กลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศหรือ LGBTQIAN+ เป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจทั่วโลกที่รู้จักกันในชื่อเศรษฐกิจสีรุ้ง (Rainbow Economy) เนื่องจากกลุ่ม LGBTQIAN+ มีอำนาจการใช้จ่ายสูงและพร้อมที่จะใช้จายเพื่อเพิ่มความสุขส่วนตัวตามไลฟ์สไตล์ที่ชอบอย่างเต็มที่
ในขณะที่ประเทศไทยเปิดกว้างและยอมรับในความหลากหลายทางเพศ เห็นได้จากพลังสังคมที่ร่วมกันผลักดันและขับเคลื่อนให้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 หรือกฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลใช้บังคับอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงการสร้างสังคมที่เท่าเทียมในอีกมิติ
ข้อมูลจากวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) รายงานผลงานวิจัยในหัวข้อ "Love Wins Marketing: ถอดรหัสการตลาดหลัง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม" พบว่า กลุ่มผู้บริโภค LGBTQIAN+ ไทยมีจำนวนมากกว่า 5.9 ล้านคน หรือคิดเป็น 9% ของประชากรทั้งประเทศ จึงกลายเป็นขุมพลังทางเศรษฐกิจใหม่ที่ธุรกิจควรจับตามองโดยเฉพาะในตลาดอสังหาริมทรัพย์
นอกจากนั้น 54% ของประชากรกลุ่มนี้ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง ในจำนวนนี้พบว่า 79.1% สนใจเลือกซื้อบ้านเดี่ยว และ 20.9% เลือกที่จะย้ายไปอยู่กับคู่รัก โดยมีงบประมาณเฉลี่ย 3-5 ล้านบาท และมีความสนใจที่อยู่อาศัยแตกต่างกันไป
ด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์พบเห็นความต้องการที่อยู่อาศัยเป็นเทรนด์ที่ปราศจากเพศ (Genderless) ที่มีความต้องการพื้นฐานในการหาบ้านคล้ายคลึงกัน ทั้งนี้ DDproperty คาดว่ามี 4 เทรนด์สำตัญที่ตอบโจทยวิถีชีวิตของคู่รัก LGBTQIAN+ ในยุคปัจจุบัน ได้แก่
คู่สมรส LGBTQIAN+ กู้ร่วมซื้อบ้านได้ง่ายขึ้น การประกาศใช้ พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมในปีนี้ช่วยให้คู่สมรส LGBTQIAN+ สามารถยื่นกู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยร่วมกันได้ หลังจากก่อนหน้านี้การกู้ร่วมของคู่รักกลุ่มนี้มีข้อจำกัด เนื่องจากไม่เข้าเงื่อนไขของธนาคารที่กำหนดให้ผู้กู้ร่วมต้องเป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน ปัจจุบันมีหลายธนาคารที่จัดแคมเปญให้คู่สมรส LGBTQIAN+ สามารถกู้ซื้อบ้าน/คอนโดฯ ร่วมกันได้ ซึ่งข้อดีของการกู้ร่วมคือช่วยเพิ่มโอกาสให้อนุมัติการกู้ได้ง่ายขึ้น ได้วงเงินมากขึ้นเพื่อซื้อบ้านในฝันตามงบที่ต้องการ และเพิ่มความคล่องตัวทางการเงินของทั้งสองฝ่าย โดยคู่สมรส LGBTQIAN+ ที่กู้ร่วมเพื่อซื้อบ้าน/คอนโดฯ สามารถเลือกใส่ชื่อในกรรมสิทธิ์ได้ทั้งแบบ 1 คน หรือ 2 คน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด
คู่ชีวิตวิถี DINKs มองโอกาสออมเงินต่อยอดลงทุน แนวคิด DINKs (Double Income No Kids) เป็นวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่มาแรงในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นคู่รักต่างเพศหรือเพศเดียวกันที่ยังไม่มีลูกหรือวางแผนที่จะไม่มีลูก ซึ่งผู้บริโภคกลุ่มนี้มีรายได้ 2 ทางและไม่มีภาระเลี้ยงดูบุตร ทำให้มีกำลังซื้อสูงในการใช้จ่ายเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง รวมทั้งมีเงินออมและเงินลงทุนเหลือมากกว่ากลุ่มอื่น จึงให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงิน ซึ่งการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากมีความผันผวนน้อยกว่าและให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนประเภทอื่น ๆ รวมทั้งมีหลายรูปแบบให้เลือกทั้งแบบที่สร้างผลตอบแทนระยะสั้นและระยะยาว เช่น การขายใบจองคอนโดฯ, การลงทุนปล่อยเช่าบ้าน/คอนโดฯ รายเดือน หรือการลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ
เลือกบ้านใกล้หมอ วางแผนสุขภาพระยะยาว ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุดของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) พบว่า ผู้บริโภคกว่า 1 ใน 5 (22%) มองว่าที่อยู่อาศัยใกล้โรงพยาบาล/สถานพยาบาลถือเป็นปัจจัยภายนอกโครงการที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัย สะท้อนให้เห็นแนวโน้มที่ผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยหันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพอย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงหรือการรักษาเมื่อเจ็บป่วย ดังนั้น การได้อยู่อาศัยใกล้สถานพยาบาลจะช่วยเพิ่มความอุ่นใจหากเกิดเหตุไม่คาดคิด และเอื้อต่อการวางแผนดูแลสุขภาพในระยะยาวได้ดียิ่งขึ้น
เทรนด์ “Pet Humanization” เทรนด์ที่เจ้าของเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเหมือนลูก ให้ความสำคัญเทียบเท่าสมาชิกในครอบครัวยังคงมาแรง สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนไทยปัจจุบันที่มีแนวโน้มครองตัวเป็นโสดมากขึ้น หรือกลุ่ม DINKS รวมทั้งกลุ่ม LGBTQIAN+ ที่มักจะมีสัตว์เลี้ยงไว้เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว พร้อมดูแลอย่างดีเหมือนเป็นลูก ส่งผลให้เทรนด์นี้มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่างปรับตัวเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายนี้ โดยเปิดตัวโครงการคอนโดฯ Pet-Friendly หลากหลายรูปแบบเพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภค เห็นได้จากผลการสำรวจของบริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์โซลูชั่นส์ จำกัด (LWS) พบว่า ณ สิ้นปี 2566 มีจำนวนอาคารชุดประเภทที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล จำนวน 23,031 หน่วย เพิ่มขึ้น 4,600% จาก 490 หน่วย เมื่อเทียบกับปี 2554
ภาพ: DDproperty
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : วิกฤตตะวันออกกลางบานปลาย ลุ้นทองคำขึ้น! GCAP GOLD จับตาทองเด้งทดสอบ 53,500 บาท/บาททองคำ
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine