LGT มองแนวโน้มการลงทุนปี 2567 ภาพรวมยังบวกแต่เศรษฐกิจผันผวน - Forbes Thailand

LGT มองแนวโน้มการลงทุนปี 2567 ภาพรวมยังบวกแต่เศรษฐกิจผันผวน

ปัจจัยทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง สงคราม ภาวะเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ย ยังคงส่งผลต่อทิศทางการลงทุน ทำให้หลายคนกังวลต่อความไม่แน่นอนจากภาวะเศรษฐกิจผันผวน แต่ไพรเวทแบงกิ้งชื่อดังจากยุโรป LGT ยังมองโอกาสผลตอบแทนเป็นบวก โดยเฉพาะการลงทุนในตราสารหนี้และตราสารทุน


    วันที่ 17 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา บริษัท หลักทรัพย์ แอลจีที (ประเทศไทย) จำกัด หรือ LGT ซึ่งดำเนินธุรกิจไพรเวทแบงกิ้งในไทยมากว่า 6 ปี ได้จัดงาน Investment Strategy -Asia Pacific 2024 ขึ้นที่โรงแรม ปาร์ค ไฮแอท โดยเชิญลูกค้าเข้าร่วมรับฟังแนวโน้มและทิศทางการลงทุนสำหรับปี 2567 เพื่อให้ข้อมูลและมุมมองด้านการลงทุนให้เหมาะกับสภาวะเศรษฐกิจในแต่พื้นที่ เนื่องจาก LGT เป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่ให้บริการลูกค้ากลุ่มเวลธ์ โดยเน้นที่การลงทุนในต่างประเทศเป็นหลัก

    ภายในงานนอกจากการให้ข้อมูลกับลูกค้ากลุ่มเวลธ์ ผู้บริหาร LGT ระดับภูมิภาคเอเชีย ยังได้สรุปมุมมองและทิศทางการลงทุนสำหรับปี 2567 ให้สื่อมวลชนได้มองเห็นภาพรวมอย่างรวบรัด พร้อมสาระสำคัญด้านการลงทุนที่เหมาะสมสำหรับปีนี้ ซึ่ง LGT มองว่าการลงทุนในตราสารหนี้และตราสารทุนยังมีแนวโน้มที่ดี เนื่องจากผลตอบแทนจากเงินสดในปี 2567 จะลดลง



    ขณะเดียวกัน LGT ยังคงมองภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2567 ในเชิงบวก โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาจะมีการชะลอตัวแบบ “Soft Landing” และยังมองแนวโน้มเป็นเชิงบวกสำหรับเศรษฐกิจในญี่ปุ่น อินเดีย ยุโรป และไทย รวมถึงการเติบโตของจีน ซึ่งมองว่าจะขยับตัวในระดับปานกลาง


ภาพรวมการลงทุนเป็นบวก

    Stefan Hofer หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนของ LGT ไพรเวทแบงก์กิ้งภูมิภาคเอเชีย สรุปมุมมองที่ได้จากข้อมูลเชิงลึกของ LGT เกี่ยวกับภาพรวมเศรษฐกิจโลกและเอเชีย รวมถึงกลยุทธ์การลงทุนในปี 2567 โดยแยกเป็นรายพื้นที่ซึ่งมีปัจจัยที่ควรคำนึงถึงแตกต่างกันไป

    สหรัฐอเมริกา แม้ว่าในปี 2566 จะเป็นปีที่อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ LGT ยังคงมองในเชิงบวกว่า การชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่คาดการณ์ไว้ในครึ่งแรกของปี 2567 จะนำไปสู่การชะลอตัวแบบ soft landing เพื่อหลีกเลี่ยงการหดตัวของ GDP ซึ่งหากสถานการณ์เป็นไปตามนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะประสบความสำเร็จในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่สูง โดยไม่ทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย

    ต่อทิศทางนี้ LGT มีมุมมองในเชิงบวก เนื่องจากอัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ที่ต่ำตามการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังจากสถานการณ์โควิด-19 สิ้นสุดลง แม้ว่าความต้องการแรงงานในสหรัฐฯ โดยรวมจะลดลง แต่จำนวนตำแหน่งงานที่เปิดรับยังคงสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความต้องการแรงงานในด้านการก่อสร้าง ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง

    โดย LGT คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะมีอัตราการเติบโตแบบไม่นับรวมเงินเฟ้อประมาณ 2% ในปี 2567 โดยอัตราเงินเฟ้อจะกลับมาอยู่ที่ 2% ตามเป้าในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงกลางปี


    ญี่ปุ่น เศรษฐกิจของญี่ปุ่นประสบกับภาวะถดถอยในช่วงปลายปี 2566 และยังคงเผชิญความท้าทายอันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติและความไม่แน่นอนทางการเมือง

    อย่างไรก็ตาม LGT มองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงความท้าทายในระยะสั้น และมองว่าภาพรวมทั้งปีของบริษัทญี่ปุ่นและการลงทุนยังคงมีแนวโน้มที่ดี บริษัทญี่ปุ่นได้เริ่มให้ความสำคัญมากขึ้นในการสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการปฏิรูปการกำกับดูแลกิจการ ประกอบกับเงินเยนที่อ่อนค่าในปี 2566 ทำให้บริษัทมีกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์

    ขณะเดียวกันญี่ปุ่นยังมีสัญญาณที่ชัดเจนของการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาผู้บริโภคและสินทรัพย์ ดังนั้น LGT จึงคาดการณ์ว่าธนาคารกลางของญี่ปุ่นจะปรับนโยบายการเงินเข้มงวดขึ้นในปี 2567 และเงินเยนญี่ปุ่นคาดว่าจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ

    อินเดีย ประเทศอินเดียได้กลายเป็นตลาดในภูมิภาคเอเชียอันดับสองของ LGT สาเหตุหลักเนื่องจากการลงทุนที่สำคัญๆ ของรัฐบาลอินเดียในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน สะพาน ทางรถไฟ และสนามบิน

    โดย LGT คาดการณ์ว่า GDP อินเดียจะมีอัตราการเติบโตแบบไม่นับรวมเงินเฟ้ออย่างน้อย 6% ในปี 2567 ขับเคลื่อนด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งทั่วประเทศ


    จีน คาดว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในปี 2567 จะอยู่ในระดับปานกลาง (ประมาณ 5%) สาเหตุหลักมาจากความอ่อนแอในตลาดที่อยู่อาศัย ซึ่งอาจจะดำเนินต่อไปจนถึงปี 2568 เมื่อมองในมิติของการประเมินมูลค่า ตลาดหุ้นจีนอยู่ใกล้กับระดับต่ำสุดในระยะยาว และนักลงทุนก็พร้อมที่จะกลับเข้าสู่ตลาดอีกครั้ง โดยคาดหวังว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ แต่ระหว่างที่รอดูการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว อาจส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนตามหลังตลาดอื่นๆ

    ยุโรป ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในเยอรมนีและอิตาลีในปี 2566 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อจากจีน อย่างไรก็ตาม อัตราการว่างงานในกลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปที่ใช้เงินสกุลยูโร (Eurozone) ยังอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากมีคำสั่งซื้อการผลิตที่อยู่ในระดับสูงสะสมมาตั้งแต่สถานการณ์โควิด-19 สิ้นสุดลง LGT คาดการณ์ว่าจะมีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยุโรปในระดับปานกลางในปี 2567 โดยได้แรงหนุนจากการลดลงของอัตราดอกเบี้ย

    ประเทศไทย LGT คาดการณ์ว่า GDP ของไทยจะเติบโตที่ 3% ในปี 2567 โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว และการลงทุนระหว่างประเทศในภาคอุตสาหกรรมของไทย มีดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นโดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความคาดหวังต่อการผ่อนคลายทางการคลังที่สำคัญ (5.6 แสนล้านบาท) ที่อาจเกิดขึ้นในปีนี้ แต่เรื่องนี้ยังคงต้องรอดูความเป็นไปได้


เน้นพันธบัตร-ตราสารหนี้-ทุน

    ดังนั้นโดยภาพรวมแล้ว LGT ได้วางกลยุทธ์การลงทุนในระดับโลก โดยคาดการณ์ว่านักลงทุนจะนิยมลงทุนในพันธบัตรมากกว่าหุ้นและเงินสดในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 เนื่องจากระดับผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้เอกชนในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงอยู่ในระดับสูง แต่เมื่ออัตราดอกเบี้ยเริ่มลดลงในช่วงฤดูร้อน LGT คาดว่าเงินทุนระหว่างประเทศจะไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้น ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ


    ในแง่ของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในอินเดียและสหรัฐอเมริกานั้น LGT คาดว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญต่อนโยบายเศรษฐกิจของอินเดีย ในขณะที่สหรัฐฯ อาจเห็นการเปลี่ยนแปลงด้านภาษีและนโยบายในช่วงฤดูร้อน และอาจมีผลกระทบเกิดขึ้น

    ทั้งนี้ LGT คือผู้นำกลุ่มบริษัทด้านการบริการไพรเวทแบงก์กิ้งและการจัดการสินทรัพย์นานาชาติซึ่งบริหารงานโดยราชวงศ์แห่งลิกเตนสไตน์มาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 90 ปี ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 LGT มีมูลค่าการจัดการสินทรัพย์ 3.058 แสนล้านฟรังก์สวิส (3.418 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ให้กับลูกค้าบุคคลที่มีความมั่งคั่งและลูกค้าสถาบัน มีพนักงานมากกว่า 5,000 คน ในสำนักงานมากกว่า 25 แห่ง ทั้งในภูมิภาคยุโรป เอเชีย อเมริกา ออสเตรเลีย และตะวันออกกลาง



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : SCB CIO ปรับมุมมองต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังมูลค่าเริ่มตึงตัว แนะถือหุ้นไว้ก่อนพร้อมรอหาจังหวะสะสม

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine