หุ้นไทยแตะ 1,069.12 จุด ร่วงลง 25.46 จุด ต่อเนื่องจากเมื่อวานที่ลบ 19 จุด เหตุ ‘สงครามตะวันออกกลาง-การเมืองภายใน’ กดดัน - Forbes Thailand

หุ้นไทยแตะ 1,069.12 จุด ร่วงลง 25.46 จุด ต่อเนื่องจากเมื่อวานที่ลบ 19 จุด เหตุ ‘สงครามตะวันออกกลาง-การเมืองภายใน’ กดดัน

ตลาดหุ้นไทยเจอความท้าทายอีกครั้ง โดยวันนี้ 19 มิ.ย. 68 SET Index เปิดตลาดติดลบต่อเนื่อง ปัจจุบันราว 11.13 น. อยู่ที่ระดับ 1,069.12 จุด ลดลง 25.46 จุด และยังปรับลดลงต่อเนื่องจากเมื่อวานนี้ที่ปิดตลาดลดลง 19 จุด (ปิดตลาดที่ระดับ 1,094.58 จุด) สาเหตุหลักเพราะความรุนแรงในตะวันออกกลางยังคุกกรุ่น ขณะที่การเมืองในไทยประเทศยังกดดันหุ้นไทย


    InnovestX เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในวันนี้คาดตลาดแกว่งตัวขาลง โดยมีแนวรับที่ 1,094 จุด หากรับไม่อยู่จะมีแนวรับถัดไปที่ 1,080/1,056 จุด ส่วนขาขึ้นมีแนวต้านที่ 1,100/1,108 จุด เชื่อว่าแนวต้านนี้ยังรับไว้ได้

    ทั้งนี้ ปัจจัยภายนอกที่คาดว่ามีผลต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น รวมถึงการเจรจาข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และคู่ค้าอื่นๆ รวมถึงไทย นอกจากนี้ขณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐฯ หรือ FOMC มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25 - 4.50% ตามตลาดคาด แต่มีการปรับลดประมาณการ GDP ปีนี้ลงจาก 1.7% เหลือ 1.4% และเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อ PCE ขึ้นจาก 2.7% เป็น 3% ส่วน DotPlot มีกรรมการ 7 ท่านที่คาดว่าเฟดจะคงดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากเดิม 4 ท่าน

    แต่วันนี้ปัจจัยในประเทศยังกดดันตลาดหุ้นไทยอย่างชัดเจน ดังนั้นต้องติดตามการเมืองไทยซึ่งมีความไม่แน่นอนมากขึ้นหลังการเผยแพร่เสียงสนทนาระหว่างนายกฯและสมเด็จฮุนเซน จนทําให้หลายฝ่ายเรียกร้องให้นายกฯ ลาออกหรือยุบสภา

    จากข้อมูลในอดีตหากมีการยุบสภาจะพบวันแรก SET ปรับขึ้นเฉลี่ยราว 0.8%DoD แต่ถัดจากนั้นจะแกว่งตัวลง จากกังวลนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไม่คืบหน้าและรอดูนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่โดยดัชนีจะใช้เวลาราว 3 เดือนจึงพลิกเป็นบวกได้อีกครั้งหลังตั้งรัฐบาลใหม่ได้ส่วนการลาออกคาดดัชนีจะแกว่งตัวในกรอบแคบระยะสั้นเพื่อรอดูชื่อนายกฯ คนใหม่

    โดยสรุปแล้วในระยะสั้นยังมอง SET ผันผวน จึงต้องรอติดตามความชัดเจน เช่น สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง, ความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าเพิ่มเติม, อัตราภาษีฝ่ายเดียวจากสหรัฐฯ และปัจจัยการเมืองไทย จึงมีกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนําให้ Selective Buy ใน 4 ธีม หลักและ 3 ธีมเทรดดิ้ง ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ได้แก่

    1. หุ้น Earnings Play ซึ่งโมเมนตัมกําไรยังเติบโตแข็งแกร่ง โดย 2Q68 คาดกําไรปกติจะเติบโตได้ทั้งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า (QoQ) แนะนํา ADVANC, TRUE, CPALL, BTG, CPF

    2. หุ้น SET50 ที่มี SET ESG Ratings A ขึ้นไป พร้อมคาดให้Div. Yield ตั้งแต่ 5% ขึ้นไป แนะนํา PTT, KTB, BBL, HMPRO

    3. หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX โดย

       1) ปี 2568 คาดกําไรเติบโต YoY

       2) ฐานะการเงินแกร่ง

       3) จ่ายปันผลสม่ำเสมอ แนะนํา ADVANC, BDMS, CPALL, PTT, BCH, BTG, AP

    4. หุ้นตั้งรับที่มีรายได้ในประเทศเป็นหลัก สําหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำและต้องการรอดูความชัดเจนของการดําเนินมาตรการภาษีของ ปธน. ทรัมป์แนะนํา BCH, CPALL, GULF, MTC, OR, TRUE

    5. Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกําไร แนะนํา

      1) หุ้นที่ได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันปรับขึ้นหลังเกิดความตึงเครียดในตะวันออกกลาง แนะนํา PTT, PTTEP, BCP

      2) หุ้นที่ได้ประโยชน์หากรัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม แนะนํา SCC, SCCC, STECON, CK

      3) หุ้นที่ได้อานิสงส์จากภาวะดอกเบี้ยขาลง แนะนํา กลุ่ม REITs (DIF), กลุ่มเช่าซื้อ (MTC, TIDLOR) และกลุ่มโรงไฟฟ้า (GULF, GPSC)



Image by wirestock on Freepik



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : วิกฤตตะวันออกกลางบานปลาย ลุ้นทองคำขึ้น! GCAP GOLD จับตาทองเด้งทดสอบ 53,500 บาท/บาททองคำ

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine