ธุรกิจปาล์มน้ำมันจากสวนปาล์มสู่โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบและสินค้าบายโปรดักต์จากปาล์มยังคงเติบโต รวมถึงโมเดลการทำโรงงานโดยไม่มีสวนเป็นของตัวเองอย่างสมอทองก็ไปได้ดี กิจการเติบโตติดอันดับ 1 ใน 5 ของตลาด ทำรายได้กว่า 6 พันล้านบาท
ราวปลายเดือนกันยายน ปี 2568 ทีมงาน Forbes Thailand มีนัดสัมภาษณ์ กิตติพงษ์ พวงมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กลุ่มสมอทอง จำกัด (มหาชน) หรือ SMO ผู้ผลิตน้ำมันปาล์มดิบรายใหญ่ 1 ใน 5 ของตลาด ด้วยยอดขายกว่า 6 พันล้านบาท ภายใต้การบริหารของกิตติพงษ์ CEO วัย 48 ปี ผู้เติบโตมาด้วยพื้นฐานงานช่างและการรับเหมาก่อสร้างโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม สืบทอดกิจการมาตั้งแต่ยุคของบิดาซึ่งรับเหมาก่อสร้างและให้บริการด้านช่างแก่โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มมานานกว่า 20 ปี
“ผมเติบโตและคลุกคลีกับโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มมาตั้งแต่เด็กๆ คุณพ่อเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างโรงงาน พอปิดเทอมผมก็มาวิ่งเล่นแถวโรงงานตลอด” กิตติพงษ์ย้อนอดีตวัยเด็ก ประสบการณ์จากความทรงจำที่ทำให้เขาคุ้นเคยรู้จักโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม ได้เล่นและเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน พอโตขึ้นกิตติพงษ์เลือกเรียนต่อสายวิชาชีพช่าง จบระดับ ปวส. ก่อนจะไปเรียนต่อด้านการบริหารระดับปริญญาตรี ดังนั้น งานด้านช่างจึงเป็นสิ่งที่ติดตัวเขามาตลอดด้วยประสบการณ์ตรง หลังจากเรียนจบกิตติพงษ์เข้ามาทำงานเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มต่อจากบิดา
ปักธงโรงงานแรกท่าชนะ
ด้วยความคุ้นเคยและอยู่ในแวดวงทำให้กิตติพงษ์ได้รู้จักกับผู้ที่กลายมาเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจของกลุ่มสมอทองในเวลาต่อมาคุณลัม เป็นนักธุรกิจชาวมาเลเซีย ทำโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม มีฐานอยู่ที่มาเลเซียและสิงคโปร์ และคุณหนุ่ม นักธุรกิจผู้มีที่ดินพร้อมสำหรับการพัฒนาโรงงาน กิตติพงษ์เล่าความเป็นมาของกลุ่มสมอทองและจุดเริ่มต้นจากหุ้นส่วนหลัก 3 คนคือ ตัวเขา กิตติพงษ์ พวงมาลา, เสกศักดิ์ พิริเยศยางกูร (หนุ่ม), และ โจซ์สัน ลิม (ลัม) ในสัดส่วนการถือหุ้นใกล้เคียงกัน ร่วมหุ้นส่วนกันมา 15 ปี ทำบริษัท สมอทอง น้ำมันปาล์ม
พวกเขาร่วมกันก่อตั้งโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบและมีอีกหลายบริษัทที่เกี่ยวเนื่อง กระทั่งล่าสุดได้ก่อตั้ง บริษัท กลุ่มสมอทอง จำกัด (มหาชน) ด้วยการรวมเอาธุรกิจต่างๆ ในชื่อสมอทองมาไว้ในบริษัทเดียว จดทะเบียนก่อตั้งเมื่อวันที่ 21 มีนาคม ปี 2568 ด้วยทุนจดทะเบียน 920 ล้านบาท ชำระแล้ว 688.4 ล้านบาท ที่เหลือจะมาจากการเปิดขายหุ้นให้กับบุคคลทั่วไป หลังได้ยื่นไฟลิ่งนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และจะเปิดขายหุ้นให้กับคนทั่วไปภายในเดือนพฤศจิกายนนี้

“กลุ่มสมอทองเราผลิตน้ำมันปาล์มดิบและผลิตกระแสไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพเป็นหลัก และมี by-product ที่เป็นกลุ่มเชื้อเพลิง เช่น เส้นใยปาล์ม กะลาปาล์ม และไฟเบอร์ ทำมา 15 ปีแล้ว” กิตติพงษ์อธิบายถึงธุรกิจหลักที่เขาทำมาตลอดทศวรรษครึ่ง ในการเริ่มต้นธุรกิจด้วยตัวเองเขาบอกว่า ความพร้อมในวันเริ่มต้นเขามีความรู้และประสบการณ์ทำโรงงานเป็นหลัก และหุ้นส่วนอีก 2 คนมีความรู้เฉพาะทางที่มารวมกันได้ลงตัว
กิตติพงษ์เล่าว่า “ครอบครัวผมและคุณลัมทำธุรกิจคู่กันมายาวนานมาก จนกระทั่งมาเจอคุณเสกศักดิ์หรือคุณหนุ่ม เป็นลูกค้าที่อยากจะสร้างโรงงานน้ำมันปาล์ม คุยกันอยู่หลายปีไม่พร้อมสักที” กิตติพงษ์บอกว่า ด้วยความที่ทำธุรกิจติดต่อกันมานานเขาจึงตัดสินใจชวนให้มาร่วมหุ้นกัน
“ถ้าคุณยังไม่พร้อมมาหุ้นกันดีกว่า ผมเป็นคนชวนคุณหนุ่มเพราะมั่นใจว่าน่าจะเดินไปด้วยกันได้ รู้จักกันมานานและรู้ว่าคุณเสกศักดิ์มีศักยภาพในการซื้อที่ดิน” เขาทำลานเทปาล์มและเตรียมตัวมาหลายปีไม่สร้างเสียที เมื่อเสกศักดิ์บอกว่า “ผมยังไม่พร้อมเท่าไร” กิตติพงษ์จึงเสนอให้มาร่วมหุ้นกันระหว่างตัวเขา, เสกศักดิ์ และโจซ์สัน ลิม
ธุรกิจของพวกเขาเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2546 เริ่มทำอย่างจริงจังใน 15 ปี พอทำสาขาแรกได้ 1-2 ปีเขาเริ่มคิดว่าการทำโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มไม่ได้ยาก เครื่องจักรก็พร้อมศักยภาพในการจัดซื้อจัดหาวัตถุดิบของหุ้นส่วนก็พร้อมจึงตัดสินใจซื้อเครื่องจักรจากมาเลเซีย
พร้อมขยายเป็นโรงงานน้ำมันปาล์มที่ใช้ระบบหม้อนึ่งตั้ง คือเครื่องนึ่งปาล์มสดแบบ vertical sterilizer เป็นโรงแรกของประเทศไทยตอนนั้น ล้ำสมัยที่สุด โรงงานแรกตั้งอยู่ที่ท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีกำลังการผลิต 45 ตันต่อชั่วโมง ปัจจุบันเพิ่มเป็น 75 ตันต่อชั่วโมง
ขยาย 3 โรงงานข้ามโซน
โรงงานที่ท่าชนะเปิดดำเนินการได้ 2 ปี พวกเขามั่นใจเดินหน้าเต็มที่ ในขณะที่ กิตติพงษ์บอกว่า เขาไม่ชอบอยู่กับที่เป็นสายลุยจึงมองหาโอกาสใหม่ๆ เสมอ จนมาได้ที่ดินใหม่สาขาพนมใช้ชื่อว่าสมอทองน้ำมันปาล์ม 2 เริ่มต้นการผลิตที่ 60 ตันต่อชั่วโมง ปัจจุบันขยายมาเป็น 75 ตันต่อชั่วโมง กำลังจะขยายเป็น 150 ตันต่อชั่วโมงในเร็วๆ นี้
“ทำได้สักพักก็เดินเครื่อง มั่นใจจึงตัดสินใจไปซื้อที่ดินที่ชุมพรเป็นสาขา 3 ถัดไปก็ไปซื้อที่สระบุรี สร้างอนาคตที่สระบุรี ทุ่งรังสิตข้ามโซนไปไกลยิ่งขึ้น” เขาบอกว่า มองโอกาสโรงงานในพื้นที่ปลูกปาล์มในภาคต่างๆ พื้นที่เหล่านั้นมีการปลูกปาล์มน้ำมันอยู่หลายหมื่นไร่ พื้นที่ปลูกเพิ่มโซนภาคกลาง ภาคอีสานเริ่มส่งเสริมกันมากขึ้น เขาจึงมุ่งหน้าซื้ออนาคต ซื้อที่ดิน และสร้างโรงงานที่นั่น ที่ดินที่สระบุรีประมาณ 130 ไร่ ปัจจุบันเริ่มเดินเครื่องผลิตแล้ว เท่ากับมีโรงงานทั้งหมด 4 โรง ปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวม 240 ตันต่อชั่วโมง

กิตติพงษ์บอกว่า โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มแบ่งเป็นกลุ่มมีทั้งหมดเกือบ 100 โรงงาน บางโรงมี 2 โรงบ้าง 3 โรงบ้างแล้วแต่ความพร้อม “กลุ่มสมอทองทำอยู่ 4 โรงงานเป็น top 5 ของประเทศ มีกำลังการผลิตสูงเราขายทั้งในประเทศและต่างประเทศ” CEO กลุ่มสมอทองแจกแจงพร้อมเผยว่า กำลังการผลิตน้ำมันปาล์มดิบในประเทศเฉลี่ยต่อปี มีผลิตสู่ตลาดประมาณ 3 ล้านตัน ในจำนวนนี้ 1 ล้านตันเป็นน้ำมันปาล์มเพื่อการบริโภคลูกค้าหลักของกลุ่มสมอทอง เช่น หยก,ทับทิม และโอลีน
อีกกลุ่มประมาณ 1 ล้านตันเช่นเดียวกัน เป็นน้ำมันปาล์มที่ใช้ผลิตพลังงานไบโอดีเซล ลูกค้ารายหลักก็มีทั้งบางจากและ ปตท. และอีก 1 ตันเป็นน้ำมันปาล์มดิบส่งออก ในส่วนที่เหลือจากการใช้ภายในประเทศ
ตลาดส่งออกน้ำมันปาล์มดิบของกลุ่มสมอทองคือ อินเดียซึ่งมีประชากรมากที่สุดในโลก กิตติพงษ์บอกว่า ยอดขายในประเทศและส่งออกมีสัดส่วนพอๆ กันคือ 50/50 และในอนาคตเขากำลังศึกษาเตรียมขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศจีนซึ่งมีประชากรมากกว่า 1.4 พันล้านคน





หากสามารถเจาะตลาดได้จะเป็นอีกตลาดหลักที่เชื่อว่าความต้องการมีสูง และนี่คือเหตุผลที่ทำให้กลุ่มสมอทองเดินหน้าแผนระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเพิ่มการผลิตรองรับตลาดส่งออกใหม่ที่คาดว่าจะขยายในอนาคตอันใกล้
“เราเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการส่งออกน้ำมันส่วนเกินไปต่างประเทศ เป็น“กลุ่มสมอทองเราผลิตน้ำมันปาล์มดิบและผลิตกระแสไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพเป็นหลัก และมี by-product ที่เป็นกลุ่มเชื้อเพลิง เช่น เส้นใยปาล์ม กะลาปาล์ม และไฟเบอร์ ทำมา 15 ปีแล้ว”
การสร้างรายได้เข้าประเทศ กำลังการผลิตของเราน่าจะประมาณ 6-7% ของกำลังการผลิตรวม 3 ล้านตัน” กิตติพงษ์กล่าวถึงราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศว่า อ้างอิงราคาจากกรมการค้าภายในตามปริมาณที่มีในตลาด ส่วนราคาน้ำมันปาล์มในต่างประเทศเป็น global market อ้างอิงตามราคาที่มาเลเซียและอินโดนีเซีย ราคาขึ้นลงตามเทรนด์อ้างอิงกับราคาน้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันทานตะวัน ดูว่าอันไหนถูกกว่าก็ใช้อันนั้น สำหรับตลาดส่งออกของกลุ่มสมอทองมุ่งไปที่ประเทศอินเดียเป็นหลัก ปี 2567 ส่งออกไป 80,000 ตัน ปีนี้ส่งออกประมาณ 100,000 ตัน และมีแผนจะขยายตลาดต่างประเทศไปที่จีน
เพิ่มทุนเพื่อขยายธุรกิจ
กิตติพงษ์บอกว่า แผนเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้สมอทองมุ่งเป้าไปที่การขยายกิจการเป็นหลัก เริ่มจากการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพโรงงาน รวมถึงการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม การลดผลกระทบต่อชุมชนที่ตั้งของแต่ละสาขาก็ต้องใช้เงินทุนในการปรับปรุง ถัดไปก็มองไปที่การขยายสาขาเพิ่ม จะมีทั้ง 2 รูปแบบคือ สร้างโรงงานใหม่ และซื้อโรงงานเก่า อีกส่วนหนึ่งเป็นเงินทุนหมุนเวียนของกิจการ เพราะการส่งออกปริมาณมาก ขนส่งเป็น 10,000 ตันต่อลำเรือต้องใช้ทุนเข้ามาเสริมสภาพคล่องให้ดีขึ้น
ปัจจุบันกำลังการผลิตน้ำมันปาล์มดิบในประเทศไทยคือ 3 ล้านตัน ส่วนผลผลิตปาล์มปีที่แล้วกับปีนี้ 19 ล้านตัน เพิ่มขึ้นตามคุณภาพการดูแลสวนที่ดี ซึ่งมีเปอร์เซ็นต์เพิ่มขึ้นไม่น้อย และส่วนหนึ่งมีการเปลี่ยนจากสวนยางมาเป็นสวนปาล์ม เท่ากับเพิ่มพื้นที่ปลูกปาล์มได้มากขึ้น และขยายในหลายภูมิภาค
ส่วนเรื่องราคาน้ำมันปาล์มในปัจจุบันกิตติพงษ์เผยว่า ภาครัฐเข้ามาดูแล ไม่ค่อยมีปัญหาเหมือนแต่ก่อน และในอดีตการส่งออกน้ำมันปาล์มทำได้จำกัด และโรงงานที่มีน้ำมันน้อยๆ จะยากในการส่งออก
แต่ปัจจุบันมีหลายโรงงานมารวมกลุ่มกันรวบรวมน้ำมันเพื่อส่งออก ดีมานด์ ซัพพลายที่อยู่ในประเทศก็เริ่มบาลานซ์ ราคาก็ไม่ต่ำมาก แต่สถานการณ์ปัจจุบันและอนาคตจะเป็นเรื่องของการควบคุมต้นทุนต่อไร่ของเกษตรกร ถ้าต้นทุนเกษตรกรสูง ต้นทุนต่อผลผลิตปาล์มสูงทำแล้วขาดทุนหรือกำไรน้อยก็จะไปเรียกร้องรัฐบาลให้ซื้อวัตถุดิบสูงหน่อย เกิดการเรียกร้องขอเพิ่มราคาพอราคาวัตถุดิบสูงมากก็ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยสูงขึ้น
หากต้นทุนปาล์มของไทยราคาสูงการแข่งขันกับมาเลเซียและอินโดนีเซียจะทำได้น้อยลง เพราะราคาของไทยสูงกว่าต่างประเทศ ปัจจุบันในไทยเราสูงกว่ามาเลเซียและอินโดนีเซียราว 20% อย่างไรก็ดีต้นทุนขึ้นกับราคาวัตถุดิบ ถ้าราคาวัตถุดิบสูงน้ำมันปาล์มเราก็จะแพง แข่งขันไม่ได้

สิ่งที่จะตามมาคือ สต็อกในประเทศสูงขึ้นจนล้นเกินความต้องการ หลังจากนั้นคือ ราคาวัตถุดิบก็จะตกต่ำลงขายไม่ได้ “ปัจจุบันสต็อกเพิ่มสูงกว่าการคาดการณ์ กรมการค้าภายในประเทศเราจะคุมสต็อกน้ำมันปาล์มดิบไว้ที่ 200,000 ตัน ปีนี้คิดว่าจะมีถึง 500,000 ตัน เริ่มมีสัญญาณว่าราคาจะตกต่ำ”
อย่างไรก็ดีในมุมของเกษตรกรทุกวันนี้ราคาวัตถุดิบปาล์มอยู่ที่ 6-7 บาทต่อกิโลกรัม ถือว่าราคาค่อนข้างสูงจากเกณฑ์ราคาเหมาะสมที่วางไว้ที่ 4.50 บาทต่อกิโลกรัม ทำแล้วมีกำไรเป็นเรื่องดีต่อเกษตรกรผู้ปลูกปาล์ม สถานการณ์ขณะนี้จึงถือว่าค่อนข้างดี
กิตติพงษ์ย้ำว่า กลุ่มสมอทองทำงานร่วมกับเกษตรกรมาโดยตลอดในการรับซื้อผลผลิตปาล์มจากเกษตรกร ซึ่งสมอทองไม่ได้ทำสวน เป็นเพียงโรงงานสกัดจึงต้องรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรเป็นหลัก โดยไปตั้งหน่วยรับซื้อใกล้กับแหล่งปลูกสวนปาล์ม ช่วยลดปัญหาค่าขนส่งและอำนวยความสะดวกต่อเกษตร
คนกลางรับซื้อ ผลิตส่งต่อ
“เราเป็นคนที่อยู่ตรงกลาง ซื้อถูกก็ขายถูก ซื้อแพงเราก็ขายแพง เราจะอยู่ได้ก็ต้องมีกลุ่มเกษตรกรสนับสนุน เราก็ให้การสนับสนุนกลุ่มปลูกปาล์ม RSPO” กิตติพงษ์หมายถึงกลุ่มผู้ปลูกปาล์มน้ำมันที่ดำเนินงานตามหลักการและเกณฑ์การผลิตน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืนของ RSPO (Roundtable on Sustainable Palm Oil) เพื่อให้การผลิตปาล์มน้ำมันเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบต่อสังคมและมีความยั่งยืน
เกษตรกรในกลุ่ม RSPO เป็นเกษตรกรยั่งยืนที่สนับสนุนวิสาหกิจชุมชนเข้าร่วมการจัดตั้งกลุ่มการให้ความรู้แก่สมาชิกในการปลูกปาล์มอย่างยั่งยืน ถูกควบคุมตั้งแต่ที่ดิน ต้องมีเอกสารสิทธิ์ไม่บุกรุกป่า ไม่ใช้แรงงานเด็ก ไม่ใช้สารเคมี ในการเข้ามาตรวจสอบสิ่งเหล่านี้บริษัทเข้าไปช่วยส่งเสริมสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมก็ทำให้กลุ่มนี้ได้ราคาที่ดีขึ้น เช่น ขายปาล์มปกติได้กิโลกรัมละ 6 บาท กลุ่ม RSPO จะได้ 6.20 บาทเป็นส่วนเพิ่มเข้ามา โดยปริมาณปาล์มเข้ามาแปรรูปเป็นน้ำมันดิบ น้ำมันปาล์มดิบส่งไปที่โรงกลั่นซึ่งก็จะให้ผลประโยชน์กลับมาเหมือนกัน ส่งต่อกันเป็นทอดๆ ไปจนถึงเกษตรกร


เมื่อโรงกลั่นนำมาแปรรูปเป็นน้ำมันปาล์มดิบ เป็น end product สิ่งเหล่านี้ได้มาจาก “ถ้าไม่พร้อมให้เริ่มเลย คือการลุยไปก่อน เจอปัญหาแก้ปัญหา แต่ต้องทำในสิ่งถูกต้องก่อนเป็นสิ่งแรกคือ right first เพราะถ้าเริ่มต้นผิดมันก็ผิด”
ยุโรปส่งต่อกันมาเป็นทอดเพื่อให้เกษตรกรอยู่คู่กับโรงงาน และยั่งยืนไปพร้อมกับโรงงานซึ่งมีนโยบายในการขยายโดยการรับซื้อ ซึ่งตลอด 15 ปีที่ดำเนินธุรกิจมาสมอทองจะเข้าไปรับซื้อผลผลิตของเกษตรกรในพื้นที่ใกล้เคียงกับสวนปาล์มเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเกษตรกร
“เราเดินปาล์ม 1 โรงงานใช้ปาล์ม 300,000-400,000 ตัน กินพื้นที่ประมาณ 100,000 กว่าไร่ ตั้งโรงงานไว้ตรงกลางวง 100,000 ไร่ มีหน้าที่ซัพพลายวัตถุดิบเข้ามาที่โรงงาน ทำให้เกษตรกร 100,000 ไร่ส่งปาล์มให้โรงงานได้สะดวก เพราะโรงงานอำนวยความสะดวกเปิดจุดรับซื้อใกล้ๆ สวนของเกษตรกรไม่ต้องลำบาก จะขาย 10 -20 กก. ก็ไม่มีปัญหา เพราะเป็นการอำนวยความสะดวก ช่วยค่าขนส่งแทนเกษตรกร โดยใช้ระบบโลจิสติกส์ที่บริษัทควบคุมเอง เป็นรถบรรทุกขนาดใหญ่ขนได้เที่ยวละ 30 ตัน”
ธุรกิจปาล์มต้องอาศัยฤดูกาลขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นเอลนีโญ (ElNino) และลานีญา (La Nina) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ส่งผลต่อสภาพอากาศโลก โดยเอลนีโญคือ สภาวะที่น้ำทะเลบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกมีอุณหภูมิสูงขึ้นผิดปกติทำให้เกิดภัยแล้งในหลายพื้นที่ รวมถึงประเทศไทย
ส่วนลานีญาคือ สภาวะตรงกันข้ามที่น้ำทะเลเย็นลงกว่าปกติทำให้เกิดฝนตกหนักในบางพื้นที่ เช่น ประเทศไทย ทั้งสองปรากฏการณ์นี้เกิดจากความสัมพันธ์ของกระแสน้ำและชั้นบรรยากาศในมหาสมุทรแปซิฟิกเขตศูนย์สูตร
“ปรากฏการณ์เอลนีโญ ลานีญา ฝนแล้ง ฝนตก เป็นตัวบอกว่าวัตถุดิบปีนี้จะเป็นยังไง แนวโน้มมากหรือน้อย อีกทางหนึ่งราคาปาล์มดีใส่ปุ๋ยมากหน่อย ถ้าเป็นหลายปีก่อนราคาไม่ดี 3-4 บาทต่อ กก. ราคาลดลงผลผลิตก็น้อยลง กำลังการผลิตโดยรวมของเราก็จะลดลง จึงรับมือด้วยการเดินเข้าหาเกษตรกรตั้งจุดรับซื้อผลผลิตใกล้เกษตรกรให้มากที่สุด 1 สาขาโรงงานเรามีจุดรับซื้อถึง 20 หน่วย และทำแบบนี้กับทุกสาขา เน้นอำนวยความสะดวกให้เกษตรกร ดังนั้น กลุ่มสมอทองไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องปริมาณวัตถุดิบที่เข้ามา”
ก่อนจบการพูดคุยในวันนั้น CEO กลุ่มสมอทองกล่าวทิ้งท้ายว่า เขาเป็นคนทำงานที่ชอบเปิดโอกาสให้คนเสมอ ไว้ใจทีมงานและให้โอกาสในการนำเสนอแนวทางใหม่ๆ เพื่อให้งานเดินหน้าได้อย่างเต็มที่ โดยเขามีวิธีคิดอย่างหนึ่งที่น่าสนใจนั่นคือ “ถ้าไม่พร้อมให้เริ่มเลย คือการลุยไปก่อน เจอปัญหา แก้ปัญหา แต่ต้องทำในสิ่งถูกต้องเป็นสิ่งแรกคือ right first เพราะถ้าเริ่มต้นผิดมันก็ผิด” เป็นแนวคิดแตกต่างของคนกล้าคิดกล้าตัดสินใจบนพื้นฐานของความถูกต้อง แน่นอนการเติบโตที่ได้มาย่อมอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องเช่นกัน
ภาพ วรัชญ์ แพทยานันท์
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ปิยจิต รักอริยะพงศ์ เสิร์ฟ “เซ็ปเป้” ข้ามทวีป ปักธงแบรนด์ไทยสู่โกลบอล


