ทายาทรุ่นสองผู้มาสร้างตำรับใหม่ให้แก่ธุรกิจผลิตสินค้าเครื่องเทศและสินค้าเกษตรแปรรูปของครอบครัวที่เชียงใหม่ หวังมุ่งสู่การทำรายได้แตะพันล้านบาทภายในปี 2563 ปรุงกิจการให้เข้มข้นขึ้นด้วยการก่อตั้งสถาบันวิจัยรสชาติอาหาร
เมื่อการค้าส่งพืชผักที่ปากคลองตลาดไม่ใช่อนาคตที่สดใสสำหรับการหาเลี้ยงครอบครัว กอบชัย ทวีเลิศนิธิ จึงตัดสินใจย้ายถิ่นฐานไปเริ่มทำการค้าพืชผลการเกษตร ณ อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ เมื่อปี 2532 ก่อนขยับขยายสู่การตั้งโรงงานอบลำไยเอี่ยมกสิกิจ กระทั่งเข้าสู่เส้นทางธุรกิจเครื่องเทศอบแห้งจนยึดเป็นสายอาชีพหลักที่เน้นผลิตกระเทียมผงและกระเทียมเจียวป้อนอุตสาหกรรมอาหารในนาม บริษัท นิธิฟู้ดส์ จำกัด เมื่อปี 2541 จากคำแนะนำของน้องชายอย่าง สุรพล ทวีเลิศนิธิ ผู้เคยทำงานกับบริษัทจำหน่ายเครื่องปรุงรสมาก่อน จนเมื่อปี 2551 ที่สุรพล ผู้เป็นอาของ สมิต ทวีเลิศนิธิ วัย 38 ปี ต้องการวางมือจึงส่งไม้ต่อให้แก่ลูกชายคนโตของผู้ก่อตั้งและทายาทรุ่น 2 เป็นผู้ยกระดับองค์กรให้เติบโตยิ่งกว่าในอดีต

แจ้งเกิด 3 แบรนด์
Urban Farm คือตราสินค้าแรกของนิธิฟู้ดส์ในปี 2554 โดยยึดแนวคิดการนำของคุณภาพดีจากฟาร์มไปให้คนในเมืองได้รับประทาน แจ้งเกิดด้วยผลิตภัณฑ์ผักอบแห้งตรา Urban Farm โดยเริ่มนำไปเสนอเข้าห้างเล็กๆ ก่อน แล้วจึงเดินหน้าพัฒนาสินค้ากลุ่มที่ 2 นั่นก็คือ ซอสผงปรุงรสข้าวอบตรา Urban Farm หลากหลายรสชาติ ได้แก่ ข้าวอบกระเทียมเห็ดหอม ข้าวอบผงกะหรี่ ข้าวอบต้มยำ ข้าวอบแกงเขียวหวาน เป็นต้น ใช้สำหรับทำข้าวผัดในหม้อหุงข้าว
หลังจากนั้น สมิตเริ่มพัฒนาสินค้าใหม่เป็นซอสผงข้าวผัดตรา Pocket Chef ปรับเป็นซองขนาดเล็ก สามารถทำรับประทานได้ 1-2 ที่ ไม่ต้องเตรียมเครื่องปรุงหลายอย่าง ซึ่งเมื่อนำสินค้าตัวนี้ไปออกงานแสดงสินค้า ส่งผลให้ Trader/Exporter สนใจและเริ่มมีการส่งออกไปยังประเทศจีน ไต้หวัน อินโดนีเซีย เวียดนาม และเยอรมนี

“เราเคยลองผิดลองถูกมาก่อน จากที่เคยเอาวัตถุดิบทุกอย่างมาใส่ผสมรวมกันในกระบะ จนพัฒนามาถึงตอนนี้ก็อยากช่วยแบ่งปันกับผู้ประกอบการอื่นๆ ให้เขาไม่ต้องเริ่มจากศูนย์”
สำหรับขอบข่ายด้านบริการพัฒนารสชาติให้สินค้านั้น สมิตเล่าว่าครอบคลุมในเรื่องวิจัยรสชาติอาหาร ผลิตผงปรุงรส ผลิตซอสปรุงรสและกระบวนการบรรจุ ขณะที่บริการต่อยอด ได้แก่ ขออนุญาต อ.ย. ออกแบบฉลาก กระบวนการลดต้นทุน และการปกป้องสูตรอาหาร
ตัวอย่างงานวิจัยชิ้นโบแดง เช่น ปรับปรุงผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ให้มีอายุการเก็บที่นานขึ้นในอุณหภูมิปกติโดยที่คุณภาพไม่เปลี่ยน หรืออีกผลงานคือซุปก๋วยเตี๋ยวแบบผงเข้มข้น ไม่ต้องใช้เวลาในการเคี่ยวซุปนาน 6 ชั่วโมง เพื่อให้ง่ายต่อการจัดเก็บและจัดส่งให้กับร้านสาขาต่างๆ ทั่วประเทศ ลดของเสียที่เหลือจากการขายไม่หมด โดยที่ผลิตภัณฑ์ซุปผงที่พัฒนาขึ้นมานั้นมีรสชาติที่ใกล้เคียงกับผลิตภัณฑ์ต้นแบบ โดยไม่ใช้ผงชูรส
https://www.instagram.com/p/BfTOmxWFo_0/?utm_source=ig_embed
ส่วนกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย อันดับแรกคือโรงงานอุตสาหกรรม ธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีความต้องการวัตถุดิบเครื่องเทศ ผงปรุงรส หรือรสชาติอาหารใหม่ๆ อันดับที่ 2 คือกลุ่มร้านอาหารที่มีระบบการจัดการแบบครัวกลาง (chained restaurants) บริการของบริษัทน่าจะสามารถช่วยให้ร้านอาหารจัดการระบบในครัวได้เร็วขึ้น พร้อมกับมีความสม่ำเสมอของรสชาติ
“เรากำลังเตรียมการทำเรื่องที่ใหญ่มากขึ้น คือ ปฏิวัติการเพาะปลูกเกษตรในประเทศไทย โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการลดต้นทุนการเพาะปลูก ...โดยมีการจัดตั้งทีม Farming of the Future หรือทีมเกษตรแห่งอนาคตที่หวังจะทำให้วงการเกษตรไทยเกิดการพัฒนาผ่านการทำงานร่วมกันระหว่างนิธิฟู้ดส์และเกษตรกร ในอนาคตถ้าถามถึงเรื่องกระเทียมต้องนึกถึงบริษัท นิธิฟู้ดส์ ให้ได้ครับ”
ภาพ: นิธิฟู้ดส์
ติดตาม "สมิต ทวีเลิศนิธิ ปรุงนิธิฟู้ดส์ให้ถึงพันล้าน" ฉบับเต็มได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ กุมภาพันธ์ 2561 ในรูปแบบ e-Magazine


