เปิด 3 มุมมองดาวเด่น MAI Digital Disruption วิกฤต หรือ โอกาส - Forbes Thailand

เปิด 3 มุมมองดาวเด่น MAI Digital Disruption วิกฤต หรือ โอกาส

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจัดงาน "mai FORUM 2022 : มหกรรมรวมพลังคน mai" เปิดมุมมอง 3 บริษัทดาวเด่น MAI ไอแอนด์ไอ กรุ๊ป, บลูบิค และ อิ๊กดราซิล ที่มีต่อ Digital Disruption ความเปลี่ยนแปลงที่เป็นทั้งวิกฤตและโอกาส พร้อมเสนอแนวทางการทำธุรกิจในโลกดิจิทัลให้ประสบความสำเร็จ


    สมชาย เมฆะสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอแอนด์ไอ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (iiG) ผู้บุกเบิกบริการที่ปรึกษาด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นแบบครบวงจรของประเทศไทย กล่าวว่า กระแส disruption ไม่ได้เพิ่งเกิด แต่การเกิดดิสรัปชั่นมีมาอย่างต่อเนื่อง แบบเบาๆ และนานๆ มาทีอย่างวิกฤตต้มยำกุ้ง วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งประมาณ 10 ปีจะมาที แต่ปัจจุบันดิสรัปชั่นเกิดขึ้นเร็ว แรง และถี่ขึ้นเรื่อยๆ


“ถามว่าเป็นวิกฤตไหม ผมมองว่าเป็นการท้าทายของทุกอุตสาหกรรมดีกว่า เพราะถ้าคุณปรับตัวได้ตลอดเวลา เป็นองค์กรที่ agile คือปรับตัวได้ ต่อให้สภาพแวดล้อมจะเปลี่ยนแปลงไป คุณก็สามารถปรับตัวได้ นั่งคิด Business Model ใหม่ๆ ได้ องค์กรใหญ่ที่เป็น old economy ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ โดยหากลยุทธ์ที่จะสร้างข้อได้เปรียบ และทำให้เกิดขึ้นจริงได้ด้วยเทคโนโลยี ไม่งั้นเราก็จะไม่สามารถแข่งขันได้ กระแสในการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีมีแต่จะเร็วขึ้นแล้วก็แรงขึ้น”


    แม้แต่บริษัทด้านไอทีเองยังถูกดิสรัปต์ สมชาย ยกตัวอย่างกรณี Facebook ซึ่งปัจจุบัน หลายคนบอกว่าคนรุ่นใหม่ไม่มีใครใช้ Facebook แต่เมื่อย้อนไป 10 ปีก่อน facebook ถือว่าเป็นสตาร์ทอัพที่มีคนใช้เยอะที่สุดในโลก ปัจจุบัน Facebook เป็น Corporate ไปแล้ว ตัว Facebook เองก็โดนดิสรัปต์เพราะปรับตัวไม่เป็น พอปรับตัวไม่ทันก็ถูกบริษัทเทคโนโลยีอื่นที่ดีกว่ามาดิสรัปต์


“ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ผมภาคภูมิใจ เพราะ iiG นำเรื่องของเทคโนโลยี ระบบซอฟต์แวร์ ERP มาใช้เป็นคนแรกๆ ในประเทศไทย พอเทคโนโลยีฮิตขึ้น อย่าง Cloud ก็เป็นคนแรกที่ทำเรื่อง Cloud computing และตัวแทนให้กับ Salesforce เป็นคนแรกในประเทศไทย ตอนนี้ ผมขยับไปอีกขั้นหนึ่ง คือ ไปมองในเรื่องของ customer experience ต่างๆ ที่เป็นดิจิทัลทั้งหมด”


    สมชาย กล่าวว่า เรื่องดิสรัปชั่นนี้ ไม่สามารถที่จะทำให้ง่าย ยังไงก็ต้องเจอความเจ็บปวด ต้องมีความล้มลุกคลุกคลาน ต้องมีการเตรียมตัว ผมมองว่าเทคโนโลยีไม่ใช่เรื่องที่สำคัญที่สุด เพราะสามารถซื้อหาได้ ทุกคนซื้อเทคโนโลยีตัวเดียวกันได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะมีขีดความสามารถในการแข่งขันเท่ากัน เพราะตัวที่ชี้ขาดคือ คนที่เป็นผู้นำ (leadership) วัฒนธรรมองค์กร คือ mindset ในการที่จะปรับองค์กรให้เป็น Agile Organization



บลูบิคมองเป็นโอกาส


    พชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าทุกครั้งที่เกิดวิกฤตนั่นคือโอกาส เพราะจะมีบางธุรกิจไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ตรงนั้นจะมีช่องว่างให้ธุรกิจใหม่ที่ปรับตัวได้เข้ามาแทนที่ บลูบิค นำเสนอโอกาสนั้น ตั้งแต่การวางกลยุทธ์ทางด้านธุรกิจ ไปจนถึงการจัดหาระบบเทคโนโลยีต่างๆ เทคโนโลยีดิจิทัล มีความหลากหลายและปลีกย่อยหลายระบบ มีผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน เช่น CRM บางระบบในการจัดการกับลูกค้า ซึ่งในแต่ละธุรกิจก็มีความต้องการที่แตกต่างละบลูบิคสามารถซัพพอร์ตได้ รวมทั้งมีบริษัทอื่นช่วยสนับสนุนสำหรับซอฟต์แวร์จากต่างประเทศ 


“ผมเชื่อว่าผู้บริหารทุกท่านมีการปรับตัวกันอยู่ตลอด สำหรับบริษัทดิจิทัลซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงเร็ว เรามองอยู่ 3 ด้านเพื่อให้สามารถไปข้างหน้าได้ คือ องค์ความรู้ องค์กรที่มีความคล่องตัว และความร่วมมือ”


    เรื่องแรกคือ องค์ความรู้ บลูบิคลงทุนจำนวนมากในเรื่อง R&D ในฐานะที่ปรึกษา บริษัทจำเป็นต้องมีความรู้รอบด้าน เช่นการทำ Digital strategy ให้กับธนาคารขนาดใหญ่ ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับงานหลายส่วน เช่น นำ AI มาทำ consumer analytics ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการทำความเข้าใจ ในการที่จะลองผิดลองถูก


    เรื่องที่สอง คือการทำให้องค์กรมีความคล่องตัวมากที่สุด การขับเคลื่อนองค์กรที่มีขนาดใหญ่ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดนวัตกรรมได้ทุกภาคส่วน องค์กรต้องตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว และสามารถลงมือปฏิบัติเองได้ เพราะฉะนั้นหน้าที่ของที่ปรึกษาอย่างบลูบิค คือ ช่วยให้ผู้บริหาร มีทิศทางชัดเจน และช่วย empower ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอุปกรณ์ เทคโนโลยี งบประมาณ ช่วยให้องค์กรมีการเรียนรู้ พร้อมที่จะลองผิดลองถูก เพราะสิ่งที่ผิดวันนี้อาจจะเป็นบทเรียนที่ทำให้องค์กรสามารถทำได้อย่างถูกต้องในวันข้างหน้า


    เรื่องที่สาม คือ พันธมิตร ซึ่งจะช่วยให้องค์กรปรับตัวได้ดี เช่น การที่เปิดบริษัทดูแลด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ บลูบิคดึงพันธมิตรเก่ามาทำงานร่วมกันอีก การเปิดบริษัทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เช่นกัน ต้องอาศัยพันธมิตรเพื่อตั้งเป็นบริษัทร่วมทุน เพื่อผสานความสามารถของทั้งสองฝ่ายมาช่วยกัน


อิ๊กดราซิลสร้างรายได้เพิ่มในโลกดิจิทัล


    ธนัช จุวิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อิ๊กดราซิล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ YGG ผู้ผลิตดิจิทัลคอนเทนท์ที่เป็นภาพเคลื่อนไหวทั้งหมด กล่าวว่า ส่วนใหญ่ YGG ทำงานผ่านระบบออนไลน์ อย่างเช่นการผลิตการ์ตูน ลูกค้าต่างประเทศส่งโมเดลมาให้ YGG ทำภาพเคลื่อนไหว จะเป็นการส่งไฟล์ทางออนไลน์มาตลอด ยิ่งโลกเข้าสู่ดิจิทัลมากขึ้น รายได้ของบริษัทฯ ก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย


“โดยปกติเราจะอยู่ปลายน้ำ แต่วันนี้เราสามารถติดต่อกับต้นน้ำได้ จึงเพิ่มโอกาสให้บริษัทด้วย เราสามารถไปจับมือกับต้นน้ำโดยตรง และสร้าง product อะไรใหม่ๆ ขึ้นมาเอง ไม่ใช่แค่รับจ้างผลิตเท่านั้น ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดี งานที่เราทำเป็นงานที่ส่งออกไปทั่วโลก”


    ธนัช กล่าวว่า ด้วยองค์ความรู้ และการทำงานกับต่างประเทศ เราจึงได้เห็นเทรนด์ต่างประเทศว่าจะเป็นยังไง ทีมต่างประเทศต้องการอะไร เช่น ก่อนที่เราจะรู้จัก netflix ทางฝั่งจีนก็มีแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ทำให้เรารู้ว่าแพลตฟอร์ม OTT ต้องมาแน่ ต้องมีการแข่งขันเอาคอนเทนต์ต่างๆ เข้ามาเรียกคนดู เราเลยวางแผนไว้ก่อน ในขณะเดียวกันเราคิดที่จะพัฒนา product ของเราเอง เริ่มจากเกมก่อน สำหรับกลุ่มคน Gen Z หรือ Gen ขณะเดียวกันก็พัฒนางานของเราให้เกิดขึ้นใหม่ไปเรื่อยๆ” ธนัชกล่าว


    จากมุมมองที่แตกต่างของนักบริหารทั้ง 3 คน สิ่งหนึ่งที่ทุกคนเห็นตรงกัน คือ เราไม่อาจหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงได้ สิ่งใหม่ๆ ย่อมก้าวขึ้นมาแทนสิ่งเดิมเสมอ เพื่อให้สอดคล้องกับความสะดวกสบายและการสร้างรายได้ของคนยุคปัจจุบัน ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจต่างๆ ต้องปรับตัว ไม่ว่าการเงินการลงทุนการใช้ชีวิต แต่อย่างไรก็ตามทุกการเปลี่ยนแปลงย่อมมีความเสี่ยงเสมอ โดยเฉพาะในโลกของการลงทุน ดังนั้นการใฝ่หาความรู้ การศึกษารายละเอียดในการลงทุนจึงมีความสำคัญอย่างมากในยุค Digital Disruption


อ่านเพิ่มเติม:“ไนท์แฟรงค์” นำ อสังหาฯ กรุงลอนดอน ขายเศรษฐีไทยรับค่าเงินปอนด์อ่อน


​ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine