ท่ามกลางความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัว แต่ผู้ที่ถือสินทรัพย์ทองคำตั้งแต่ปีที่แล้วล้วนกอดกำไรกันถ้วนหน้า เพราะราคาทองคำโลก (Gold Spot) พุ่งทะลุ 3,350 ดอลลาร์/ออนซ์ ทะยานสู่จุดสูงสุดใหม่รอบ 13 ปีนับตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา
การลงทุนในทองคำถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยหรือ safe heaven ให้ผลตอบแทนดีในยามวิกฤตและในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาราคาทองคำได้เพิ่มสูงทำสถิติใหม่อย่างต่อเนื่องจนกระทั่งตลาดเกิดความกังวลเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่ และทำให้คนส่วนใหญ่ที่มีทองคำในมือคิดไม่ตก "จะขายดีหรือเก็บไว้ก่อน" หรือระดับราคาเหมาะสมที่ควรคว้าโอกาสช้อนซื้อเพื่อทำกำไร

ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด หรือ YLG ให้มุมมองในภาพรวมเกี่ยวกับการลงทุนทองคำและวิเคราะห์แนวโน้มเทรนด์ความเปลี่ยนแปลงในอนาคต ซึ่งช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ราคาทองคำโลกได้ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นถึง 664.76 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือคิดเป็น +25.34% และทำสถิติใหม่ไม่ต่ำกว่า 20 ครั้ง ล่าสุด สร้างระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3,499.52 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อวันที่ 22 เมษายนปีนี้
สำหรับปัจจัยหลักที่หนุนให้ราคาทองคำพุ่งทะยานทำ All Time High และกลับมากดดันในเวลาต่อมานั้น มาจากการใช้มาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐอเมริกาของประธานาธิบดี Donald Trump ซึ่งเริ่มส่งผลกระทบตั้งแต่ต้นปี 2568
ในช่วงต้นปีจนถึงวันที่ 20 มกราคม ราคาทองคำปรับขึ้นจาก 2,624 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สู่ระดับ 2,744 ดอลลาร์ ขานรับคำสั่ง America First Trade Policy ของ Trump จากนั้นภายใต้การบริหารของ Trump เกิดความวุ่นวายหลายอย่างที่เร่งการปรับขึ้นของทองคำ เช่น การเร่งนำเข้าทองคำเข้าอเมริกา ของบรรดา Bullion Banks เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้า การเรียกร้องตรวจสอบทองคำใน Fort Knox และกระแสข่าวการปรับมูลค่า (Revaluation) ทองคำสำรองของอเมริกา
ต่อมาใน Liberation Day วันที่ 2 เมษายน อเมริกาประกาศอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ต่อประเทศคู่ค้าทั่วโลกส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งต่อสู่ระดับ 3,131 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และปัจจัยสุดท้ายที่เร่งให้ทองคำแตะระดับ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์เร็วกว่าคาด คือการขึ้นภาษีตอบโต้กันไปมาระหว่างอเมริกา-จีน และราคาทองคำก็ถูกเทขายทำกำไรทันทีที่ Scott Bessent รัฐมนตรีคลังสหรัฐอเมริกากล่าวว่า ความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างอเมริกา-จีนจะคลี่คลายลง
การเจรจาทางการค้ามีสัญญาณเชิงบวกบ้างหลังบรรลุดีลการค้ากับสหราชอาณาจักร รวมถึงการระงับภาษี Reciprocal Tariffs เป็นเวลา 90 วันต่อจีน ส่งผลให้ราคาทองคำปรับฐานลงมาทำระดับต่ำสุดที่ 3,121 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ในแง่ของกฎหมาย การใช้มาตรการภาษีนับว่ายังมีความไม่แน่นอนสูงเช่นกัน หลังจากศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USCIT) ตัดสินให้ระงับมาตรการภาษีของทรัมป์ที่ถูกสั่งใช้ผ่านกฎหมาย IEEPA แต่วันถัดมาศาลอุทธรณ์กลับมาตัดสินให้ภาษีทรัมป์กลับมาใช้ได้ ขณะที่ทำเนียบขาวระบุเตรียมยื่นถึงศาลฎีกา
สมรภูมิการค้ายุคทรัมป์ 2.0
นับตั้งแต่ปี 2514 ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย (CAGR) 8% ต่อปี โดยเฉพาะในช่วงที่เกิด Systematic Risk หรือความเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้ ทองคำจะยิ่งโดดเด่น จาก 11 ครั้งล่าสุดที่เกิดวิกฤต Systematic Risk ทองคำจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 10.36% ต่อปี
ในช่วง Donald Trump เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาสมัยแรก (มกราคม 2550) ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงเดือนมกราคม 2551 จากระดับ 1,150 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขึ้นสู่ระดับ 1,343 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (+16.79%) ก่อนที่จะเริ่มปรับลดลงในช่วงถัดมา
ฐิภาประเมินว่า สมรภูมิสงครามการค้ายุคทรัมป์ 2.0 "ได้ผ่านจุดที่เลวร้ายที่สุดไปแล้ว" นับตั้งแต่อเมริกาและจีนเห็นพ้องระงับภาษี Reciprocal Tariffs เป็นเวลา 90 วัน โดยมองความเป็นไปได้ 3 กรณี ได้แก่ กรณีปกติที่สหรัฐอเมริกาเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 54-50% และจีนเก็บภาษีนำเข้าจากสินค้าอเมริกาในอัตรา 34% ซึ่งมีความเป็นไปได้สูง
ส่วนกรณีที่ดีที่สุด คือ อเมริกาและจีนเก็บอัตราภาษีในช่วงปัจจุบัน โดยอเมริกาเก็บภาษีนำเข้าจากจีนในอัตรา 30% และจีนเก็บภาษีนำเข้าจากอเมริกาในอัตรา 10% ซึ่งมีความเป็นไปได้ปานกลาง และกรณีเลวร้ายที่สุดหากอเมริกาและจีนกลับไปใช้อัตราภาษีสูงสุดที่เคยประกาศเก็บจากจีน 145% และจากอเมริกา 125% ซึ่งกรณีนี้มีความเป็นไปได้ต่ำ
YLG คงประเมินว่าสงครามการค้าระหว่างอเมริกาและจีนจะดำเนินต่อไปในรูปแบบที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ โดยมีแนวโน้มที่จะเป็นสงครามเย็นทางเศรษฐกิจ หรือการแข่งขันทางเทคโนโลยีที่เข้มข้นขึ้น ซึ่งความไม่แน่นอนที่ยังคงอยู่จะยังเป็นปัจจัยสนับสนุนทองคำในระยะยาว
นอกจากนั้น แม้ว่า Trump อาจมีกฎหมาย IEEPA เป็นอุปสรรคต่อมาตรการภาษี แต่ยังมีกฎหมายอื่นๆ ที่สามารถนำมาใช้ได้ เช่น กฎหมายที่เกี่ยวกับการตั้งกำแพงภาษีรายอุตสาหกรรม ซึ่งเคยประกาศใช้กับกลุ่มยานยนต์ เหล็ก และอลูมิเนียม เป็นต้น
ทั้งนี้ ช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ ราคาทองคำแท่งในไทยปรับตัวขึ้นสู่ 50,000 บาท แบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งถือเป็นการปรับตัวขึ้นครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ โดยปรับขึ้นรวดเร็วอย่างต่อเนื่องจากปี 2567 และ 2566 ราคาทองคำแท่งในไทยอยู่ราวๆ บาทละ 44,550 บาท และ 34,400 บาท ตามลำดับ ซึ่งย้อนหลังไป 10 ปี ราคาทองไทยในปี 2558 อยู่ที่บาทละ 20,150 บาท เพิ่มขึ้นมาไม่ต่ำกว่า 30,000 บาทในเวลานี้

โอกาสและความเสี่ยงทองคำ
ปัจจัยที่จะส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นมีโอกาสจากความต้องการทองคำเพิ่มท่ามกลางความวิตกว่าสงครามการค้าจะผลักดันเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจอเมริกาเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) ซึ่งล่าสุด OECD ปรับลดคาดการณ์ GDP (การเติบโตของเศรษฐกิจ)โลกในปี 2568 ลงจาก 3.1% เหลือเพียง 2.9% และคาดการณ์ GDP อเมริกา จะเติบโต 1.6% ลดลงจาก 2.2%
ขณะเดียวกันยังมีปัญหาหนี้สาธารณะที่ยืดเยื้อของอเมริกาที่ปัจจุบันพุ่งเฉียด 37 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็น 122.85% ของ GDP และอาจเพิ่มขึ้นอีก 3-5 ล้านล้านดอลลาร์ หากสภาคองเกรสลงมติผ่านร่างกฎหมายปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา-นิติบุคคล
นอกจากนั้น ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ ธนาคารกลางทั่วโลกได้เดินหน้าเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง สะสมในทุนสำรองระหว่างประเทศ ท่ามกลางกระแสการลดการพึ่งพาดอลลาร์ (de-dollarization) ที่ได้รับการกระตุ้นขึ้นไปอีกหนึ่งระดับจากนโยบายของ Trump ซึ่ง World Gold Council รายงานว่า ธนาคารกลางซื้อทองคำเป็นปีที่ 15 ติดต่อกัน ล่าสุดในปี 2567 มีปริมาณการเข้าซื้อระดับ 1,045 ตัน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยปี 2010-2021 ที่ 473 ตัน และความต้องการทองคำสูงเกิน 1,000 ตัน 3 ปีติดต่อกัน
ขณะเดียวกันกระแสเงินทุนไหลเข้ากองทุน ETF ทองคำทั่วโลกในไตรมาส 1 ปี 2568 จำนวน 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์ รวมปริมาณ 226 ตัน นับว่าเป็นระดับสูงสุดรอบ 3 ปีตั้งแต่ไตรมาส 1 ของปี 2565 ส่วนการถือครองรวมเพิ่มขึ้นเป็น 3,445 ตัน ณ สิ้นไตรมาส 1 ของปี 2568 ซึ่งต่ำกว่าระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 3,915 ตัน ที่เคยขึ้นไปทดสอบในเดือนตุลาคม 2563 เพียง 470 ตัน
ด้านปัจจัยเสี่ยง ประกอบด้วย เรื่องของดอกเบี้ย หากดอกเบี้ยสูงจะไม่เป็นบวกต่อราคาทองขาขึ้น ซึ่งล่าสุดธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ไม่รีบเร่งในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่ง Jerome Powell ประธาน FED ได้ระบุจากการประชุมครั้งล่าสุดว่า FED รอดูผลกระทบ (wait & see) และจะไม่มีเงื่อนไขในการดำเนินการล่วงหน้า (pre-emptively) ด้วยการปรับลดดอกเบี้ย
ส่วนประเด็นใหญ่สงครามทางภูมิรัฐศาสตร์ในมุมมองของ YLG วิเคราะห์สถานการณ์ยังคงยืดเยื้อ แต่ความขัดแย้งทั้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน หรือตะวันออกกลาง อาจผ่านจุดพีคไปแล้ว
"เรามองว่าสถานการณ์ปัจจุบันแรงซื้อ-ขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยจากประเด็นสงคราม เป็นเพียงปัจจัยเพิ่มความหวือหวา หรือความผันผวนให้กับทองคำในช่วงสั้นๆ ราคาทองคำระยะสั้นอยู่ในช่วงการแกว่งตัว Sideway สะสมแรงซื้อ หลังจากขึ้นทำ All Time High ที่ระดับเป้าหมาย 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ฐานล่าสุดเป็นระดับต่ำสุดของเดือนพฤษภาคมที่ 3,121 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากจบรอบพักฐานระยะสั้นแล้วประเมินว่าระดับราคาปัจจุบันยังมี Downside (ลง) และ Upside (ขึ้น) เบื้องต้นในระดับที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งหากทำ New All Time High ได้จะเปิด Upside ขึ้นไปอีก 100-200 ดอลลาร์ต่อออนซ์"

ฐิภาคาดการณ์ว่า แม้ราคาทองคำในปีนี้อยู่ระดับสูงเป็นประวัติการณ์และมีความผันผวนจากปัจจัยภายนอกสูง แต่จากการวิเคราะห์ทั้งด้านผลตอบแทนย้อนหลัง และปัจจัยพื้นฐานที่คาดการณ์จากข้อมูลปัจจุบัน รวมถึงความต้องการทองคำจากธนาคารกลางและกองทุน ETF ทองคำยังมีเหตุผลเพียงพอที่สนับสนุนให้ทองคำยังโดดเด่น โดยเฉพาะช่วยเสริมเสถียรภาพพอร์ตในช่วงเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงสูง
ทองคำยังตอบโจทย์สำหรับนักลงทุนรายใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการเก็งกำไรหรือเป็นตัวช่วยในการจัดการพอร์ตให้ได้ผลตอบแทนต่อหนึ่งหน่วยความเสี่ยงสูงที่สุด ในส่วนนี้จึงจะต้องมุ่งเน้นไปที่การบริหารสัดส่วนอย่างเหมาะสมและสัมพันธ์กับเป้าหมาย ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนสามารถลดความเสี่ยงในระยะสั้น พร้อมสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว
"หากจะเก็งกำไรในช่วงราคาแกว่งตัวใกล้ All Time High ควรเน้นเป็นการซื้อขายทำกำไรในระยะสั้น แต่ต้องติดตามข่าวสารและมองเชิงทางเทคนิคด้วย ซึ่งทาง YLG มองว่าหลังจากราคาปรับฐานในระยะกลางเรียบร้อยแล้วจึงมีการปรับตัวขึ้นต่อ โดยประเมินว่าเป้าหมายแรกในปีนี้ยังคงอยู่ที่บริเวณ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ทองไทยบาทละ 54,100 บาท และหากสามารถขึ้นทำ New All Time High จะมีเป้าหมายถัดไปอยู่ที่บริเวณ 3,600-3,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนราคาทองไทย 55,600-57,150 บาทต่อบาททองคำตามลำดับ"
แนะกระจายสินทรัพย์ลงทุน
การจัดพอร์ตแบบ Asset Allocation ถ้าจะลงทุนทองคำ เพื่อป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตที่เหมาะสม ก็ควรจะเป็น "ทองคำแท่ง" หรือซื้อผ่าน กองทุน ETF ทองคำ ซึ่งเลือกสัดส่วนให้เหมาะสมตามสภาวะตลาด
ตัวอย่างเช่น ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย ควรลดสัดส่วนสินทรัพย์ความเสี่ยงสูง เช่น หุ้นสามัญ ลงมาที่ไม่เกิน 20-25% และเพิ่มสัดส่วนสินทรัพย์ปลอดภัยที่มี Correlation สวนทางกัน เช่น ทองคำ, พันธบัตร ขึ้นมาเป็น 15% ขณะที่ในช่วงภาวะเศรษฐกิจซบเซาหรือโตช้า อาจลดสัดส่วนทองคำลงมาอยู่ที่ 5-10% และในช่วงภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว ลดสัดส่วนทองคำลงมาอยู่ที่ 5% และ Risk-on เพิ่มสัดส่วนการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงแทน
นอกจากนี้ อาจปรับสัดส่วนโดยการใช้กลยุทธ์ "Dynamic Rebalancing" ในรายเดือน/ไตรมาส หรือ ปี เช่น หากทองคำพุ่งเกิน 15% ของพอร์ต ก็ควรขายบางส่วนเพื่อรักษาสัดส่วน แต่หากทองคำลดลงต่ำกว่า 5-10% ของพอร์ต ควรทยอยเข้าซื้อสะสมเพิ่ม
YLG ได้จำลองผลตอบแทนของ 3 พอร์ตที่มีสัดส่วนการลงทุนแตกต่างกัน ในช่วงระยะเวลา 10 ปีย้อนหลัง ตั้งแต่ 31 มีนาคม 2558 จนถึง 31 มีนาคม 2568 พบว่า การเพิ่มสัดส่วนทองคำ 5-15% ให้อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 8.13-8.93% ต่อปี ถือว่าสูงกว่าพอร์ตที่ไม่มีทองคำที่ให้ CAGR อยู่ที่ 7.72% ต่อปี
ขณะเดียวกันยังช่วยลด Drawdown หรือการลดลงของมูลค่าของพอร์ต ให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าพอร์ตที่ไม่มีทองคำ และให้ผลตอบแทนที่ดีมากกว่าพอร์ตที่ไม่มีทองคำใน Best Year รวมถึงให้ผลตอบแทนที่แย่น้อยกว่าพอร์ตที่ไม่มีทองคำใน Worst Year สุดท้าย Sortino ratio ที่วัดผลตอบแทนต่อ 1 หน่วยความเสี่ยงในเชิงลบยังสูงกว่าพอร์ตการลงทุนที่ไม่มีทองคำอีกด้วย

ฟินโนมีนาชี้ปัจจัยหนุนทอง
มุมมองของ ชยนนท์ รักกาญจนันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง Finnomena Funds ผู้ให้บริการที่ปรึกษาการลงทุน ประเมินภาพในช่วงครึ่งปีหลังว่า ราคาทองคำมีโอกาสในการปรับฐานอาจเกิดขึ้นในระยะสั้นได้ เนื่องจากมีความไม่แน่นอนหลายๆด้าน แต่ยังมีปัจจัยบวก ได้แก่ ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งความตึงเครียดสงครามทางการค้า โดยเฉพาะนโยบายภาษีศุลกากรของ Donald Trump เช่น การขู่เก็บภาษียุโรปหรือจีนจะกระตุ้นความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ
ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยเรื่องนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของอเมริกา โดยคาดการณ์ว่า Fed อาจลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือ 3.75–4.00% ในปี 2568 จะสนับสนุนราคาทองคำ เนื่องจากต้นทุนโอกาสในการถือครองทองคำ ซึ่งไม่ให้ดอกเบี้ยลดลง
นอกจากนั้น ความต้องการจากธนาคารกลางในตลาดเกิดใหม่ เช่น จีนยังคงสะสมทองคำเป็นทุนสำรอง ซึ่งหนุนราคาทองคำในระยะยาว รวมถึงปริมาณทองคำที่ลดลง โดย YLG ระบุว่า ทองคำที่ขุดได้ทั่วโลกอาจเหลือเพียง 19 ปี หากไม่พบแหล่งแร่ใหม่สนับสนุนทิศทางขาขึ้นระยะยาว
ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่จะกดดันราคาทองคำมาจากการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ โดยดัชนีดอลลาร์ (DXY) ที่อาจกลับมาแข็งค่าขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐหรือนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นอาจกดดันราคาทองคำ
ขณะที่การคลายความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น หากเกิดสถานการณ์สงครามการค้าหรือความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน คลี่คลายลง ทำให้ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยอาจลดลง และส่งผลให้ทองคำถูกเทขาย รวมถึงการขายทำกำไร หลังจากราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว นักลงทุนอาจเทขายเพื่อทำกำไร ส่งผลให้ราคาร่วงลงในระยะสั้น
ชยนนท์ประเมินแนวโน้มราคาทองคำมีโอกาสปรับขึ้นต่อมากกว่าปรับลงในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากปัจจัยพื้นฐาน เช่น ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และการลดดอกเบี้ยยังคงหนุนทิศทางขาขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความผันผวนอาจสูงขึ้นจากนโยบายของทรัมป์และการเคลื่อนไหวของดอลลาร์สหรัฐ และหากมีการปรับฐานอาจเกิดขึ้นระยะสั้นๆ มีแนวรับสำคัญอยู่ที่ 3,200 และ 3,020 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนราคาทองคำไทยบาทละ 47,000- 49,000 บาท
สำหรับราคาทองคำในช่วงครึ่งปีหลังให้กรอบแนวต้าน 3,395–3,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แนวรับ 3,200–3,280 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากคิดเป็นราคาทองในไทย แนวต้าน 53,000–54,000 บาทต่อบาททองคำ ส่วนแนวรับ 50,800–51,100 บาทต่อบาททองคำ
"เราคาดการณ์ ราคาทองคำอาจแกว่งตัวในกรอบ 3,200–3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยมีโอกาสทดสอบระดับ 3,600 ดอลลาร์หากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์หรือการลดดอกเบี้ยหนุนต่อ ซึ่ง Bank of America คาดการณ์ราคาทองคำอาจแตะ 4,000 ดอลลาร์ในปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า"
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs และ J.P. Morgan คาดการณ์ว่าทองคำอาจแตะระดับ 3,675–3,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ภายในปลายปี 2568

สำหรับราคาทองคำใน 2 ปีข้างหน้า (ปี 2569-2570) alletInvestor และ CoinCodex คาดการณ์ราคาทองคำมีแนวต้าน 3,560–4,296 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ราคาทองไทยประมาณ 55,000–65,000 บาทต่อบาททองคำ) ส่วนแนวรับ 3,020-3,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ทองไทยประมาณ 50,800 บาทต่อบาททองคำ)
ในโลกลงทุน ทองคำยังเป็นสินทรัพย์อมตะในโลกการลงทุน แม้ราคาทองคำจะอยู่ในระดับ All Time High แต่ด้วยปัจจัยสนับสนุนและคุณสมบัติในการป้องกันความเสี่ยงจึงทำให้ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนรายใหญ่ การทำความเข้าใจปัจจัยตลาดและวางแผนกลยุทธ์การลงทุนอย่างรอบคอบจะช่วยให้สามารถคว้าโอกาสและบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพในยุคที่ทองคำกำลังเปล่งประกาย
คาดการณ์เป้าหมายของราคาทองคำ ปี 2568
บริษัท | เป้าหมายราคาทองคำ (ดอลลาร์/ออนซ์) |
---|---|
YLG | 3,500, ถัดไป 3,600-3,700 (ราคาทองไทย 54,000 บาทต่อบาททองคำ, ถัดไป 55,600-57,150 บาทต่อบาททองคำ) |
ฟินโนมีนา Bank of America Goldman Sachs | ทดสอบระดับ 3,600 4,000 3,675-3,700 |
ที่มา Forbes รวบรวม
สถิติทองคำกับวิกฤตการณ์สำคัญ
วิกฤติการณ์ | ช่วงเวลา | ผลตอบแทนทองคำ |
---|---|---|
Black Monday | 9/1987 - 11/1987 | 6.90% |
Dot-com | 3/2000 - 3/2001 | -7.90% |
2545 เศรษฐกิจถดถอย | 3/2002 - 7/2002 | 9.80% |
Great Recession | 10/2007 - 2/2009 | 47.20% |
2561 pullback (Trump 1) | 10/2018 - 12/2018 | 6.60% |
ที่มา YLG
เรื่อง: วิไล อักขระสมชี