คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือกนง. วันนี้ (25 มิ.ย. 68) คงดอกเบี้ยที่ 1.75% ต่อปี หลังจากการประชุม 2 ครั้งก่อนหน้าปรับลดดอกเบี้ยมาต่อเนื่อง สาเหตุหลักที่คงดอกเบี้ยในรอบนี้ เพราะครึ่งแรกปี 68 เศรษฐกิจไทยโตกว่าที่คาด ส่งผลให้มีการปรับ GDP ไทยปี 68 ขึ้นเป็น 2.3% จากเดิมที่ 2.0% แต่ในช่วงครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มโตชะลอลงจากความผันผวนที่เกิดขึ้น
25 มิ.ย. 68 เป็นอีกวันที่ภาคการเงินต่างจับตาว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 3 หรือไม่ เพราะนับจากต้นปี 2568 กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ต่อเนื่องมา 2 ครั้ง ในการประชุมวันที่ 30 เม.ย. 68 และ 26 ก.พ. 68
ล่าสุด 'สักกะภพ พันธ์ยานุกูล' เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ออกมาเปิดเผยผลการประชุม กนง. ในวันนี้ว่า คณะกรรมการฯ มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% ต่อปี (โดยอีก 1 เสียง ให้ลดดอกเบี้ยฯ ลง 0.25%) โดยเห็นว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับที่ผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจในระยะถัดไป และการลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมาสามารถรองรับความเสี่ยงได้ระดับหนึ่ง
ครั้งนี้สาเหตุหลักที่กรรมการส่วนใหญ่ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพราะให้ความสำคัญกับจังหวะเวลาและประสิทธิผลของนโยบายการเงินภายใต้บริบทที่มีความไม่แน่นอนสูง และขีดความสามารถของนโยบายการเงิน (policy space) มีจำกัด
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ขยายตัวดีกว่าที่ประเมินไว้จากภาคการผลิตและการเร่งส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ รวมถึงกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ จึงมีการปรับประมาณการเศรษฐกิจไทย โดยธปท. คาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ในปี 2568 จะอยู่ที่ 2.3% (จากเดิมที่ 2%)
แต่ในระยะต่อไป เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง เพราะมีความเสี่ยงที่การส่งออกสินค้าจะได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงตามแนวโน้มรายได้และความเชื่อมั่นที่ลดลง ด้านจำนวนนักท่องเที่ยวปรับลดลง แม้รายรับนักท่องเที่ยวยังขยายตัวได้จากค่าใช้จ่ายต่อหัว โดยธุรกิจส่วนหนึ่งยังถูกกดดันจากสินค้านำเข้าและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ และปัจจัยภายในประเทศ
ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำจากปัจจัยด้านอุปทาน และไม่ได้นำไปสู่ภาวะที่ราคาสินค้าลดลงเป็นวงกว้าง โดยปี 2568 คาดว่าจะยังอยู่ที่ 0.5% อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะอยู่ที่ 1.0% ส่วนปี 2569 GDP ไทยจะอยู่ที่ 1.7% อัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะยังอยู่ในระดับต่ำที่ 0.8% และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.9%
ภาพรวมสินเชื่อยังคงหดตัว เพราะสถาบันการเงินยังระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อโดยเฉพาะ SMEs และครัวเรือนกลุ่มรายได้ต่ำ ประกอบกับความต้องการของภาคธุรกิจที่ลดลงและการชำระคืนหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น สำหรับคุณภาพสินเชื่อยังปรับด้อยลงโดยเฉพาะสินเชื่อ SMEs และสินเชื่อที่อยู่อาศัย
ด้านอัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินและในระบบสถาบันการเงินปรับลดลงตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมา อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากปัจจัยภายนอกในทิศทางเดียวกับสกุลภูมิภาค คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามการขยายตัวและคุณภาพของสินเชื่อ ซึ่งอาจมีนัยต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน คณะกรรมการฯ ประเมินว่าแนวโน้มเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง และพร้อมปรับนโยบายการเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้มและความเสี่ยงของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า
ภาพ: ธปท.
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ไมโครซอฟท์ ชู 3 องค์กรชั้นนำในไทย พร้อมไขรหัส 3 ข้อ กับการใช้นวัตกรรม AI ก้าวสู่ 'Frontier Firm'
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine