กลุ่มบริษัท Ingress Corporation Berhad (ICB) จากมาเลเซีย ส่ง INGRS หรือ บมจ. อิงเกรส อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นโฮลดิ้งธุรกิจผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ เข้าระดมทุนจากตลาด SET ตามกฎเกณฑ์ Primary Listing ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก หวังขยับปีกเติบโตเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ระดับ ASEAN ที่พร้อมตีตลาดทั่วโลก
Ingress Corporation Berhad (ICB) เป็นบริษัทโฮลดิ้งสัญชาติมาเลเซียที่ลงทุนในหลายธุรกิจ ทั้งกลุ่มธุรกิจผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนรถยนต์ ซึ่งมีการดำเนินงานในประเทศไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย อินเดีย กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องและสนับสนุนธุรกิจผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนรถยนต์ ธุรกิจนายหน้าซื้อขายรถยนต์ ธุรกิจให้บริการด้านวิศวกรรมพลังงานและการขนส่งทางราง โดย ณ สิ้น มกราคม 2560 กลุ่ม ICB มีขนาดรายได้รวมทุกกลุ่มธุรกิจที่ 7.348 พันล้านบาท และสินทรัพย์รวม 4.8 พันล้านบาท หลังจากเพิกถอนการจดทะเบียน (delist) ธุรกิจออกจากตลาดหลักทรัพย์มาเลเซียเมื่อหลายปีก่อน Datuk Rameli Musa ผู้ก่อตั้งและรองประธาน บมจ. อิงเกรส อินดัสเตรียล (ไทยแลนด์) หรือ INGRS กล่าวว่า ICB ออกจากตลาดหลักทรัพย์มาเลเซียหลายปีก่อนเพื่อปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจให้ชัดเจน แยกกลุ่มบริษัทที่สร้างรายได้ออกจากกลุ่มที่รายได้มีความไม่แน่นอน หลังจากนั้นจึงนำกลุ่มธุรกิจผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ (Automotive Components Manufacturing: ACM) ที่มีรายได้สม่ำเสมอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อีกครั้งการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้จึงถือเป็นการเสนอขายหุ้นของบริษัทต่างประเทศที่ไม่มีหุ้นเป็นหลักทรัพย์ซื้อขายในตลาดต่างประเทศหรือ primary listing รายแรกของตลาดทุนไทยด้วย “เราศึกษาความเป็นไปได้ทั้งตลาดหุ้นฮ่องกง สิงคโปร์ ไทย อินโดนีเซีย ที่ตัดสินใจเลือกเมืองไทยเพราะเป็นหนึ่งในศูนย์กลางด้านการผลิตรถยนต์ (automotive hub) ของโลก มีตลาดภายในประเทศแข็งแรง โดยเราตั้งฐานการผลิตที่นี่ตั้งแต่ปี 2539 นานถึง 21 ปี โดยรับการสนับสนุนจากบีโอไอ รวมถึงตลาดทุนไทยมีความแข็งแกร่งและมีมาตรฐานสูงในการกำกับดูแลและธรรมภิบาลจึงช่วยให้ระดมทุนเพื่อการผลิตและส่งออกชิ้นส่วนไปทั่วประเทศในอาเซียน รวมถึงอินเดียซึ่งมี bilateral trade agreement กับไทยดังนั้นที่นี่จึงเหมาะสมที่สุด”
ด้วยเหตุนี้ INGRS จึงจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยในปี 2557 เพื่อเป็นโฮลดิ้งที่ลงทุนในธุรกิจผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์โดยมี ICB เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในปี 2559 ได้เปลี่ยนเป็นบริษัทมหาชน ด้วยทุนจดทะเบียน1.45 ล้านบาท ชำระแล้ว 1.19 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้ 1 บาทมีการถือหุ้นทางตรงและทางอ้อมในบริษัทย่อยและบริษัทเกี่ยวเนื่องรวม 9 บริษัทโดยลงทุนธุรกิจใน เมเลเซีย อินโดนีเซีย อินเดีย ผ่าน Ingress Industrial (Malaysia) Sdn. Bhd. ซึ่งบริษัท INGRS ถือหุ้น 100%
INGRS จะเสนอขายหุ้นสามัญจำนวนไม่เกิน 578.44 ล้านหุ้น (40% ของหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้ว) ซึ่งประกอบด้วย หุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 261.56 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่ถือโดย ICB จำนวนไม่เกิน 316.88 ล้านหุ้น หลังไอพีโอ ICB จะลดสัดส่วนลงเหลือ 60%
Dato’ Dr.Ab Wahab Ismail กรรมการแห่ง INGRS กล่าวว่า เงินที่ได้จากการขายหุ้นไอพีโอประมาณ 30% จะใช้สำหรับการชำระคืนเงินกู้ ส่วนที่เหลือราว 70% จะนำไปขยายธุรกิจและเป็นเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งบริษัทเพิ่งขยายกำลังการผลิตแม่พิมพ์สินค้าขึ้นรูปขนาดกลางที่จังหวัดระยอง เพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมเพิ่มเติมจากแม่พิมพ์สินค้าขึ้นรูปขนาดเล็กเมื่อปีที่ผ่านมา มีแผนขยายกำลังการผลิตที่มาเลเซีย อยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนเครื่องปั๊มขึ้นรูปสินค้าขนาดกลางที่อินโดนีเซียเพิ่มเติม ส่วนที่อินเดียกำลังศึกษาความเป็นไปได้ร่วมกับพันธมิตรในการลงทุนเพิ่มเติม
“เราศึกษาความเป็นไปได้ทั้งตลาดหุ้นฮ่องกง สิงคโปร์ ไทย อินโดนีเซีย ที่ตัดสินใจเลือกเมืองไทยเพราะเป็นหนึ่งในศูนย์กลางด้านการผลิตรถยนต์ (automotive hub) ของโลก มีตลาดภายในประเทศแข็งแรง โดยเราตั้งฐานการผลิตที่นี่ตั้งแต่ปี 2539 นานถึง 21 ปี โดยรับการสนับสนุนจากบีโอไอ รวมถึงตลาดทุนไทยมีความแข็งแกร่งและมีมาตรฐานสูงในการกำกับดูแลและธรรมภิบาลจึงช่วยให้ระดมทุนเพื่อการผลิตและส่งออกชิ้นส่วนไปทั่วประเทศในอาเซียน รวมถึงอินเดียซึ่งมี bilateral trade agreement กับไทยดังนั้นที่นี่จึงเหมาะสมที่สุด”
ด้วยเหตุนี้ INGRS จึงจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยในปี 2557 เพื่อเป็นโฮลดิ้งที่ลงทุนในธุรกิจผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์โดยมี ICB เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในปี 2559 ได้เปลี่ยนเป็นบริษัทมหาชน ด้วยทุนจดทะเบียน1.45 ล้านบาท ชำระแล้ว 1.19 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้ 1 บาทมีการถือหุ้นทางตรงและทางอ้อมในบริษัทย่อยและบริษัทเกี่ยวเนื่องรวม 9 บริษัทโดยลงทุนธุรกิจใน เมเลเซีย อินโดนีเซีย อินเดีย ผ่าน Ingress Industrial (Malaysia) Sdn. Bhd. ซึ่งบริษัท INGRS ถือหุ้น 100%
INGRS จะเสนอขายหุ้นสามัญจำนวนไม่เกิน 578.44 ล้านหุ้น (40% ของหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้ว) ซึ่งประกอบด้วย หุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 261.56 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่ถือโดย ICB จำนวนไม่เกิน 316.88 ล้านหุ้น หลังไอพีโอ ICB จะลดสัดส่วนลงเหลือ 60%
Dato’ Dr.Ab Wahab Ismail กรรมการแห่ง INGRS กล่าวว่า เงินที่ได้จากการขายหุ้นไอพีโอประมาณ 30% จะใช้สำหรับการชำระคืนเงินกู้ ส่วนที่เหลือราว 70% จะนำไปขยายธุรกิจและเป็นเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งบริษัทเพิ่งขยายกำลังการผลิตแม่พิมพ์สินค้าขึ้นรูปขนาดกลางที่จังหวัดระยอง เพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมเพิ่มเติมจากแม่พิมพ์สินค้าขึ้นรูปขนาดเล็กเมื่อปีที่ผ่านมา มีแผนขยายกำลังการผลิตที่มาเลเซีย อยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนเครื่องปั๊มขึ้นรูปสินค้าขนาดกลางที่อินโดนีเซียเพิ่มเติม ส่วนที่อินเดียกำลังศึกษาความเป็นไปได้ร่วมกับพันธมิตรในการลงทุนเพิ่มเติม


 
คลิกอ่านบทความทางด้านการลงทุนได้ที่ Wealth Management & Investing 2017 ฉบับ มิถุนายน 2560 ในรูปแบบ e-Magazine


