เรื่องราวของ Planet Ocean
ในวาระครบรอบ 20 ปีของการเผยโฉม Planet Ocean รุ่นแรก เหล่าช่างนาฬิกาของ OMEGA ได้หวนรำลึกถึงคอลเลคชั่นอันโดดเด่นดังกล่าวด้วยการรังสรรค์เครื่องบอกเวลาแบบใหม่ที่ได้รับการปรับโฉมให้เหมาะกับปัจจุบัน
เรือนเวลาเจเนอเรชั่นที่ 4 จะนำเสนอสุนทรียะแห่งรูปลักษณ์ในรูปแบบใหม่ผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญทั้งบนตัวเรือนและการออกแบบของสายนาฬิกาโลหะ เช่นเดียวกับการปรับปรุงด้านเทคนิคเพื่อรับประกันถึงประสิทธิภาพและคุณภาพที่เหนือระดับ
อย่างไรก็ตาม ตัวตนของ Planet Ocean ยังคงไม่อันตรธาน ดีเอ็นเอแห่งประวัติศาสตร์ด้านมหาสมุทรของ OMEGA ยังคงปรากฏในองค์ประกอบสำคัญต่างๆ ที่ทำให้คอลเลคชั่นดังกล่าวกลายเป็นสัญลักษณ์ของโลกแห่งนาฬิกาดำน้ำ
เรื่องราวบทใหม่จะถูกจารึกผ่านเรือนเวลาใหม่ทั้งเจ็ดรุ่นที่มาพร้อมกับกลไก Co-Axial Master Chronometer ซึ่งรวมถึงรุ่นที่มาในสีส้มอันเป็นสัญลักษณ์แห่งการนิยามประวัติศาสตร์นาฬิกาดำน้ำของ OMEGA
เรื่องราวของการบุกเบิก
นาฬิกา Seamaster Planet Ocean รุ่นแรกได้รับการเผยโฉมในปี 2005 หลังจากเวลาล่วงเลยไป 20 ปี คอลเลคชั่นนี้ก็ได้กลายเป็นนิยามของกลุ่มนาฬิกาดำน้ำหรูที่ผสมผสานระหว่างสไตล์กับฟังก์ชั่นได้อย่างลงตัว และแสดงให้เห็นถึงศิลปะแห่งการวิวัฒน์และจิตวิญญาณแห่งการบุกเบิก

ก่อนการมาถึงของ Planet Ocean
ประวัติศาสตร์ด้านการดำน้ำของ OMEGA เริ่มต้นขึ้นในปี 1932 หลังการเผยโฉมนาฬิกา Marine – เรือนเวลารุ่นแรกของโลกที่ถูกออกแบบมาสำหรับพลเรือน เครื่องบอกเวลาที่ได้รับการออกแบบอย่างชาญฉลาดนี้คือจุดเริ่มต้นของตัวตนที่เกี่ยวข้องกับโลกใต้น้ำที่จะดำรงไปตลอดทศวรรษที่ 50, 60 และ 70 ผ่านผลงานระดับปฏิวัติวงการ เช่น Seamaster 300, Seamaster 1000 และ PloProf ซึ่งล้วนเป็นที่จดจำจากนวัตกรรมและความน่าเชื่อถือระหว่างการใช้งานใต้น้ำ เมื่อถึงทศวรรษที่ 90 ทาง OMEGA ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของการออกแบบนาฬิกาดำน้ำอีกหนด้วยการนำนาฬิการะดับไอคอนอย่าง Seamaster Diver 300M กลับมาอีกครั้งและยังคงเป็นหนึ่งในคอลเลคชั่นระดับสัญลักษณ์ของแบรนด์ จากผลงานรังสรรค์ต่างๆ แบรนด์ OMEGA ได้สั่งสมชื่อเสียงในฐานะเจ้าแห่งนาฬิกาดำน้ำและได้รับความเชื่อมั่นจากเหล่านักสำรวจมหาสมุทร นักบุกเบิก และนักวิทยาศาสตร์อีกมากมาย
แรงบันดาลใจ
เครื่องบอกเวลา Planet Ocean รุ่นแรกๆ ถูกรังสรรค์ขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากนาฬิกา OMEGA Seamaster 300 ในช่วงทศวรรษที่ 50 และต้นทศวรรษที่ 60 ซึ่งทำให้ดีเอ็นเอระดับสัญลักษณ์ของนาฬิกาดำน้ำของแบรนด์ยังคงเป็นหัวใจหลักของการออกแบบในปี 2005 โดยรายละเอียดต่างๆ ประกอบไปด้วย หน้าปัดสีดำที่อ่านค่าได้อย่างสะดวก หลักเลขอารบิกทุกสิบห้านาที ชุดเข็มทรงหัวศร และขอบตัวเรือนพร้อมสเกลดำน้ำและวงแหวนด้านใน
เป็นเลิศในโลกใต้น้ำ
Planet Ocean เป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญในตัวตนด้านนาฬิกาดำน้ำของ OMEGA เครื่องบอกเวลาถูกรังสรรค์ให้สามารถทนทานมหาสมุทรได้ที่ความลึกสูงสุด 600 เมตร – ความลึกเป็นสองเท่าของนาฬิกา Seamaster Diver 300M - นำเสนอระดับของนวัตกรรมที่สามารถตอบโจทย์การสำรวจใต้น้ำที่ท้าทายที่สุดได้

นวัตกรรม Liquidmetal™
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญต่อการออกแบบมาถึงในปี 2009 เมื่อ วัสดุ Liquidmetal™ ได้ถูกนำมาใช้งานครั้งแรกในนาฬิกาสวิสเพื่อรังสรรค์สเกลดำน้ำบนขอบตัวเรือนจากเซรามิกสีดำ นวัตกรรมได้เสริมความงามขึ้นอีกระดับ ทนทานต่อการขีดข่วนมากขึ้น รวมถึงมอบความทนทาน นี่คือผลลัพธ์จากการทดลองตลอดระยะเวลาหลายปีและส่งสัญญาณถึงยุคสมัยใหม่แห่งการออกแบบตัวเรือน
เจเนอเรชั่นที่ 2
ปี 2011 มาพร้อมกับนาฬิกา Planet Ocean เจเนอเรชั่นที่ 2 – การเปลี่ยนแปลงสำคัญประกอบด้วยขอบตัวเรือนจากวัสดุเซรามิก หน้าปัดที่เงางาม กระจกแซฟไฟร์บนฝาหลัง และกลไก Calibre 8500 แม้ว่ากลไกจะถูกผลิตมาตลอดหลายปีก่อนหน้า กลไก 8500 ที่ถูกนำมาติดตั้งในปี 2011 ให้กับนาฬิกา Planet Ocean นั้นได้มีการเปลี่ยนไปใช้ซิลิคอนบาลานซ์สปริง (Si14) เพื่อเสริมคุณสมบัติด้านการต้านทานสนามแม่เหล็ก
ความสำเร็จในการรังสรรค์เซรามิกสีส้ม
ก่อนปี 2014 ขอบตัวเรือนสีส้มของนาฬิกา Planet Ocean ทุกรุ่นจะถูกรังสรรค์ด้วยวัสดุอลูมิเนียม การรังสรรค์เซรามิกสีส้มนับได้ว่าเป็นความท้าทายมาโดยตลอดจนกระทั่ง OMEGA สามารถผลิตได้สำเร็จและนำมาใช้งานกับนาฬิกา Planet Ocean GMT รุ่นปี 2014 ที่ผลิตด้วยวัสดุแพลทินัม ประดับด้วยขอบตัวเรือนเซรามิกสีส้ม และประดับด้วยข้อความ "World Premiere" บนฝาหลัง นับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงชื่อเสียงด้านการบุกเบิกของคอลเลคชั่น
เจเนอเรชั่นที่ 3
เปิดตัวในปี 2016 นาฬิกา Planet Ocean เจเนอเรชั่นที่ 3 ได้รับการติดตั้งด้วยกลไก Co-Axial Master Chronometer มอบความเปลี่ยนแปลงให้กับคอลเลคชั่นด้วยมาตรฐานที่สูงที่สุดในอุตสาหกรรมของสวิสในด้านความเที่ยงตรง ประสิทธิภาพ และการต้านทานสนามแม่เหล็ก นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับตัวเรือนในขนาดใหม่และบางลงกว่าเดิม คอลเลคชั่นนำเสนอสุนทรียะแบบใหม่ในหลายรายละเอียด เช่น การนำวัสดุทอง Sedna™ 18K มาใช้ในการผลิตเป็นครั้งแรก เช่นเดียวกับการติดตั้งด้วยขอบตัวเรือนเซรามิกที่ประดับด้วยสเกลดำน้ำจากวัสดุยางเป็นครั้งแรกในโลก ทั้งยังเป็นปีเดียวกันที่มีการเผยโฉมนาฬิกา Planet Ocean Deep Black นาฬิกาดำน้ำสี่รุ่นใหม่ที่รังสรรค์จากเซรามิกทั้งเรือนซึ่งสามารถทนทานต่อแรงดันของมหาสมุทรได้ถึงความลึก 600 เมตร / 2000 ฟุต / 60 บาร์

นาฬิกา Ultra Deep
หลังจากไปเยือนยังจุดที่ลึกที่สุดในโลกสำเร็จเมื่อปี 2019 นาฬิกา Ultra Deep เจ้าของสถิติดังกล่าวก็ได้รับการปรับโฉมเพื่อให้พร้อมวางจำหน่ายสำหรับสาธารณชนผ่านคอลเลคชั่น Planet Ocean ในปี 2022 ระหว่างการทดสอบในสภาพมหาสมุทรจริง สุดยอดเรือนเวลาดำน้ำดังกล่าวสามารถทนความลึกได้ถึง 6,000 เมตร (20,000 ฟุต) และได้รับการรับรองตามมาตรฐาน ISO 6425 สำหรับการดำน้ำแบบอิ่มตัว ตอกย้ำถึงจิตวิญญาณด้านนวัตกรรมของ OMEGA ด้วยการรังสรรค์นาฬิกาทั้งหกรุ่นด้วยวัสดุใหม่อย่าง O-MEGASTEEL อัลลอยสแตนเลสสตีลประสิทธิภาพสูงที่โดดเด่นจากคุณสมบัติด้านความแข็งแรง สีที่ขาวยิ่งกว่า ความสามารถในการต้านทานการกัดกร่อนที่เยี่ยมยอด และความมันวาวที่ยากจะหาวัสดุใดเปรียบ
การพัฒนาของเจเนอเรชั่นที่ 4
เมื่อแรกพิจารณาก็จะพบว่า Planet Ocean ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการพัฒนาทางสุนทรียะ เรือนเวลารุ่นใหม่ในเจเนอเรชั่นที่ 4 จะนำเสนอตัวตนที่ได้รับการปรับโฉมใหม่อย่างลงตัว — ผสมผสานเสน่ห์ของการออกแบบอันคลาสสิกแบบ Planet Ocean เข้ากับด้านที่ร่วมสมัยและยังคงรักษาตัวเลือกสีส้มอันเป็นเอกลักษณ์ที่เป็นส่วนหนึ่งของคอลเลกชั่นมาตั้งแต่ปี 2005

แรงบันดาลใจ
เมื่อ Planet Ocean เผยโฉมในปี 2005 เครื่องบอกเวลาได้สะท้อนถึงแรงบันดาลใจที่ได้รับจากนาฬิกา Seamaster 300 จากทศวรรษที่ 60 อย่างชัดเจน สำหรับเครื่องบอกเวลาในเจเนอเรชั่นที่ 4 ทาง OMEGA ได้หวนย้อนกลับมายังประวัติศาสตร์ของ Seamaster อีกครั้งและศึกษาเหล่าเครื่องบอกเวลาจากทั้งทศวรรษที่ 80 และ 90 รวมถึงแนวคิดบางส่วน ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือการออกแบบในแนวทางอัน "ลงตัว" แบบใหม่ที่โดดเด่นด้วยพื้นผิวและเส้นสายที่คมชัด
มิติของนาฬิกา
เรือนเวลา Planet Ocean รุ่นใหม่มีขนาดที่ 42 มม. ซึ่งเป็นขนาดเดียวกับนาฬิการุ่นดั้งเดิมจากปี 2005 นอกจากจะมีความบางลง นาฬิกายังมีความเรียบมากกว่านาฬิกา Planet Ocean รุ่นก่อนด้วยกระจกแซฟไฟร์ทรงเรียบบนหน้าปัด รวมถึงสัดส่วนที่ผ่านการปรับโฉมทั้งตัวเรือนและขอบตัวเรือน เมื่อเทียบกับนาฬิกาเจเนอเรชั่นที่ 3 ที่มีความหนาที่ 16.1 มม. เครื่องบอกเวลารุ่นใหม่ที่ผ่านการปรับโฉมจะมีความหนาเหลือเพียง 13.79 มม.
การออกแบบตัวเรือน
ในเชิงสถาปัตยกรรมการออกแบบ นาฬิกา Planet Ocean เจเนอเรชั่นที่ 4 ได้เผยให้เห็นโครงสร้างตัวเรือนรูปแบบใหม่ที่โดดเด่นอันประกอบด้วยสองส่วนหลัก ได้แก่ ตัวเรือน กับวงแหวนไทเทเนียมที่ด้านใน ซึ่งทำให้เกิดเส้นสายที่คมชัดและมีมิติยิ่งขึ้น
เพื่อให้สอดคล้องกับดีไซน์แบบใหม่ OMEGA ได้ตัดสินใจนำฮีเลียมวาล์วที่เคยเป็นส่วนสำคัญของคอลเลคชั่นมากว่า 20 ปีออก

สายนาฬิกา
เมื่อรูปทรงตัวเรือนเปลี่ยน สายนาฬิกา Planet Ocean ก็ต้องเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน สายนาฬิกาจะกลายเป็นแบบผสานเข้ากับตัวเรือนและมาพร้อมกับข้อสายแบบเรียบ โดยข้อสายด้านนอกจะได้รับการตกแต่งแบบขัดด้านและขัดเงาที่บริเวณส่วนกลาง
ด้วยความเคารพต่อตัวตนของ Seamaster สายนาฬิกาโลหะรุ่นใหม่ได้ถูกออกแบบให้บางลง เพื่อมอบความสบายสูงสุดในการสวมใส่ สามารถปรับความยาวได้ถึง 6 ระดับและมาพร้อมกับระบบขยายสายสำหรับการดำน้ำของ OMEGA นอกจากนี้คอลเลคชั่นนี้ยังมีตัวเลือกเป็นสายนาฬิกายางที่มีหัวสายแบบบานพับอีกด้วย

หน้าปัด
หน้าปัดแต่ละแบบในคอลเลคชั่นใหม่ของนาฬิกา Planet Ocean จะมาในสีดำด้าน OMEGA ยังคงรักษาชุดเข็มทรงหัวศรอันโด่งดังและหลักชั่วโมงที่โดดเด่นซึ่งบรรจุด้วยสารเรืองแสง Super-LumiNova กระนั้นสิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือแบบหลักเลขอารบิก แม้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ตัวเลขได้ถูกปรับเป็นแบบช่องและมีความคมมากยิ่งขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับตัวเรือนและสายนาฬิกา นอกจากนี้ยังเป็นการเคารพต่อนาฬิกา Planet Ocean รุ่นแรกที่ใช้ตัวเลขแบบช่อง บนหน้าปัดจะประดับด้วยตรา OMEGA ชุบโรเดียม ในขณะที่พิมพ์ข้อความด้วยสีขาว

ฝาหลังไทเทเนียม
ฝาหลังของนาฬิกา Planet Ocean รุ่นใหม่จะได้รับการติดตั้งด้วยฝาหลังแบบขันเกลียวซึ่งผลิตจากไทเทเนียมเกรด 5 แทนที่ฝาหลังที่ติดตั้งกระจกแซฟไฟร์ นอกจากการปรับมิติของนาฬิกาและทำให้น้ำหนักเบาลง วัสดุยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงอีกด้วย การออกแบบฝาหลังจะประดับด้วยขอบตัวเรือนลายคลื่นพร้อมแกะสลักด้วยข้อความ PLANET OCEAN กับ SEAMASTER คุณสมบัติการกันน้ำ และตรา OMEGA Seahorse อันโด่งดังที่ตรงกลาง
ความสำเร็จทางเทคนิค
สืบสานนวัตกรรมและตัวตนแห่งการบุกเบิกของ Planet Ocean เรือนเวลาเจเนอเรชั่นที่ 4 ยังแสดงถึงรายละเอียดการออกแบบหลายอย่างที่ตอกย้ำถึงวิสัยทัศน์ที่ OMEGA มีต่อการออกแบบ
วงแหวนด้านในจากวัสดุไทเทเนียม
ระหว่างการออกแบบนาฬิกา Planet Ocean Ultra Deep ในปี 2019 ทาง OMEGA ก็ได้สะสมองค์ความรู้ในเทคโนโลยีนาฬิกาดำน้ำอย่างลึกซึ้ง องค์ความรู้ดังกล่าวได้ถูกนำมาบรรจุลงในการออกแบบนาฬิกาในอนาคตซึ่งรวมถึง นาฬิกา Planet Ocean รุ่นใหม่ประจำปีนี้
ภายในตัวเรือนของนาฬิกาแต่ละรุ่นจะมีวงแหวนด้านในที่รังสรรค์จากไทเทเนียมซึ่งเสริมความแข็งแกร่งที่จำเป็นสำหรับนาฬิกาในการดำดิ่งสู่ห้วงลึก
OMEGA ต้องการที่จะรักษาเอกลักษณ์ให้ใกล้เคียงกับนาฬิกา Planet Ocean จากปี 2005 (และนาฬิกา Seamaster 300 จากทศวรรษที่ 60) ที่มีการติดตั้งวงแหวนด้านในเป็นส่วนหนึ่งของตัวเรือน ด้วยการออกแบบทางเทคนิคใหม่ OMEGA จึงสามารถรักษารูปลักษณ์ดั้งเดิมไว้ได้ นอกจากนี้วงแหวนด้านยังมีประโยชน์ด้านการใช้งานและเหมาะกับคุณสมบัติการกันน้ำลึกถึง 600 เมตร
สีส้มอันเป็นเอกลักษณ์
สีส้มมีความเกี่ยวข้องกับคอลเลคชั่น Planet Ocean มาตั้งแต่แรกเริ่ม ในการรังสรรค์ทัพนาฬิกาปีนี้ OMEGA ต้องการให้แน่ใจว่าเฉดสีส้มสดนี้จะยังคงพร้อมเป็นตัวเลือกให้กับผู้ที่สนใจในเรือนเวลาเสมอ
อย่างไรก็ตาม ในการรังสรรค์ขอบตัวเรือนเซรามิก สีส้มนับว่าเป็นสีที่ผลิตได้ยากยิ่ง เนื่องจากคุณสมบัติทางเคมีและกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้อง การผลิตเฉดสีที่ดูสวยงามเมื่อนำมาสวมใส่บนข้อมือจึงเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะคอลเลคชั่นที่ได้รับการปรับโฉมในครั้งนี้ OMEGA ได้ทุ่มเทเวลาในการพัฒนางานหัตถศิลป์ด้านเซรามิกจนสามารถสร้างสรรค์สีส้มที่โดดเด่นที่จะปรากฏบนขอบตัวเรือนของนาฬิกาหลากหลายรุ่น
นาฬิกาแบบใหม่ทั้งเจ็ดรุ่น
มีนาฬิกา Planet Ocean ใหม่ถึงเจ็ดรุ่นที่จะเผยโฉมในคอลเลคชั่นเจเนอเรชั่นที่ 4 ซึ่งประกอบด้วยนาฬิกาสามแบบหลักกับตัวเลือกสายนาฬิกาหลากหลายแบบไม่ว่าจะเป็นวัสดุโลหะหรือยาง

นาฬิกาสีส้มสามรุ่น – หน้าปัดได้รับการประดับด้วยหลักเลขอารบิกสีส้มเคลือบแบบด้าน และขอบตัวเรือนเซรามิกสีส้ม [ZrO2] ก็ได้รับการบรรจุด้วยสเกลดำน้ำไฮบริดเซรามิกสีขาว สามารถเลือกจับคู่ระหว่างสายนาฬิกาสแตนเลสสตีล สายนาฬิกายางสีดำ หรือสายนาฬิกายางสีส้ม

นาฬิกาสีน้ำเงินสองรุ่น – มาพร้อมกับหลักเลขอารบิกสีขาวเคลือบแบบด้านบนหน้าปัด และขอบตัวเรือนสีน้ำเงินจากวัสดุเซรามิก [ZrO2] ที่บรรจุด้วยสเกลดำน้ำอีนาเมลสีขาว สามารถเลือกจับคู่ระหว่างสายนาฬิกาสแตนเลสสตีลหรือสายนาฬิกายางสีดำ

นาฬิกาสีดำสองรุ่น – หน้าปัดประดับด้วยหลักเลขอารบิกชุบโรเดียมและติดตั้งด้วยขอบตัวเรือนเซรามิกสีดำ [ZrO2] ที่มาพร้อมกับสเกลดำน้ำอีนาเมล สามารถเลือกจับคู่ระหว่างสายนาฬิกาสแตนเลสสตีลหรือสายนาฬิกายางสีดำ
นาฬิกาทุกรุ่นต่างขับเคลื่อนด้วยกลไก OMEGA Co-Axial Master Chronometer Calibre 8912 ซึ่งเป็นขุมกำลังแบบเดียวกับในนาฬิกา Ultra Deep กลไกอัตโนมัติรุ่นดังกล่าวมาพร้อมพลังงานสำรองที่นานถึง 60 ชั่วโมงและผ่านมาตรฐานระดับสูงสุดในด้านความเที่ยงตรง ประสิทธิภาพ และการต้านทานสนามแม่เหล็กตามที่ได้รับการรับรองโดยสถาบันมาตรวิทยาแห่งสวิส (METAS)


