AMA ฝ่าคลื่นธุรกิจเดินเรือภูมิภาคตอบโจทย์ลูกค้าผู้ผลิตน้ำมันปาล์มระดับโลก พิศาล รัชกิจประการ กัปตันผู้ขับเคลื่อนนาวามุ่งมั่นสร้างการเติบโตมากกว่า 25% ต่อปีและทำรายได้กว่า 1 พันล้านบาทในปีนี้
โอกาสทางธุรกิจที่เล็งเห็นจากการแตกยอดกิจการค้าน้ำมันของครอบครัวภายใต้บริษัท ภาคใต้เชื้อเพลิง จำกัด (ปัจจุบันคือ บมจ. พีทีจี เอ็นเนอยี หรือ PTG) ซึ่งต้องการใช้เรือขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้ พิพัฒน์ รัชกิจประการ ญาติผู้พี่ของ พิศาล ซึ่งเป็นประธานกรรมการของ AMA ในปัจจุบัน ก่อตั้งธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าเหลวทางเรือและทางรถ ทั้งในประเทศและต่างประเทศขึ้น ภายใต้ชื่อ บริษัท อาม่า มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ AMA ในปี 2539 ทดแทนจากที่เคยใช้บริการขนส่งน้ำมันของบริษัทอื่น

พิศาลกล่าวว่าการขนส่งต่างประเทศมีข้อดีกว่าในประเทศจากอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง และระยะการชำระเงินสั้นเพียง 3 วัน เทียบกับในประเทศที่ต้องให้เครดิต 30 วัน กระนั้น การออกแสวงหาโอกาสในต่างประเทศก็ไม่ง่าย
เพราะในช่วงเริ่มต้นลูกค้ายังไม่รู้จักชื่อเสียงของ AMA และมีทุนจดทะเบียนน้อย มีกองเรือเพียง 3-4 ลำ จึงต้องใช้เวลาสร้างความมั่นใจกับลูกค้าผ่านทางโบรกเกอร์ในมาเลเซียและสิงคโปร์อยู่นานจนได้งานแรกที่ให้บริการขนส่งน้ำมันพืชจากมาเลเซียไปเมียนมา โดยใช้เวลาพิสูจน์ศักยภาพอยู่กว่า 4 ปีจึงจะเริ่มดีขึ้นในปี 2548
จุดเปลี่ยนสำคัญของ AMA เริ่มจากเมื่อปี 2543 ที่เห็นสัญญาณบอกเหตุว่า PTG ซึ่งเป็นลูกค้าหลัก จะหันไปขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทางบกโดยรถ 100% พิศาลจึงตัดสินใจหันไปจับตลาดขนส่งน้ำมันพืชที่มีปริมาณการขนส่งมากทดแทน เพราะต้องดิ้นรนอยู่ในธุรกิจนี้ให้ได้
ไม่เพียงเท่านั้น พิศาลยังมองการณ์ไกลตัดสินใจเลือกลงทุน เรือที่มีเปลือกเรือสองชั้นหรือ double hull เมื่อปี 2549 จากเดิมที่เรือทั้งหมดของบริษัทเป็นแบบเปลือกเรือชั้นเดียวหรือ single hull แม้ว่าในตอนนั้นทุกประเทศจะไม่ได้ดำเนินตามกฎที่เรือขนส่งสารเคมีต้องเป็นแบบ double hull ซึ่งทำให้ AMA ได้ลูกค้าเพิ่มขึ้นในช่วงที่คู่แข่งรายอื่นยังไม่พร้อมเมื่อกฎเกณฑ์ถูกบังคับใช้

สำหรับกลยุทธ์บริษัท ได้แก่ การขยายเส้นทางขนส่งและฐานลูกค้าไปยังเส้นทางใหม่ มุ่งไปยังน่านน้ำแถบเอเชียตะวันออกและเอเชียใต้ โดยในปีที่ผ่านมาสร้างรายได้จากเส้นทางแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ราว 85% ของรายได้ทั้งหมด แต่หลังจากขยายเส้นทางใหม่คาดว่า ต่อไปจะเป็นรายได้จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 50% และเส้นทางอื่นๆ ของเอเชียอีก 50% พร้อมกับเพิ่มช่องทางในการขนส่งผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น ยางมะตอย น้ำมันเชื้อเพลิง กากน้ำตาลและสารเคมีที่มีความอันตรายไม่สูง
ขณะเดียวกัน บริษัทยังขยายศักยภาพด้วยการขยายกองเรือ/กองรถบรรทุก เตรียมขยายกองเรือเพิ่มอีก 2 ลำภายในปี 2560 จาก ณ สิ้นไตรมาส 3/59 มีทั้งหมด 8 ลำ ขนาดบรรทุกทั้งหมด 46,661 เดทเวทตัน (DWT) เมื่อเพิ่มจำนวนเรือแล้วจะเพิ่มขนาดบรรทุกอีกเกือบเท่าตัวนั่นคือราว 37,000 - 41,000 DWT
และขยายกองรถจำนวน 80-100 คัน จาก ณ สิ้นไตรมาส 3/59 มีรถบรรทุกสินค้าเหลว (liquid tank truck) 80 คัน ปริมาณบรรทุกรวม 3.6 ล้านลิตร เมื่อขยายกองรถแล้วจะทำให้บรรทุกเพิ่มได้อีกประมาณ 3.6-4.5 ล้านลิตร ทั้งนี้ อัตราส่วนรายได้จะยังคงมาจากฝั่งธุรกิจขนส่งทางเรือ 65-70% และขนส่งทางรถบรรทุกที่ 30-35%
“การระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ นอกจากการนำเงินมาลงทุนขยายธุรกิจ เรามองว่ายังสามารถเสริมภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือขององค์กรว่า เราสามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความเป็นมาตรฐาน ไม่ได้ทำงานแบบกงสีหรือเป็นธุรกิจครอบครัว”
ท้ายที่สุด พิศาลยังยืนยันในเป้าหมายเดิมที่จะมุ่งปั้นรายได้ให้ถึง 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งการเข้าซื้อกิจการจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยทะยานให้ถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น
คลิกอ่านฉบับเต็ม "พิศาล รัชกิจประการ แห่ง AMA โลดแล่นนาวาพันล้าน" ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ มีนาคม 2560

