SCB WEALTH เจาะกลยุทธ์ลงทุนแห่งอนาคต Innovest X ชูธีมเปิดเมือง - Forbes Thailand

SCB WEALTH เจาะกลยุทธ์ลงทุนแห่งอนาคต Innovest X ชูธีมเปิดเมือง

SCB WEALTH จัดสัมมนา แนะลูกค้า First รับมือเงินเฟ้อและเศรษฐกิจถดถอย พร้อมชูการลงทุน Innovest X และหุ้นเปิดประเทศ ส่วน BlackRock และ Schroders เน้นธีมพลังงานสะอาด หุ้นกลุ่มยั่งยืน Circular  Economy และ Health Care  

ศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product  ธนาคารไทยพาณิชย์  จำกัด (มหาชน) กล่าวภายในงานสัมมนา SCB First  Investment Outlook   2022 : Navigating  Through the Recession & Inflation Risks สำหรับกลุ่มลูกค้า First ถึงภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุน โดยเผยว่า

เงินเฟ้อในประเทศไทยยังไม่ผ่านจุดสูงสุด และมีโอกาสเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผ่านราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นจนสูงสุดที่ไตรมาส 3 โดยเศรษฐกิจไทยอาจจะฟื้นตัวช้ากว่าประเทศอื่น อย่างไรก็ตาม ในปีนี้เศรษฐกิจไทยมีทิศทางการขยายตัวที่ดีขึ้นจากภาคการส่งออกและบริการที่นักท่องเที่ยวเริ่มกลับเข้ามาในประเทศ คาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวในปีนี้ประมาณ 10 ล้านคน และในปี 2567 ประมาณ 40 ล้านคนเท่ากับช่วงก่อนโควิด-19 ดังนั้น ภาคการท่องเที่ยวน่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ซึ่งเงินเฟ้อไทยอาจจะปรับตัวลดลงเร็วหากราคาอาหารและพลังงานลงมาสู่ระดับที่เหมาะสม

ส่วน สุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (Innovest X)  เปิดเผยว่า การลงทุนในหุ้นเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง แต่มีสภาพคล่องสูงสามารถนำเงินบางส่วนลงทุนกระจายความเสี่ยงโดยเลือกบริษัทหรือกลุ่มธุรกิจได้ ซึ่งภาพรวมของตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 3 และ 4 เศรษฐกิจไทยไม่ได้ขยายตัวมากนัก จากตัวเลข GDP ที่คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ และดัชนีตลาดหลักทรัพย์มองว่าอยู่ที่ประมาณ 1,650 จุด และกรอบการเคลื่อนไหวสามารถไปได้ถึง  1,750 จุด  

ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังได้รับอานิสงส์ของเม็ดเงินจากต่างประเทศ ตั้งแต่ต้นปีที่มีเงินไหลเข้ามาลงทุน ประมาณ 1.5 แสนล้านบาท ทำให้ดัชนีปรับตัวขึ้น โดยภาพรวมตลาดหุ้นไทย ได้รับผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ทั้งเรื่องสงครามรัสเซีย-ยูเครน ปัญหาเงินเฟ้อสูง การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย  และสิ่งแวดล้อมจากภัยแล้ง ซึ่งราคาหุ้นได้สะท้อนไปในช่วงไตรมาสที่ 3 แล้ว  ที่มีการปรับตัวลงค่อนข้างลึกอยู่ในระดับ 1,500 จุด  อาจเป็นช่วงที่ต่ำสุดของดัชนีหุ้นไทยในปีนี้ แม้ปัจจัยเสี่ยงยังคงมีเข้ามาอย่างต่อเนื่องก็ตาม  

สำหรับกลุ่มที่ราคาหุ้นปรับตัวเป็นบวก ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยว การแพทย์ และขนส่ง และคาดว่าผลประกอบการน่าจะดีขึ้นต่อเนื่องจากการเปิดเมือง ส่วนกลุ่มที่ได้รับปัจจัยเชิงบวกจากภาวะเงินเฟ้อ ได้แก่ กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ อาหาร  และพลังงาน รวมถึงกลุ่มที่ได้รับผลทางบวกจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ได้แก่ กลุ่มธนาคาร และ ประกัน  

“ทีมงานนักวิเคราะห์ของ InnovestX  ได้ทำการวิเคราะห์หุ้น จาก SET 50 และSET 100 พบว่าแนวโน้มผลประกอบการ กลุ่มท่องเที่ยว ประกัน  อิเล็กทรอนิกส์ อสังหาริมทรัพย์ ธนาคาร  สื่อสาร  ไฟแนนซ์  และโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟฟ้า ส่วนใหญ่จะมีทิศทางของผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังเป็นบวก กลุ่มเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะปรับตัวได้ดี” สุกิจ กล่าว

ด้าน ธณาพล อิทธินิธิภัค Director and Head of Thai Business, BlackRock เปิดเผยว่า นักลงทุนอาจจะต้องอยู่กับความผันผวนด้านการลงทุนอีกพักใหญ่ ทั้งจากปัญหาเงินเฟ้อ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารทั่วโลกและความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์จากความขัดแย้งระหว่างประเทศจึงแนะนำนักลงทุนปรับพอร์ตให้แอคทีฟมากขึ้นตามความผันผวน โดยลงทุนทั้งในหุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือก ที่สามารถเติบโตได้ในระยะยาว เนื่องจากไม่มีสินทรัพย์ใดที่ให้ผลตอบแทนที่ดีได้ตลอดทุกปี จึงควรกระจายการลงทุนให้เหมาะสมกับสินทรัพย์ที่หลากหลาย  และต้องมีระยะเวลาในการถือครองสินทรัพย์ที่ไม่สั้นเกินไปเพื่อให้สินทรัพย์เหล่านั้นมีเวลาในการสร้างผลตอบแทนได้

นอกจากนั้น BlackRock ยังแบ่งการลงทุนออกเป็น 2 ช่วงเวลา ได้แก่ กลยุทธ์การลงทุน 1 ปีขึ้นไป (Strategy view) และกลยุทธ์การลงทุนประมาณ 3-6 เดือน (Tactical view) โดยมองว่าการลงทุนในระยะยาวยัง Bull risk อยู่มาก ขณะที่ระยะสั้น และระยะกลาง ยังได้รับแรงกดดันจากเงินเฟ้อ ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนบริษัทจดทะเบียนต่างๆสูงขึ้น และกระทบต่อผลประกอบการของบริษัท

สำหรับการลงทุนในระยะยาวคงแนะนำลงทุนในหุ้นเพราะเป็นตราสารที่ชนะเงินเฟ้อ และเติบโตได้ในระยะยาว ตราสารหนี้ โดยรวมได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้นแต่ตราสารหนี้ภาคเอกชน (Corporate Bond) บางบริษัทมีกระแสเงินสดดี จ่ายผลตอบแทนสูง โดยมีกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ให้ผลตอบแทนมากกว่าร้อยละ 4 ต่อปี ซึ่งจะช่วยลดความผันผวนของตลาดในช่วงระยะสั้นถึงกลางได้

กลยุทธ์การลงทุนยังคงให้น้ำหนักลงทุนในหุ้น เพราะสามารถเติบโตได้ดีในระยะยาว พันธบัตรรัฐบาล ลดน้ำหนักการลงทุนลง (underweight) ทั้งในส่วนของ Strategy view  และ  Tactical view แต่ให้น้ำหนักกับ Corporate Bond ประเภท Investment Grade ส่วน Private Asset ให้เป็น Neutral นักลงทุนส่วนใหญ่ยัง Under invest เราเน้นให้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มนี้เพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าและลดความผันผวนของพอร์ตลงได้ ซึ่งการจัดพอร์ตของ BlackRock จะมองไป 5 ปี ข้างหน้า นำตัวเลขความเสี่ยง 6 ปีย้อนหลัง มาประกอบรวมกัน แล้วสร้างเป็นโมเดลการจัดพอร์ต แบบเดิมคือในหุ้น 60% และตราสารหนี้ 40 % แต่ได้ปรับโมเดลใหม่ โดยลดหุ้น ลดตราสารหนี้ แล้วเพิ่มสินทรัพย์ทางเลือก 30 % จากตัวอย่างนี้ส่งผลให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นและความเสี่ยงลดลงธณาพลกล่าว

ส่วนธีมการลงทุนจะเน้นในกลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่กลุ่ม ESG การก้าวสู่สังคมพลังงานสะอาดเช่น รถยนต์ EV, Circular Economy การใช้ทรัพยากรธรรมชาติเท่าที่จำเป็นหรือการนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่ กลุ่ม Digital  Transformation การเปลี่ยนถ่ายเข้าสู่เทคโนโลยียุคใหม่ ประเทศต่างๆ แข่งขันกันพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อขึ้นมาเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลก เช่น การพัฒนาระบบขนส่งในอนาคตที่เชื่อมโยงอุปกรณ์ Electronic ต่างๆ เข้าด้วยกัน และกลุ่ม Strong Pricing Power การลงทุนในบริษัทที่ขายสินค้าที่จำเป็น รวมถึงบริษัทที่สามารถส่งผ่านต้นทุนไปให้ผู้บริโภคได้โดยที่ไม่กระทบกับยอดขาย เช่น อุตสาหกรรม Health Care ที่ปรับตัวลดลงน้อยกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยสามารถช่วยลดความผันผวนในพอร์ตลงทุนได้

ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาสหรัฐ เพิ่มงบลงทุนในHealthcare จาก 3 ล้านล้านเหรียญ เป็น 4 ล้านล้านเหรียญ ญี่ปุ่นเพิ่มจาก 4 แสน เป็น 6 แสนล้านเหรียญ ยูโรเพิ่มจาก 1.3 ล้านล้านเหรียญ เป็น 1.4 ล้านล้านเหรียญ โดยรวมปีที่แล้วงบที่ลงทุน ใน Healthcare สูงถึง 9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นสิ่งที่หนุนให้อุตสาหกรรม Healthcare มีการเติบโต นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ประชากรโลกประมาณ 7 พันล้านคน ปัจจุบัน 1 ใน 6 ของประชากรโลกอายุเกิน 60 ปี หรือประมาณกว่า 1 พันล้านคน  กลุ่มนี้จะเพิ่มฐานคนใช้บริการในกลุ่ม Healthcare มากขึ้น  

อาทิตย์ ทองเจริญ Head of Thailand Business, Schroders Investment Management (Singapore) Ltd. เปิดเผยว่า มุมมองการลงทุนครึ่งปีหลังไปจนถึงปีหน้ามีความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ และภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) โดยเงินเฟ้อของเดือนกรกฎาคมยังสูงขึ้นจากเดือนมิถุนายน ประมาณ 0.4% ซึ่งปัจจัยที่สำคัญของต้นทุนเงินเฟ้อ ได้แก่ ราคาสินค้า และบริการ โดยค่าแรงยังไม่ได้ปรับลดลงมากนัก ดังนั้นอัตราเงินเฟ้อจึงน่าจะยังสูงต่อเนื่องและมีความเสี่ยงเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย

สำหรับพอร์ตการลงทุนของ Schroders จะเป็นการจัดพอร์ตแบบตั้งรับ ในกรณีที่มีความเสี่ยงเข้ามา พอร์ตลงทุนจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่ในขณะเดียวกันหากไม่เกิด Recession ก็ยังสามารถปรับพอร์ตให้ตอบสนองกับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจได้ โดยปัจจุบันได้ลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้น (Underweight) เพราะกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน แม้ไตรมาสที่ผ่านมาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะออกมาค่อนข้างดี แต่เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนสูงขึ้นจึงคาดว่าประกอบการในไตรมาส 3 - 4 น่าจะเริ่มชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นหุ้นสหรัฐและจีน ยังคงมีความน่าสนใจมาก

ส่วนตราสารหนี้ภาครัฐ มีการปรับลดน้ำหนักการลงทุนเช่นกัน เนื่องจากราคาสูง และมีอายุตราสารที่ยาว เมื่อดอกเบี้ยขึ้นจะได้รับผลกระทบในเชิงลบค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเมื่ออัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐยังคงต้องปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย แต่ให้น้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนสหรัฐ ประเภท Investment grade และตราสารหนี้ของตลาดเกิดใหม่ ที่เป็นสกุลเงินดอลลาร์ เพราะเมื่อเทียบกับตราสารหนี้ภาครัฐของต่างประเทศแล้ว ระดับราคาของตราสารหนี้เอกชนยังคงอยู่ในระดับที่น่าสนใจ

ด้านสินค้าโภคภัณฑ์ ให้น้ำหนัก ทองคำ สามารถป้องกันความเสี่ยงในภาวะที่เกิด Recession ได้ รวมถึงพิจารณาเลือกสินทรัพย์ประเภท Private Asset เพราะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตได้ เน้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค และ Health Care  ส่วน Private Dept หรือหุ้นเอกชนนอกตลาด เลือกกลุ่มที่ได้รับดอกเบี้ยในระดับที่เป็นอัตราลอยตัว กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่มีกระแสเงินสดดี

สำหรับธีมการลงทุน Schroders ให้ความสำคัญกับการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ตอบสนองและใส่ใจต่อสังคมที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม และการทำความดี โดยเลือกลงทุนในกองทุนที่ยั่งยืน (Sustainability) ซึ่งระยะยาวมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูง โดยมองข้ามความผันผวนระยะสั้น ธีมการลงทุนที่น่าสนใจ 5 แบบประกอบด้วย Clean energy หรือ พลังงานสะอาด ซึ่งได้รับความสนใจและความใส่ใจทั่วโลก ทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาดและส่งผลในเชิงบวกมากขึ้น รวมถึงกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานแบบมีประสิทธิภาพ เช่น วัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างที่ช่วยลดการใช้พลังงาน หรือหลอดประหยัดพลังงาน แผงพลังงานไฟฟ้า เป็นต้น

นอกจากนั้น ยังมีกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เช่น การจัดการทรัพยากรน้ำ การกำจัดของเสีย ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Waste  management ของรีไซเคิลต่างๆ  น่าจะได้รับผลประโยชน์ในระยะยาวได้มากขึ้น และกลุ่ม Low carbon leaders เป็นกลุ่มที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับต่ำ รวมถึงกลุ่ม Sustainable Transport ระบบการขนส่งที่ใช้พลังงานสะอาด เช่น รถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถไฟไฟฟ้า เป็นต้น โดยกลุ่มดังกล่าวจะไม่ได้มุ่งเน้นไปที่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่จะเน้นลงทุนในองค์ประกอบที่ใช้เป็นวัตถุในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เช่น แผงวงจรสำหรับแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น

อ่านเพิ่มเติม: ​”airasia ride” ประกาศรับสมัครคนขับรถ full-time

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine