใช้บริการได้ การกระทำของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่กำลังสร้างมูลเหตุอันนำไปสู่กระบวนการป้องกันการผูกขาดทางการค้าซึ่งสหรัฐฯ และหลายๆ ประเทศถือปฏิบัติกันอยู่แล้ว นอกจากนี้ พวกเขายังกระตุ้นความโกรธเกรี้ยวของอเมริกันชนหลายล้านคนซึ่งรู้สึกว่าธุรกิจรายใหญ่ๆ และนักการเมืองผู้หยิ่งยโสบ้าอำนาจ และไม่รู้ร้อนรู้หนาวเหล่านี้พยายามที่จะลดความสำคัญของประชาชนและกดขี่พวกเขา ความโกรธเคืองและความรู้สึกแปลกแยกไม่เป็นผลดีกับสภาพการเมืองและวัฒนธรรมอย่างแน่นอน บริษัทเทคยักษ์ใหญ่น่าจะทราบมานานหลายปีแล้วว่า ความเป็นอยู่ของพวกตนขึ้นอยู่กับความนิยมของสาธารณชน หรือการยอมรับของประชาชนเป็นอย่างน้อย หลายสิบปีก่อน AT&T เคยเป็นบริษัทโทรศัพท์ที่ดำเนินธุรกิจแบบผูกขาดอย่างถูกต้องตามกฎหมาย บริษัทที่มีสมญานามว่า Ma Bell นี้พยายามทำทุกวิถีทางให้ทุกคนพอใจ บริการของบริษัทไม่มีที่ติ บุคลากรของบริษัทก็เป็นต้นแบบของความสุภาพและความเต็มใจที่จะให้บริการ AT&T ลงโฆษณาในบริษัทสื่อทุกแห่ง สิ่งต่างๆ เหล่านี้ช่วยปกป้องบริษัทจากการเป็นเป้าโจมตีทางการเมืองท้ายที่สุดการผูกขาดของ AT&T ต้องยุติลงเป็นผลมาจากเทคโนโลยี ไม่ใช่การเมือง น่าเสียดายอย่างยิ่งที่บริษัทเทคยักษ์ใหญ่ไม่ทำตามแผนการนี้   อ่านเพิ่มเติม:
คลิกอ่านฉบับเต็ม และบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมิถุนายน 2564 ในรูปแบบ e-magazine