ผศ.นพ.ชลธิศ สินรัชตานันท์ ปั้น TRP เลื่องชื่อด้วยนวัตกรรม - Forbes Thailand

ผศ.นพ.ชลธิศ สินรัชตานันท์ ปั้น TRP เลื่องชื่อด้วยนวัตกรรม

แพทย์ด้านศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า ผู้คิดค้นและวิจัยการทำศัลยกรรมด้วยเทคนิค Lock System พัฒนาเทคนิคยกกระชับใบหน้า Face-Lock, Face-Lift เป็นที่รู้จักในวงการกระทั่งได้รับเชิญไปบรรยายในต่างประเทศบ่อยครั้ง หลังเปิดคลินิกมา 40 ปี ล่าสุดเตรียมก้าวสู่โรงพยาบาลศัลยกรรมใบหน้าในปี 2567 

    

    บนถนนเจริญนคร แขวงคลองสาน ไม่ไกลจาก “ไอคอนสยาม” มากนัก เป็นที่ตั้งของ “ธีรพรคลินิก” กิจการสถานพยาบาลของ บริษัท เอสเตติก คอนเนค จำกัด (มหาชน) หรือ TRP ซึ่งผู้ก่อตั้งบอกว่า เขาตั้งใจสร้างเป็นโรงพยาบาล และทำทุกอย่างตามมาตรฐาน ติดขัดอยู่ข้อเดียวว่าลิฟต์มีขนาดเล็กไป นำเปลคนไข้เข้าไม่ได้ทำให้ไม่ผ่านเกณฑ์การขึ้นทะเบียนเป็นโรงพยาบาลในวัย 75 ปี ผศ.นพ.ชลธิศ สินรัชตานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TRP ยังคงดูกระฉับกระเฉงไม่มีท่าทีเหน็ดเหนื่อย ทั้งที่ก่อนจะให้สัมภาษณ์ทีม Forbes Thailand ในช่วงเย็นเขามีนัดประชุมและเตรียมงานมาตลอดทั้งวัน

    “เราบูมมานานแล้ว เมื่อก่อนคนไข้เยอะกว่านี้ แต่ยอดเงินน้อยกว่า ยอดขายขึ้นกับว่าขายอะไร ยุคหนึ่งจมูกโด่งดังทำไม่ทัน และต่อมาเป็นตา เมื่อก่อนทำคนเดียวประมาณ20 ปีก่อนสร้างทีมแทพย์ เราจะคัดแต่คนดีมีคุณธรรม...เพราะอาชีพหมอต้องทำให้คนไข้ไม่เจ็บ ไม่อักเสบ หายเร็ว ไปทำงานได้”

    ผศ.นพ.ชลธิศเกริ่นนำถึงหลักคิดในการทำงานคลินิกให้บริการศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าด้วยเทคนิค Lock System บริเวณ 7 ตำแหน่ง เช่น ล็อกชั้นตาแบบผ่าตัดตา 2 ชั้นโดยไม่ตัดหนังตาทิ้ง ศัลยกรรมตา 2 ชั้นแก้ไขกล้ามเนื้อตาอ่อน ตาลึก ชั้นตาทั้งสองข้างไม่เท่ากัน, ล็อกหางตาให้เข้ากับองค์-ประกอบบนใบหน้าและช่วยลดรอยตีนกา, ล็อกขมับทำให้ลดริ้วรอยบริเวณหน้าผาก คิ้ว หางตา และขมับ, ล็อกเหนียงคอช่วยลดความหย่อนคล้อย คอไม่พับเป็นชั้น การทำศัลยกรรมตา ศัลยกรรมจมูกด้วยซิลิโคน เนื้อเยื่อเทียม หรือไขมันตัวเอง การให้บริการด้านผิวพรรณ เช่น การฉีดสารเติมเต็มริ้วรอยและปรับรูปหน้า (filler) การฉีดสารต้านริ้วรอยและปรับรูปหน้า (botox) การให้วิตามินทางน้ำเกลือ เป็นต้น

    ลูกค้าแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มอายุ  20-30 ปี เน้นทำศัลยกรรมตา 2 ชั้นและเสริมจมูก, อายุ 30-45 ปี เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อและมีความต้องการหลากหลาย ส่วนใหญ่ทำศัลยกรรมตา 2 ชั้น เสริมจมูก ยกคิ้ว ยกหางตา หรือดึงใบหน้า กลุ่มสุดท้าย อายุมากกว่า 45 ปี เริ่มมีปัญหาริ้วรอย ตาตก คิ้วตก ศีรษะล้าน กลุ่มนี้ต้องการทำศัลยกรรมดึงหน้า ดึงหน้าผาก ฉีดไขมันเพื่อเติมเต็มให้ใบหน้าอิ่ม ลดความหย่อน-คล้อย

    เว็บไซต์ของคลินิกนอกจากเป็นภาษาไทยแล้ว ยังมีภาษาอังกฤษ จีน และเขมร โดยกลุ่มหลังเข้ามาเป็นลูกค้าคลินิกนานแล้ว ส่วนชาวจีนเป็นกลุ่มลูกค้าใหม่ที่บริษัทเพิ่งเริ่มทำตลาดแม้ช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด 3 ปีก่อนผลประกอบการของบริษัทลดลงแต่ยังมีกำไร โดยระหว่างปี 2563-2565 มีรายได้ 221.60, 427.78 และ 854.07 ล้านบาท กำไรสุทธิ 37.15, 112.68 และ 270.27 ล้านบาท ตามลำดับ

    

    เทคนิค Lock System

    

    ผศ.นพ.ชลธิศเป็นชาวจังหวัดตาก ในวัยเด็กมีความฝันอยากเป็นวิศวกร อยากขับเครื่องบิน เขาสอบติดคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อมารดาบอกว่า ให้เรียนแพทย์เขาจึงเบนเข็มชีวิตมาทางด้านนี้ กระทั่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าที่มีชื่อเสียงในปัจจุบัน โดยเป็นผู้ค้นคิดนวัตกรรมการทำตา 2 ชั้น แบบกรีดแผลสั้น เย็บล็อก 3 จุด ด้วยเทคนิค Lock System เป็นผู้คิดค้นการนำเอา fat stem cell มาใช้ในการตกแต่งเสริมจมูก และการรักษากรณีที่จมูกทะลุจากการฉีดซิลิโคนเหลว และคิดค้นวิธีการดึงหน้าให้เหมาะกับโครงหน้าชาวเอเชีย และเรียกเทคนิคนี้ว่า Double Loop Technic ซึ่งนำไปสู่การทำ Face-Lock

    “หลังสอบเสร็จผมกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด มีโทรเลขจากจุฬาฯ เรียกตัวบอกได้วิศวะก็รีบมามอบตัว อีกอาทิตย์คณะแพทยศาสตร์แจ้งมาว่าได้ แม่บอกว่าเรียนหมอเถอะ แต่ใจเราชอบประดิษฐ์ ชอบสร้าง ชอบเครื่องบิน ต้องเรียนหมอคนละทางเลย ต้องจำและอ่านเยอะ”

    สาเหตุที่มาเป็นแพทย์โสต ศอ นาสิก ก็ไม่ได้ตั้งใจอีกเหมือนกัน ความที่ไม่ชอบการผ่าตัดที่ต้องใช้เวลานานๆ จึงเลือกเป็นจักษุแพทย์ แต่เพื่อนมาขอแลก เขาจึงเรียนด้านโสต ศอ นาสิกแทน และได้รับการบรรจุเป็นแพทย์ที่โรงพยาบาลศิริราชในปี 2519 ทำงานได้ 3 ปี “รศ.นพ.เชิญ เศขรฤทธิ์” หัวหน้าแผนกหู คอ จมูก โรงพยาบาลศิริราชขณะนั้น สนับสนุนและผลักดันให้ไปเรียนเป็น Fellow ด้านศัลยกรรมตกแต่งกับ “พลตรีทายาท สุขบำรุง” ที่โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช อาจารย์เพิ่งสำเร็จการศึกษาด้านศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าจากสหรัฐอเมริกา ขณะนั้นความรู้ด้านนี้ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก หัวหน้าบอกแกมบังคับหลายครั้งว่าเป็นวิชาใหม่ในสหรัฐฯ ทำมา 10 กว่าปีแล้ว ผศ.นพ.ชลธิศไม่อยากไปเพราะงานที่ทำอยู่ก็มากแล้ว ต้องผ่าตัดหู คอ จมูก หน้าผาก ช่องจมูก ทว่าท้ายสุดก็ไปเรียนโดยตั้งใจว่าจะเรียนวันเดียว ทำไปทำมาใช้เวลาปีเศษ

    “ผมไปเรียนกับอาจารย์ทายาท เราไปยืนดู ผ่าอะไร ไม่เคยเห็น ผ่าตา 2 ชั้น เอาซี่โครงมาทำจมูก ตัดโน่น ดึงนี่ อาจารย์ทายาทไม่พูดอะไรมากไปถึงก็เรียกกินข้าว เข้าห้องผ่าตัดและให้ดู ตอนแรกว่าจะไปวันเดียว อาจารย์บอกพรุ่งนี้มาอีกนะ บอก 7 โมงเช้าเริ่มผ่าตัด ผมตื่นตั้งแต่ตี 5 ไปถึงโรงพยาบาล 7 โมงกว่า บ้านอยู่แถวนี้ สมัย 50 ปีที่แล้วขับรถไปโรงพยาบาลภูมิพลฯ ใช้เวลาชั่วโมงกว่า ไปทุกวันจันทร์-ศุกร์ บางทีเสาร์อาทิตย์อาจารย์ก็เรียกให้มาช่วย”

    หลังเรียนจบกลับมา รศ.นพ.เชิญจึงเปิดแผนกใหม่ โดยซื้ออุปกรณ์จากต่างประเทศและแต่งตั้งให้เขาเป็นหัวหน้าแผนกศัลยกรรมตกแต่งและเสริมสร้างใบหน้า เปิดหลักสูตรใหม่สอนแพทย์ประจำบ้าน แพทย์ฝึกหัด รวมทั้งให้บริการคนไข้ เมื่อมีคนมารับการรักษาก็คิดค่าใช้จ่ายแค่ค่าวัสดุอุปกรณ์ นับได้ว่าคณะแพทยศาสตร์ศิริราชได้เริ่มมีการเรียนวิชานี้ในมหาวิทยาลัยเป็นแห่งแรกในเอเชีย ซึ่งสมัยนั้นวิชาศัลยกรรมตกแต่งใบหน้ามีการเรียนการสอนแห่งเดียวที่สหรัฐฯ

    “วันหนึ่งทำงานไปก็คิดว่าวิธีทั้งหมดนี้ ดึงหน้า ทำตา ตัดถลกหนังหัว ทำจมูก เป็นแบบฝรั่งหมด เราเลยวิจัยใหม่ ผมคิดว่าไม่ใช่ ตัดทำไม ตัดแล้วมีแผลเป็น คิดหาวิธีทำตาแบบเจาะเล็กดีกว่า ไม่กรีด ทดลองทำและรวบรวมได้หลายหมื่นเคสกระทั่งเขียนเป็นหนังสือออกมา...เวลาทำตา (หมายถึงผ่าตัดทำตา 2 ชั้น) ปกติผ่าและตัดๆๆๆ หนังแล้วเย็บ เราผ่าแต่ไม่ตัด เจาะรูและขึ้นชั้น ใช้ระบบล็อก แทนที่จะผ่าแบบกรีดยาว ไม่เอา เราเจาะรูและเย็บล็อก ชั้นก็มาเลย”

    คนไข้เคสแรกเป็นเด็กใกล้บ้าน คุณหมอถามเขาว่า อยากทำตา 2 ชั้นไหมทำให้ฟรี ซึ่งหญิงสาวก็ไม่ทราบว่าตนเป็นรายแรกที่ถูกทดลองวิชาปี 2536 มีคนไข้มาเข้ารับการรักษาเพราะจมูกเน่า จมูกทะลุ จมูกผิดรูป จากการเสริมจมูกด้วยซิลิโคนเหลวกับหมอเถื่อน เขาจึงคิดหาแนวทางแก้ไขและพัฒนาเทคนิคเสริมจมูกด้วยไขมันตนเอง เพื่อเติมเต็มโพรงจมูกที่หายไปหลังขูดซิลิโคนเหลวออก ช่วงแรกทำอย่างไรก็ไม่ได้ผล กระทั่งวันหนึ่งค้นพบว่าต้องเอาเฉพาะเซลล์และเนื้อเยื่อที่มีสเต็มเซลล์มาสกัดใช้ ประจวบกับมีงานวิจัยของสหรัฐอเมริกาออกมาว่าในไขมันมีสเต็มเซลล์ ทำให้มั่นใจว่ามาถูกทางแล้ว และส่งผลงานไปตีพิมพ์ในนิตยสารการแพทย์ต่างประเทศ

    “จุดเด่นของคลินิกคือ ทำตา 2 ชั้น เสริมจมูกด้วยไขมัน อันนี้คืออนาคตการเสริมจมูกยุคต่อไป ตอนนี้เอามารักษาจมูกเน่า จมูกทะลุ” ปี 2540 พัฒนาเทคนิคการผ่าตัดกระชับใบหน้าเพื่อลดรอยเหี่ยวย่นและยกกระชับใบหน้าโดยลดระยะเวลาการผ่าตัด ทำให้ ฟื้นตัวเร็วและซ่อนรอยการผ่าตัด และตั้งชื่อเทคนิคว่า Face-Lock ซึ่งมีต่างชาติสนใจมาขอดูงานรวมทั้งเชิญให้ไปบรรยายอยู่เป็นระยะ “มันมีเฉพาะที่เรา เป็น unique และเป็นความลับด้วย”

    

    Less is More

    

    นพ.ชลธิศเริ่มต้นทำงานที่ศิริราชในปี 2519 ปี 2525 จึงกู้เงิน 360,000 บาทเพื่อเปิดคลินิกรักษาโรคทั่วไปชื่อ “ธีรพรคลินิก” ต่อมาจึงให้บริการเฉพาะด้านศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า

    “พอทำผ่าตัดแล้วราคาไม่แพง ทำไปๆ มันดังเอง ทำตา 2 ชั้นเก็บแค่พันเดียวมากสุด 2,000 บาท ด้วยเทคนิคไม่เหมือนชาวบ้าน...การล็อกไม่ใช่แค่ตา คิ้ว แต่ล็อกปีกจมูกหรือปากก็ได้ เหมือนเราเป็นช่างประดิษฐ์ เทียบไปคือผมเป็นช่างตัดสูทอยู่ที่การเย็บ จุดเด่นของเราคือเป็น innovation ใหม่ ทำแล้วให้คุณประโยชน์กับคนไข้ คือ save เวลา ไม่ช้ำ ไม่เขียว ผ่าตัดเสร็จไปทำงานได้ บุคลากรเราใช้มืออาชีพเป็นระดับอาจารย์...เราไม่สนเรื่องเงินๆ จะมาเอง คนที่มาใช้บริการเสิร์ชมาเอง”

    เอ่ยถึงตอนนี้ นพ.ชลธิศหยิบโทรศัพท์เปิดให้ดูภาพคนไข้หนุ่มชาวจีนซึ่งเดินทางมาจากออสเตรเลียที่เพิ่งมาใช้บริการ เขาถามคนไข้ว่า รู้จักคลินิกได้อย่างไร หนุ่มจีนตอบว่า “I follow you เรามี Facebook, YouTube ด้วย เขาไปเรียนที่โน่น 7 ปีแล้ว ทำจมูกและตา ทำตา 20 นาที เขาบอกเพื่อนไอทำที่จีน 2 ชั่วโมงยังไม่เสร็จเลย” เพื่อรองรับการเติบโต ปี 2559 จึงเริ่มสร้างทีมแพทย์ขึ้นมาโดยแพทย์ทุกคนที่ทำงานในคลินิกต้องผ่านการอบรมพัฒนาความรู้จากแพทย์อาวุโสของบริษัท เพื่อเรียนรู้การให้บริการด้วยเทคนิคเฉพาะของคลินิก ซึ่งมีแผนการเรียนการสอนที่ชัดเจนและแบ่งตามประเภท เช่น แพทย์ผู้เชี่ยวชาญการดึงหน้า, ผู้เชี่ยวชาญด้านจมูก และผู้เชี่ยวชาญด้านตา นอกจากนี้ ยังสนับสนุนทีมแพทย์ให้ทำงานวิจัยและเข้าร่วมสัมมนาต่างประเทศ

    นพ.ชลธิศเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ จากเทคนิคที่เขาคิดค้นขึ้นใหม่ รวมทั้งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งอาเซียนกับอีก 10 ประเทศในอาเซียน และจัดประชุมแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการอยู่เป็นระยะ “เราทำงานเป็นระบบทีม มีหมอทำตา 3-4 คน จมูก 4 คน...ให้หมอทำอย่างเดียว ทำดึงหน้ากระทั่งหลับตาก็ทำได้ ถ้าทำหลายอย่างฝึกยังไงก็ไม่ขึ้น มือไม่ขึ้น” เมื่อถามว่า ไม่มีคนอยากเป็นแบบคุณหมอที่ผ่าตัดได้หลายอย่างหรือ คำตอบคือ “มันไม่ไปไง ผมก็เคยเป็น 7 ปีแรกทำไปแล้วไม่พัฒนาก็ไม่ผ่าตัดอะไรเลย 3-4 เดือน จนมีคนมาขอผ่าตาก็เริ่มทำ และอ๋อมันต้องใช้วิธีนี้ ก็ออกมาเป็นงานวิจัยหมด ตั้งแต่นั้นมาถึงจับทริคได้”

    “เดิมหมอแต่ละคนทำได้ทุกอย่าง พอทำได้สักปี ผมบอกหมอทำจมูกให้มาทำดึงหน้า เขาบอกไม่เอา รู้ไหมว่าการ (ผ่าตัด) ดึงหน้าแบบฝรั่งใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง ของเราทำชั่วโมงเดียวจบ ยาวหน่อย 2 ชั่วโมง ทำเสร็จลุกขึ้นนั่งกินข้าว ไปเที่ยวได้เลย เรื่องตาพอลืมตาก็แต่งหน้าได้เลย เมื่อก่อนไม่เคยมีโฆษณา คนไข้ดารามาทำเสียตังค์ด้วยนะ...เราฝึกหมอให้ทำวิจัยด้วย”

    

    3 ตำราการแพทย์

    

    ในวันที่ให้สัมภาษณ์ นพ.ชลธิศหิ้วถุงผ้ามา 1 ใบ ภายในบรรจุหนังสือเล่มและเอกสารโรเนียวขนาด A4 ซึ่งเป็นผลงานวิชาการของเจ้าตัว เอกสารชุดนี้จัดทำขึ้นคราวที่ได้รับเชิญไปบรรยายต่างประเทศเป็นครั้งแรกปี 2545

    “ก่อนหน้านั้นไม่เคยไปไหน มีหมอเด็กจากอินโดนีเซียมาเรียนเกี่ยวกับภูมิแพ้ที่ศิริราช เรียน 2 ปีและกลับอินโดฯ บอกอาจารย์ว่า ที่ไทยมีการผ่าตัดเสริมจมูกจากไขมัน ทางอินโดฯ เขียนจดหมายเชิญไป lecture...เป็น national university ตอนนั้นอะไรก็ยังไม่พร้อม เพิ่งเริ่มมีคอมพิวเตอร์ก็ save ไฟล์ใส่แผ่น CD ไปถึงโน่นเปิดคอมฯไม่ได้เพราะคนละระบบ” อาจารย์เล่าพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะหยิบหนังสืออีก 3 เล่มออกมาให้ดู ทั้งหมดตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ Less is More My Way และ Asian Blepharoplasty เป็นตำราเกี่ยวกับการทำตา 2 ชั้น เล่มหลังตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ประเทศสิงคโปร์ซึ่งขอซื้อลิขสิทธิ์และจัดพิมพ์จำหน่ายเอง ส่วน Masterclass Rhinoplasty เป็นความรู้ด้านการเสริมจมูกด้วยไขมัน คุณหมอใช้เวลาประมาณ 20 ปีกว่าจะกลั่นออกมาเป็นตำราแต่ละเล่ม เพราะต้องรวบรวมข้อมูลจากเคสคนไข้

     “การทำตา 2 ชั้นรวบรวมหลายหมื่นเคส ลองผิดลองถูก พัฒนาต่อยอดมา เคสยากๆ ไขมัน กล้ามเนื้ออ่อนแรง ใช้เทคนิค Eye-Lock ได้หมด...เล่มนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกปี 2012 เนื่องในโอกาส 120 ปีวันมหิดล พอทำๆ ไป หมอต่างชาติมาเยอะ และเชิญเราไป หนังสือตีพิมพ์ขายทั่วโลก วันหนึ่ง (สำนักพิมพ์) สิงคโปร์ซึ่งจัดพิมพ์ตำราแพทย์ทั่วโลกขอซื้อลิขสิทธิ์และเรียบเรียงใหม่เป็นอีกเวอร์ชั่นจาก Less is More My Way เป็น Asian Blepharoplasty

    “เราเป็น world class ไหม การจะเขียนตำราอินเตอร์แบบนี้ ต้องเอาแก่นส่งไปให้ professor ทั่วโลก 5 คน approve แล้วเขาจึงตีพิมพ์เรื่องการทำตา 2 ชั้นในคนเอเชีย เล่มนี้ขายดี...ผมไม่ได้เขียนตำราเพื่อขอตำแหน่ง ปรัชญาของผมทำงานไม่เอาตำแหน่ง ผมผลิตงานออกมาและสอนๆ จนดังไปทั่วโลก สิ่งเหล่านี้ถ่ายทอดให้ทีมงานทั้งหมด ส่วนการให้ของดีๆ กับคนไข้คือเป้าหมายในชีวิต” 

    คุณหมอกล่าวพร้อมเปิดหนังสือ Masterclass Rhinoplasty ให้ดูภาพตัวอย่างคนไข้ที่ได้รับการผ่าตัดเสริม/รักษาจมูกด้วยการใช้ไขมันตนเองและบอกว่า เล่มนี้เขาไม่พิมพ์ขายจะแจกให้เฉพาะผู้เข้าเรียนเท่านั้น เนื่องจากมีประสบการณ์จากเล่มก่อนที่คนศึกษาเองจากตำราแล้วผ่าตัดให้คนไข้ ซึ่งเขามองว่าอาจเกิดข้อผิดพลาดได้ เพราะไม่ได้รับการฝึกฝนโดยตรงด้วยเทคนิคเฉพาะที่พัฒนาขึ้นเอง ทีมงานก็พร้อมพรัก ก้าวต่อไปคือ การสร้างโรง-พยาบาลธีรพร โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งเฉพาะใบหน้าระดับสากลภายในไตรมาส 4 ปี 2567

    “เราจะให้โรงพยาบาลนี้เป็นสถาบันวิชาการ เรามีเป้าหมายว่าจะเป็นโรงพยาบาลที่ให้ความรู้ บริการ และประโยชน์กับคนไข้ ใครทำแล้วมีปัญหามาแก้ไขที่นี่ โดยเฉพาะจมูก ตา หน้า ในต่างประเทศงานค้นคว้าต่างๆออกมาจากสถาบันอิสระ ไม่ใช่ของรัฐ

    “ตั้งแต่เริ่มทำตลาดทางสื่อโซเชียลมีคนต่างประเทศมาทำกับเรา...เฉลี่ยมีคนไข้มาทำวันละ 10 กว่าคน ชาวต่างชาติทยอยมาเรื่อยๆ เริ่มทำเว็บไซต์ภาษาอังกฤษได้ 1 เดือน เราบูมตาก่อน (หมายถึงทำตา 2 ชั้น) แล้วจมูก ตอนนี้พักไว้ก่อน เพราะ Face-Lock มาบูมแทน...ตอนไปต่างประเทศ (แรกๆ) ฝรั่งไม่เชื่อจะเอาไขมันเหลวๆ มาปั้นเป็นจมูกได้ไง...หมออินโดฯ เอาไปทำต่อ หมอฮ่องกงเอาไปวิจัยต่อและได้ปริญญาเอกแล้ว”

    นอกจากกลุ่มลูกค้าในประเทศ คลินิกยังมีแผนขยายบริการประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา เมียนมา และจีน โดยจะอบรมตัวแทนในแต่ละประเทศให้เข้าใจสินค้าและบริการ มีการดูแลอย่างครบวงจร ทั้งเรื่องที่พักและการเดินทาง

    นพ.ชลธิศกล่าวถึงความตั้งใจว่าอยากให้โรงพยาบาลแห่งนี้อยู่ไปอีกหลายสิบปีแพทย์ผู้ร่วมงานต้องมีงานวิจัยใหม่ๆ “เราตั้งเป้าว่าจะเติบโตขั้นต่ำ 15-20% ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องการโตแบบก้าวกระโดด โตเร็วไม่ดี โตเร็ว ตายเร็ว”

    ทั้งนี้ข้อมูลจาก Krungthai COMPASS ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยของธนาคารกรุงไทยระบุว่า การเสริมความงามทั้งในกลุ่มที่ไม่ใช่ศัลยกรรมและศัลยกรรมมีแนวโน้มเติบโต โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งคาดว่าภายในปี 2570 จะมีมูลค่าตลาด 55.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มจากปี 2563 ที่มีมูลค่า 20 พันล้านเหรียญ ขณะที่ตลาดเสริมความงามของประเทศไทยมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องทั้งจากกลุ่มลูกค้าชาวไทยและกลุ่มนักท่องเที่ยวเพื่อรับบริการทางการแพทย์ ด้วยจุดเด่นคือ ค่ารักษาพยาบาลถูกกว่าในภูมิภาคและสหรัฐฯ โดยข้อมูลจาก Medical Tourism Association พบว่า ค่าบริการเสริมความงามของไทยถูกกว่าสหรัฐฯ 50-120% ถูกกว่าสิงคโปร์และเกาหลีใต้โดยเฉลี่ย 24% และ 7% ตามลำดับ

    

    อ่านเพิ่มเติม : หรูหราแบบแคนาดา

    คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกันยายน 2566 ในรูปแบบ e-magazine