ทำไมวงการศิลปะไทย เติบโตสวนกระแสโลก - Forbes Thailand

ทำไมวงการศิลปะไทย เติบโตสวนกระแสโลก

ภาพบ้านสีหม่นๆ ขนาดไม่ใหญ่ไม่โตอะไรถูกวาดขึ้นในมุมหนึ่งของห้องเช่าเล็กๆ โดยผู้อยู่อาศัยนามว่า สุเชาว์ ศิษย์คเณศ บ้านในภาพดูเศร้าๆ เหงาๆ ไม่ต่างอะไรกับชีวิตของจิตรกรผู้วาด เมื่อกว่า 40 ปีก่อนในสมัยที่สุเชาว์ยังมีชีวิตอยู่ภาพแบบนี้ถูกตั้งราคาไว้หลักร้อย เต็มที่ก็หลักพัน ถึงจะไม่แพงแต่ก็ขายยาก เพราะคนส่วนใหญ่รู้สึกว่าดูหดหู่ ไม่เจริญหูเจริญตา บางทีสุเชาว์แจกภาพวาดไปฟรีๆ แต่ผู้ที่ได้รับกลับเอามาคืนด้วยเหตุผลว่า เด็กๆ ที่บ้านเห็นแล้วร้องไห้


    ฟาสต์ฟอร์เวิร์ดมายังเวลาบ่ายคล้อยของวันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม ปี 2568 ที่เพิ่งผ่านมาหมาดๆ ในงานประมูลผลงานศิลปะของ The Art Auction Center สถาบันการประมูลศิลปะอันดับ 1 ของไทย มีผู้คนนับร้อยมารวมตัวกันจนแน่นขนัด คลับคล้ายมหกรรมขนาดย่อมๆ เพื่อร่วมแข่งขันประมูลภาพวาด รูปปั้น สื่อผสม หรือแม้แต่อาร์ตทอยที่ตนเองหมายตาไว้จากผลงานเกือบ 200 ชิ้นที่นำมาจัดแสดง ไล่เรียงตั้งแต่ lot 1 ผลงานศิลปะจากฝีมือศิลปินไทยชั้นนำชิ้นแล้วชิ้นเล่าถูกทยอยประมูลขายไปในบรรยากาศที่ตื่นเต้น

    จนมาถึงคิวของ lot 136 ภาพบ้านสุดวังเวงโดย สุเชาว์ ศิษย์คเณศ แทบจะทันทีที่ผู้ดำเนินการประมูลขานชื่องานและเปิดโอกาสให้เสนอราคาได้ ภาพวาดสไตล์เดียวกับที่สุเชาว์เคยขายหลักพันหรือให้ฟรีแล้วไม่มีใครเอาชิ้นนี้กลับมีผู้สนใจทั้งจากในห้องประมูลเองและจากทางโทรศัพท์ เสนอราคาแข่งขันกันอย่างดุเดือดเลือดพล่านแบบไม่มีใครยอมใคร หลังจากนั้นอีกไม่กี่อึดใจราคาภาพที่ว่าก็ทะยานไปสิ้นสุดการประมูลในราคาราว 5.7 ล้านบาท


ผลงานของ สุเชาว์ ศิษย์คเณศ


    ตั้งแต่ 3-4 ปีที่ผ่านมาเมื่อการประมูลศิลปะกลับมาคึกคักในเมืองไทยเหตุการณ์สร้างสถิติใหม่แบบนี้ก็กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดามาก เพราะเกิดขึ้นแบบถี่ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับศิลปินไทยเป็นร้อยๆ ชื่อทั้งรุ่นเก่ารุ่นใหม่ เช่น เมื่อไม่นานนี้ภาพวาดฝีมือ ถวัลย์ ดัชนี ก็เพิ่งถูกประมูลไปในราคา 25.5 ล้านบาทโดย The Art Auction Center เช่นเดียวกัน กลายเป็นผลงานที่มีราคาสูงที่สุดจากการประมูลที่ไม่ใช่การกุศลในประเทศไทย ขึ้นแท่นรอจะถูกทำลายสถิติใหม่ในเร็ววัน

    ในอีกมุมหนึ่งจากรายงานล่าสุดของ Knight Frank’s Luxury Index ประจำปี 2567 ที่ผ่านมานับว่าเป็นปีที่ยากลำบากของสินค้าหรูหราและสิ่งสะสมล้ำค่าในตลาดโลก ข้อมูลจากวงการเครื่องประดับ เพชร กระเป๋าถือ นาฬิกา เหรียญ เฟอร์นิเจอร์ ไวน์ วิสกี้ รวมถึงงานศิลปะ บ่งชี้ว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยของตลาดโดยรวมติดลบ 3.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าซึ่งก็ติดลบเช่นกัน และที่น่าจับตามองคือ ในปี 2567 หมวดหมู่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ งานศิลปะ ซึ่งติดลบมากถึง 18.3%

    แล้วปัจจัยอะไรที่ทำให้ในห้วงเวลานี้การประมูลศิลปะรวมถึงวงการนักสะสมโดยเฉพาะในเมืองไทยกลับคึกคักสวนกระแสเศรษฐกิจที่ว่ากันว่าซบเซา มิหนำซ้ำยังเติบโตสวนทางวงการศิลปะระดับนานาชาติราวกับอยู่กันคนละจักรวาล


ผลงานของ ถวัลย์ ดัชนี


    ปัจจัยแรก ถ้าหากมาเจาะลึกดูในรายละเอียดก็จะพบว่า ไม่ใช่ทุกภาคส่วนในวงการศิลปะสากลจะชะลอตัวไปทั้งหมด สาเหตุที่ตัวเลขติดลบดูถลำลึกจนน่าตกใจนั้นมีสาเหตุมาจากผลงานมูลค่าสูงๆ ในราคาหลักล้านเหรียญสหรัฐฯ ขึ้นไปมีการเปลี่ยนมือกันน้อยลง และยังทำสถิติได้ไม่ค่อยดีในงานประมูลที่จัดโดยบริษัทระดับนานาชาติ ในขณะเดียวกันผู้ซื้อกลับหันมาสนับสนุนผลงานศิลปะร่วมสมัยในระดับราคาที่ย่อมเยาลงมามากกว่า ทำให้ในปีที่แล้วตลาดศิลปะของโลกในส่วนนี้เติบโตขึ้น ประจวบเหมาะกับผลงานศิลปะโดยศิลปินไทยที่ 99% ยังสนนราคาไม่สูงจึงมีผลกระทบจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของนักสะสมระดับเงินถุงเงินถังนี้น้อยมาก

    ปัจจัยที่ 2 มีเทรนด์หนึ่งที่กำลังลุกลามไปทั่วโลกรวมถึงในเมืองไทย นั่นคือ กระแส quiet luxury ที่มองว่าการห่มตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสินค้าแบรนด์เนมโลโก้ใหญ่โต สวมทั้งเครื่องประดับ ใส่ทั้งนาฬิกาถมด้วยเพชรนิลจินดา ขับรถสปอร์ตสีลูกกวาดเสียงดังกระหึ่ม ชักเริ่มจะไม่คูล คนเก๋ๆ ที่มีอันจะกินตัวจริงเสียงจริงจึงหันมาหรูหราแบบเงียบๆ เรียบง่ายแต่พิถีพิถัน สิ่งต่างๆ ที่ซื้อหามารายล้อมจึงต้องเปี่ยมด้วยคุณภาพและคุณค่า ไม่เน้นโฉ่งฉ่างให้ทั้งโลกหันมามอง งานศิลปะนั้นก็ดูจะเหมาะเจาะกับเทรนด์ที่ว่านี้ เพราะเป็นเครื่องแสดงถึงรสนิยมอันลึกซึ้งของผู้เป็นเจ้าของที่ไม่ใช่สาธารณชนทุกคนเห็นแล้วจะรู้จัก ต้องเฉพาะคนที่เข้าใจเท่านั้นถึงจะตระหนักได้

    ปัจจัยที่ 3 ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจดูเหมือนจะชะลอตัวการรัดเข็มขัดลดการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยคือมาตรการแรกๆ ที่มักจะถูกนำมาใช้ ในมุมมองของนักสะสมศิลปะในเมืองไทยการซื้อหาผลงานชั้นเลิศนั้นไม่ใช่เรื่องสุรุ่ยสุร่าย แต่มองว่าคือ passion investment เป็นการลงทุนที่ชาญฉลาดในสิ่งที่ชอบ ซึ่งถ้าเลือกถูกชิ้น ถูกศิลปิน ผลตอบแทนที่ได้รับนั้นอาจสูงกว่าการลงทุนในรูปแบบอื่นเป็นไหนๆ มิหนำซ้ำระหว่างที่ยังครอบครองอยู่ยังสามารถเอามาชมให้รื่นรมย์ใจได้อีกต่างหาก

    ปัจจัยที่ 4 ตลาดศิลปะที่ใหญ่โตและทรงอิทธิพลมากที่สุดของโลกคือ สหรัฐอเมริกา ตามมาด้วยจีนและอังกฤษ วงการศิลปะในบ้านเรานั้นหากจะเอาไปเทียบรุ่นกับมหาอำนาจทางศิลปะเหล่านี้คงลำบาก แต่ถ้าเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น เวียดนาม สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ต้องบอกว่าวงการศิลปะของเขาคึกคักกว่าของเราทั้งแง่กิจกรรม จำนวนนักสะสม รวมถึงราคางานศิลปะที่สร้างสถิติแตะหลักร้อยล้านบาท ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่าผลงานของศิลปินไทยหลายเท่าตัว ทั้งๆ ที่ผลงานศิลปะของบ้านเราคุณภาพไม่ได้ด้อยกว่าเลย นั่นหมายความว่า ผลงานศิลปะชิ้นดีๆ ในบ้านเรายังไม่แพง และมีโอกาสที่เพดานราคาจะขยับสูงขึ้นไปอีกมาก วันนี้จึงเป็นเวลาที่ดีสำหรับนักสะสมที่จะซื้อหาในราคาที่เอื้อมถึง

    ปัจจัยที่ 5 นักสะสมศิลปะไทยในอดีตมักเป็นนักธุรกิจระดับเจ้าสัว นายธนาคาร เจ้าของกิจการ กระจุกตัวกันอยู่แต่บนยอดพีระมิด แต่ปัจจุบันวงการนักสะสมได้ขยายตัวไปสู่ผู้คนทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาขาอาชีพ แม้แต่เด็กๆ ยังเก็บอาร์ตทอย จากกิจกรรมที่เคยดูเหมือนจะไกลตัววันนี้การสะสมศิลปะกลับกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ใครๆ ก็เริ่มได้ มีสถาบันการประมูล แกลเลอรี แพลตฟอร์มออนไลน์เกิดขึ้นมากมาย จะดูผลงาน หาข้อมูล เทียบราคาก็ง่ายดาย ไม่ต้องกลัวเดินผิดทาง ไม่ต้องเสี่ยงโดนรับน้อง เมื่อคนไทยหันมาสนใจมากขึ้นวงการศิลปะก็มีชีวิตชีวา

    ปัจจัยที่ 6 ถึงแม้ภาครัฐจะดูขยับเขยื้อนตัวช้าในการสนับสนุนวงการศิลปะ แต่เอกชนก็ไม่นิ่งเฉย ริเริ่มจัดงานอีเวนต์ศิลปะหลากหลายจนหลายงานกลายเป็นเทศกาลสำคัญประจำปีดึงดูดนักท่องเที่ยวมายังประเทศ และเป็นการปลูกฝังชาวไทยให้ใกล้ชิดกับงานศิลปะ นักสะสมเองก็เป็นกำลังผลักดันสำคัญเพราะเป็นดั่งน้ำหล่อเลี้ยงวงการ สร้างดีมานด์มหาศาล อีกทั้งหลายๆ ท่านยังริเริ่มก่อตั้งพิพิธภัณฑ์เพื่อเผยแพร่ความหลงใหลในศิลปะของตนให้ได้ถูกแบ่งปันไปสู่สาธารณชน ในปีนี้และปีต่อๆ ไปเราจะได้เห็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งใหม่เกิดขึ้นเป็นสีสันให้กับเมืองไทยอีกมากมาย

ผลงานของจักรพันธุ์ โปษยกฤต


    นอกจากที่ยกตัวอย่างมาแล้ว ยังมีอีกปัจจัยที่เกื้อหนุนวงการศิลปะไทยแบบที่เรากันเองอาจจะยังไม่รู้ตัวนั่นก็คือ ชาวไทยมีสายเลือดรักชาติ นักสะสมศิลปะส่วนใหญ่ในประเทศไทยเลือกสะสมผลงานฝีมือศิลปินไทยเป็นหลัก ที่เห็นผลงานสัญชาติไทยถูกขายหรือถูกประมูลในต่างประเทศได้ราคาสูงลิ่วจนเป็นข่าวครึกโครม คนซื้อหรือคนที่ชนะประมูลแทบทั้งหมดก็คือคนไทยทั้งนั้น

    นอกจากนี้ บ้านเรายังมีเทรนด์การสะสมผลงานที่ไม่อิงกับกระแสโลก บ้านอื่นเมืองอื่นเขาฮิตอะไรเราก็ไม่ได้พากันเห่อตามเขาไปเสียหมด หรือถ้าหากเราชอบอะไรบ้านอื่นเมืองอื่นก็ไม่ได้อินตามเรา วงการศิลปะในเมืองไทยเลยเหมือนจะมี ecosystem อันเป็นเอกเทศ ในขณะที่ตลาดโลกซบเซา ด้วยความได้เปรียบที่วงการศิลปะเราเล็ก เคลื่อนตัวเร็ว และยิ่งได้ผู้สนับสนุนเรี่ยวแรงดีเต็มใจมาร่วมด้วยช่วยกันอย่างนี้ ยังไงเราก็จะพบวิธีอยู่รอด ปลอดภัย และเติบโตไปในแบบฉบับไทยสไตล์จนเป็นที่จับตามองของนานาประเทศได้

    มาเถอะมาร่วมสร้างวงการศิลปะไทยให้ยิ่งใหญ่ไปด้วยกัน



บทความโดย: พิริยะ วัชจิตพันธ์ ผู้ก่อตั้ง The Art Auction Center



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ‘The Prime Platinum 2025’ ประมูลคึกคัก ราคาศิลปะไทยพุ่งสวนเศรษฐกิจโลก งาน ‘ถวัลย์ ดัชนี’ ประมูลสูงสุด 11.1 ล้านบาท

อ่านเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกรกฎาคม 2568 ในรูปแบบ e-magazine