SCB EIC มองเทรนด์ครึ่งหลังปี 68 เศรษฐกิจไทยจะโตต่ำ 1% และเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยเชิงเทคนิค โดยยังคงเป้าหมายการเติบโต GDP ปีนี้อยู่ที่ 1.5% และจะยังแผ่วต่อเนื่องถึงปี 69 ที่ 1.4% เพราะเจอผลกระทบจากสงครามการค้าที่ไม่แน่นอน ปัญหาเชิงโครงสร้าง SMEs อ่อนแอ การส่งออก ท่องเที่ยวที่ชะลอลง รวมถึงเพดานหนี้สาธารณะที่อาจพุ่งแตะ 70% ของ GDP ภายใน 1-2 ปีนี้
ดร. ยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) กล่าวว่า SCB EIC ประเมินว่าช่วงครึ่งหลังปี 2568 นี้ เศรษฐกิจไทยจะเติบโตเฉลี่ยต่ำกว่า 1% และมีโอกาสเข้าสู่ Technical recession สาเหตุเพราะการส่งออกและการลงทุนที่จะแผ่วลงเมื่อเทียบกับปี 67 ขณะที่แรงส่งจากภาคการท่องเที่ยวจะน้อยกว่าคาด โดยคาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติปี 68 จะลดลงเหลือ 34.2 ล้านคนกลับมาหดตัวจากปีก่อน
ทั้งนี้ ยังคงมุมมองประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีนี้เติบโตต่ำที่ 1.5% และต่อเนื่องไปในปี 2569 ที่ 1.4% เพราะมองไปข้างหน้าแรงส่งสำคัญเศรษฐกิจไทยจะแผ่วลงเกือบทุกมิติ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนที่จะชะลอลงมาก ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ภาคครัวเรือนยังอยู่ในช่วงการปรับลดภาระหนี้ที่สูงขึ้นมากในช่วงก่อนหน้า (Deleveraging) ซึ่งจะส่งผลให้ครัวเรือนระมัดระวังในการใช้จ่าย นอกจากนั้น การบริโภคยังจะได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากความเปราะบางด้านการจ้างงานและรายได้ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงมาก และภาวะการเงินที่ยังตึงตัว
อย่างไรก็ตาม มี 4 ประเด็นสำคัญทางเศรษฐกิจที่ต้องติดตามและอาจสร้างผลกระทบต่อไทย ได้แก่
1) สงครามการค้า โดยประเมินว่าการเจรจาข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าอาจยืดเยื้อออกไป จึงทำให้ครึ่งปีหลังนี้ยังมีความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าในระดับสูง รวมถึงความเชื่อมั่นต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและสินทรัพย์สหรัฐฯ ปรับลดลงจากหลายปัจจัย (เช่น การแทรกแซงของธนาคารกลางสหรัฐฯ จึงอาจเห็นค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง
ในส่วนของไทยยังมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ จากสงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่านที่ปะทุขึ้น แม้ในระยะสั้นอาจส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นไม่มากนัก จากอุปทานส่วนเกินที่ยังมีมาก แต่หากความขัดแย้งขยายวงและกระทบต่อแหล่งอุปทานในตะวันออกกลาง ก็จะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มความเปราะบางให้กับเศรษฐกิจโลกได้
2) ส่งออก-ท่องเที่ยวชะลอตัว ด้านการส่งออกของไทยแม้ไตรมาสแรกปีนี้จะปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ต้องยอมรับว่ามาจากการเร่งส่งออกเพื่อเลี่ยงผลกระทบจากภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เช่น กลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ แต่ในช่วงครึ่งหลังปี 68 คาดว่าจะปรับตัวลดลงต่อเนื่องและทั้งปีจะติดลบ 0.1% ส่วนปี 2569 จะติดลบ 0.8%
ด้านการท่องเที่ยวแม้ต้นปีจะมีภาพรวมที่ดีขึ้น แต่จากนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะ จีน ที่หายไป (เดินทางไปประเทศอื่นแทน) ส่งผลให้ปีนี้คาดว่าไทยจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 34.2 ล้านคน ลดลงจากปีก่อนที่อยู่ 35.5 ล้านคน ซึ่งต่ำกว่าปี 2567
3) เพดานหนี้สาธารณะไทยจะติดเพดาน 70% ของ GDP ใน 1-2 ปีข้างหน้า (2569-2570) จากการคาดการณ์ของ Moddy’s ที่ต่างมองว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยโตน้อยลงเรื่อยๆ และความสามารถในการแข่งขันที่ปรับแย่ลง
ทั้งนี้ แม้ในภาวะจำเป็นรัฐบาลไทยสามารถกู้เพิ่มได้ แต่อาจต้องแก้กฎหมายเพื่อเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะฯ ขึ้นไป ซึ่งปัญหาหลักคือ ไทยอาจเลือกกู้หรือเพิ่มงบกระตุ้นเศรษฐกิจได้แต่หากคลังไม่มีแผนงานในการปฏิรูปด้านการคลัง (เช่น การจัดเก็บรายได้ ฯลฯ) ประเทศไทยอาจเสี่ยงถูกปรับลดเครดิตลง (ที่ผ่านมา Moody’s ปรับลดแนวโน้มหรือ Outlook ของไทยลง)
4) แผลเป็นเศรษฐกิจในภาคครัวเรือนและ SMEs ที่มีอยู่เดิม จากภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ยังคงบั่นทอนการบริโภคของไทย และส่งผลต่อเนื่องภาคการผลิตของไทยซึ่ง SMEs บางส่วนยังไม่ฟื้นตัวจากผลกระทบที่เกิดขึ้นในช่วง COVID-19 จึงยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าไทยมีแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐวงเงิน 157,000 ล้านบาท แทนโครงการดิจิทัลวอลเล็ต แม้จะช่วยเศรษฐกิจได้ตรงจุดมากขึ้น แต่ผลบวกสู่เศรษฐกิจจะเกิดขึ้นช้ากว่าและยังไม่เพียงพอ รวมถึงแนวโน้มภาคการบริโภคยังแผ่วลง
แต่ Downside ของเศรษฐกิจไทยมีมากกว่า Upside จากหลายปัจจัย ที่สำคัญคือหลายเครื่องยนต์เศรษฐกิจชะลอตัวพร้อมๆ กัน รวมถึงเม็ดเงินภาครัฐยังมีข้อจำกัด แต่ยังเชื่อว่าอีกระยะหนึ่งอาจมีมาตรการจากทางคลังและภาครัฐเพิ่มเติม
“เรื่องที่น่ากังวลคือ เมื่อไทยเป็นประเทศขนาดเล็กที่ต้องพึ่งพาการท่องเที่ยว จึงกังวลเรื่องปัจจัยภายนอกที่กระทบต่อความต้องการของโลก เช่น สงครามการค้า ที่จะกระทบการส่งออก ซึ่งปัจจุบันเริ่มเห็นผลกระทบต่อผลประกอบการของไทยแล้ว” ดร.ยรรยง กล่าว
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยยังคงติดลบ สะท้อนราคาพลังงานที่ปรับลดลงต่อเนื่อง และกำลังซื้อในประเทศที่ยังซบเซา โดยประเมินว่าเงินเฟ้อในไตรมาส 2 ปี 68 อาจยังติดลบอยู่ ก่อนจะทยอยปรับสูงขึ้นในช่วงสิ้นปี แต่เชื่อว่าเงินเฟ้อมีแนวโน้มต่ำกว่ากรอบเป้าหมายต่อเนื่องในปี 2569 จากปัจจัยอุปสงค์ที่ฟื้นตัวช้า ราคาพลังงาน รวมถึงสินค้าเกษตรขยายตัวต่ำ
SCB EIC ประเมินคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปี 2568 เหลือ 1.25% เพื่อช่วยให้ภาวะการเงินผ่อนคลายมากขึ้น ในภาวะที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มโตต่ำกว่าศักยภาพค่อนข้างมาก เงินเฟ้อหลุดขอบล่างของกรอบนโยบายการเงิน และคุณภาพสินเชื่อยังปรับด้อยลงต่อเนื่อง
ภาพ: SCB EIC
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : คลังไฟเขียว 5 ปี ‘ยกเว้น’ ภาษีเงินได้ฯ สำหรับ Capital Gains จากการขาย ‘สินทรัพย์ดิจิทัล’ ผ่านผู้ประกอบการฯ ไทย
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine