KBank Private Banking แนะปี 67 ปรับพอร์ตกระจายลงทุนใน ‘สินทรัพย์นอกตลาด’ ลดความผันผวน - Forbes Thailand

KBank Private Banking แนะปี 67 ปรับพอร์ตกระจายลงทุนใน ‘สินทรัพย์นอกตลาด’ ลดความผันผวน

KBank Private Banking ชี้ตลาดทุนยังผันผวน แนะจัดพอร์ตแบ่งลงทุนใน ‘สินทรัพย์นอกตลาด’ เปิดช่องเพิ่มผลตอบแทนในระยะยาว ตั้งเป้าหมายภายใน 5 ปี มีสัดส่วนลูกค้าลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาดเพิ่มสู่ 20% เดือน พ.ค. นี้เตรียมขาย 2 กองทุนหุ้นนอกตลาดกึ่งสภาพคล่อง (Semi-Liquid)


    ตรีพล ภูมิวสนะ Senior Managing Director, Private Banking Business Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ปีที่ผ่านมาผลตอบแทนในเกือบทุกสินทรัพย์หลักลดลงแรง เช่น ดัชนี MSCI World ปรับตัวลดลงกว่า 20% ขณะที่ปี 2567 นี้ตลาดทุนยังมีความไม่แน่นอนจาก ความขัดแย้งต่างๆ สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ การเลือกตั้งในหลายประเทศที่อาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์ต่างๆ ทำให้การลงทุนในสินทรัพย์ดั้งเดิมต้องเผชิญความท้าทายมากขึ้น ดังนั้นนักลงทุนควรปรับกลยุทธ์การลงทุนเพื่อรับมือความผันผวนต่างๆ

    ทั้งนี้ KBank Private Banking แนะนำปรับกลยุทธ์การลงทุน โดยมองว่าการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาด เช่น หุ้นนอกตลาด (Private Equity) อสังหาริมทรัพย์นอกตลาด ฯลฯ จะช่วยกระจายความเสี่ยง และลดความผันผวนโดยรวม ขณะเดียวกันยังได้ลงทุนในธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโต หรือ Megatrend ของโลก เช่น Healthcare, Medical Devices เทคโนโลยีด้านอวกาศ ฯลฯ


    อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนักลงทุนไทยยังลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาดอย่าง Private Equity (PE) ยังค่อนข้างน้อย ส่วนหนึ่งอาจเพราะกังวลเรื่องสภาพคล่องเมื่อต้องล็อกเงินลงทุนไว้นาน (เช่น ต้องรอขายในรายไตรมาส หรือลงทุนนาน 12-24 เดือน) แต่เชื่อว่าการลงทุนสินทรัพย์นอกตลาดจะขยายตัวขึ้น จากเทรนด์การเติบโตที่เกิดขึ้นทั่วโลก จากสถิติ ย้อนหลัง 10 ปี 5 ปี และ 3 ปี พบว่าการลงทุนในหุ้นนอกตลาดสามารถให้ผลตอบแทนมากกว่าหุ้นในตลาดได้ถึง +5% +7% และ +9% ตามลำดับ

    โดยที่ผ่านมาพอร์ตของ KBank Private Banking มีลูกค้าลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาดราว 16,000 ล้านบาท (ณ สิ้นปี 66) จากสินทรัพย์ภายใต้การบริหารที่มีอยู่ราว 900,000 ล้านบาท (ฐานลูกค้า 12,000 คน) ทั้งนี้ ตั้งเป้าหมายว่าภายใน 5 ปี สัดส่วนสินทรัพย์นอกตลาดจะเพิ่มขึ้นเป็น 20% ของสินทรัพย์ในพอร์ต

    “ธุรกิจนอกตลาดมีขนาดที่ใหญ่มาก ในส่วนของไทยหากดูตัวเลขของกระทรวงพาณิชย์มี SME ราว 3 ล้านบริษัท แต่มีบริษัทที่จดทะเบียนอยู๋ในตลาดหลักทรัพย์เพียง 700 บริษัท ขณะที่ทั่วโลกยังมีธุรกิจที่มีการเติบโตน่าสนใจอีกมากมาย จึงมองว่า สินทรัพย์นอกตลาด ยังมีโอกาสอีกมาก” ตรีพล กล่าว

    ทั้งนี้ KBank Private Banking แนะนำกลยุทธ์การจัดพอร์ตแบบ Core & Satellite โดยสัดส่วนหลักหรือ Core จะคิดเป็น 60-80% ของพอร์ต โดยแนะนำกองทุนสินทรัพย์นอกตลาดกึ่งสภาพคล่อง ที่สามารถเข้าซื้อได้รายเดือน ขายหน่วยลงทุนได้เป็นรายไตรมาส และมีล็อกเงินลงทุนเพียง 12-18 เดือน

    ในขณะที่สัดส่วนเสริมหรือ Satellite คิดเป็น 20-40% ของพอร์ต จะเป็นกองทุนหุ้นนอกตลาดตามธีมต่างๆ เช่น หุ้นนอกตลาดทั่วโลก หุ้นนอกตลาดจีน หุ้นนอกตลาดไทย หุ้นเทคนอกตลาด หุ้นอสังหาฯ นอกตลาดทั่วโลก หุ้นอสังหานอกตลาดไทย รวมถึงหนี้นอกตลาด เป็นต้น


    นอกจากนี้ใน เดือน พ.ค. 2567 นี้ หากได้รับอนุญาตจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะเปิดขาย 2 กองทุนหุ้นนอกตลาดกึ่งสภาพคล่อง (Semi-Liquid) ได้แก่

    - กองทุน K-GPEQ-UI เป็น Private Equity ผ่านการร่วมมือกับ EQT ซึ่งเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญ PE อันดับที่ 3 ของโลก โดยจะลงทุนในธุรกิจหลากหลาย เช่น SHI Medical บริษัทที่ทำอุปกรณ์ทางการแพทย์ของสวิตเซอร์แลนด์, INDIRA IVF ธุรกิจด้านการแพทย์ในอินเดียที่เจาะกลุ่ม Middle income ถึง Upper หรือ First student บริษัทผลิตรถนักเรียนที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐ มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 20%

    - กองทุน MPCREDIT-UI เป็น Private Credit ผ่านความร่วมมือกับ APOLLO ซึ่งเป็นบริษัทอันดับ 1 ในด้าน Private Credit ทั้งนี้มีการลงทุนในหลายธุรกิจ เช่น VFS global บริษัทรับจ้างทำวีซ่า, BDO ของสหรัฐ บริษัท Private Firm อันดับ 5 ของโลก, ASDA ธุรกิจ Supermarket ขนาดใหญ่ในอังกฤษ

    อย่างไรก็ตาม KBank Private Banking มองว่า สินทรัพย์นอกตลาดเป็นส่วนเสริมที่จะเพิ่มโอกาสสร้างการเติบโตในพอร์ตการลงทุน โดยควรออกแบบปรับสัดส่วนตามระดับความเสี่ยงของผู้ลงทุนเสมอ



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : สรุปอินไซต์จาก YouTrip คนไทยเที่ยวนอก ‘กินถูก ช็อปแพง’ ญี่ปุ่นรั้งแชมป์ Top Destination

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine