ตลท. มอง ‘สงครามตะวันออกกลาง’ ครั้งนี้กระทบหุ้นไทยไม่เท่า ‘ภาษีทรัมป์’ พร้อมถอนมาตรการชั่วคราว หากคลี่คลาย - Forbes Thailand

ตลท. มอง ‘สงครามตะวันออกกลาง’ ครั้งนี้กระทบหุ้นไทยไม่เท่า ‘ภาษีทรัมป์’ พร้อมถอนมาตรการชั่วคราว หากคลี่คลาย

เช้าวันนี้ (23 มิ.ย. 68) ท่ามกลางสถานการณ์ความรุนแรงในตะวันออกกลางที่รุนแรงขึ้น ส่งผลต่อตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงไทยที่ช่วงเช้า SET Index อยู่ที่ 1,056.90 จุด หรือลดลง 10.73 จุดจากเปิดตลาด แต่ในภาพรวมผู้จัดการตลท. นักลงทุนต่างรับรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ผลกระทบต่อตลาดหุ้นยังไม่สูงเท่ากับ Liberation Day ที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าครั้งใหญ่


    อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ช่วงวันหยุดที่ผ่านมา ความรุนแรงในตะวันออกกลางยังเพิ่มขึ้น และทางสหรัฐฯ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ส่งผลให้ทางตลท. มองถึงความผันผวนที่อาจสูงขึ้น ทำให้เมื่อวานนี้จะมีผลการประชุม โดยออกมาตรการลด Ceiling & Floor และ Dynamic Price Band ลงครึ่งหนึ่งเป็นการชั่วคราว โดยยังคงมีกลไกอื่นๆ เช่น Circuit breaker เป็นต้น อยู่อย่างครบถ้วน

    “ผลกระทบ (สถานการณ์ที่เกิดขึ้น) ที่ผ่านมา พบว่าราคาน้ำมันบวก 3% แต่ตอนนี้ลงมาเหลือ 2% แล้ว ส่วนตลาดหุ้นที่เปิดก่อนไทย เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น แม้จะติดลบแต่ไม่มาก ในระยะต่อไปคงต้องติดตามสถานการณ์ และอาจถอนมาตรการชั่วคราว (ก่อน 27 มิ.ย. 68 ที่วางกรอบไว้ ) หากความผันผวนหรือสถานการณ์ดีขึ้น” อัสสเดช กล่าว

    ทั้งนี้ สถานการณ์ความรุนแรงในตะวันออกกลาง มองว่าผู้ลงทุนทั่วโลกต่างรับทราบในระดับหนึ่งว่ามีโอกาสที่จะเกิดขึ้น อาจแตกต่างจากความผันผวนที่เกิดขึ้นใน Liberation Day ซึ่งตลท. ยังคอยติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเพื่อปรับมาตรการที่เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง

    ในมุมมองต่อนักลงทุนสถาบัน ปัจจุบันปริมาณการซื้อขาย (Volume) น้อยลงทั่วโลกไม่ใช่แค่ไทย เพราะเกิดความผันผวนสูงทำให้ทุกคนชะลอการตัดสินใจ หรือการเข้าลงทุนออกไป ซึ่งไทยยังมีโจทย์ที่ต้องเร่งแก้คือ นักลงทุนต่างชาติอยากเห็นนโยบายต่างๆ เกิดขึ้นจริง ในส่วนของไทยทั้งนักลงทุนต่างประเทศ, ในประเทศ หรือรายย่อย สัดส่วนเปอร์เซ็นต์ยังอยู่ในกรอบที่ไม่ได้แตกต่างมาก


อย่างไรก็ตาม บทบาทสำคัญของตลท. คือ เป็นอีกหนึ่งตัวกรองข่าวสารเพื่อมาสื่อสารต่อนักลงทุน รวมถึงยังมีหน้าที่ลดความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้นักลงทุนทุกภาคส่วนให้มีโอกาสที่จะได้วิเคราะห์ก่อนการตัดสินใจ

    “ข้อดีที่ผมสัมผัสมา ในประเทศไทยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นธุรกิจเดินต่อไปได้” อัสสเดช ยังมีคำแนะนำถึงนักลงทุนว่า เรื่องสำคัญคือยังต้องวิเคราะห์ว่าข่าวใดมีผลกระทบต่อธุรกิจและปัจจัยพื้นฐานของแต่ละบริษัทจดทะเบียน เช่น ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศอาจไม่กระทบต่อการผลิตของบางบจ. แต่หากเทียบกับทรัมป์ที่ประกาศขึ้นภาษี ย่อมจะเห็นผลกระทบต่อธุรกิจ โดยเฉพาะภาคที่ส่งออกสินค้า ซึ่งผลกระทบเหล่านี้อาจคำนวณได้ง่ายกว่า



ภาพ: Maxim Hopman on Unsplash



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : รับมือโลกป่วน! ตลท. ประกาศมาตรการชั่วคราว ปรับเกณฑ์ ‘Ceiling & Floor - Dynamic Price Band’

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine