ตง ธีระนุสรณ์กิจ นิยามความอร่อยที่มาพร้อมความสำเร็จ มานาน 60 ปี - Forbes Thailand

ตง ธีระนุสรณ์กิจ นิยามความอร่อยที่มาพร้อมความสำเร็จ มานาน 60 ปี

FORBES THAILAND / ADMIN
29 Nov 2018 | 03:54 PM
READ 10463

จากจุดเริ่มต้นตั้งแต่การบุกเบิก เนยแบรนด์ “อลาวรี่” ให้เป็น ที่รู้จักเมื่อปี 2501 จนกลายเป็น ผลิตภัณฑ์ที่ครองใจคนไทย มาช้านาน พร้อมๆ กับกลายเป็นตำนานที่ สร้างความสำเร็จให้กับบริษัท และสามารถ ต่อยอดไปสู่การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ ยอดนิยมต่างๆ อาทิ คุกกี้ “อิมพีเรียล”, น้ำผลไม้เข้มข้น “ซันควิก” ตลอดจนการ เผชิญหน้าวิกฤตเศรษฐกิจที่ต้องอาศัย วิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นในการฟันฝ่า อุปสรรคอย่างหนักแน่นและจริงใจครั้งแล้ว ครั้งเล่า ทำให้ KCG ในวันนี้สามารถยืนหยัด อยู่แถวหน้าในฐานะผู้ผลิตและนำเข้า ผลิตภัณฑ์นม เนย ชีส ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ และอุปกรณ์สำหรับการทำเบเกอรี่ รายใหญ่ ของประเทศ มีสถานะทางการเงินแข็งแกร่ง ฉลองการครบรอบ 60 ปีของบริษัทใน ปลายปีนี้ได้อย่างภาคภูมิใจ โดยเตรียม แผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งเป็นหมุดหมายใหม่ในการก้าวไปข้างหน้า อย่างมั่นคงและยั่งยืน

ตำนนควมอร่อย

ภายใต้อาคารทันสมัยย่านถนนเทพารักษ์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ KCG Excellence Center การตกแต่งภายในที่ดูผ่อนคลาย เป็นกันเอง แฝงความสนุกสนานสดใส เหมือนอยู่ในห้อง นั่งเล่นที่มีชีวิตชีวา มากกว่าออฟฟิศทำงาน คุณตง ธีระนุสรณ์กิจ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด ที่แม้จะเลยวัยกว่า 70 ปีแล้ว แต่ยังดูกระฉับกระเฉง แข็งแรง ได้สละเวลา ให้เกียรติเล่าถึงวันวานแห่งการเริ่มต้นธุรกิจ เมื่อ 60 ปีก่อนราวกับเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้น เมื่อไม่นานมานี้

เราเติบโตจากธุรกิจขนาดเล็ก มีเพียงความ เอาใจใส่ ขวนขวาย จนเติบโตเป็นขนาดกลาง และกลายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ เมื่อมอง ย้อนกลับไป ผมคิดว่าการทำธุรกิจอยู่นิ่ง ไม่ได้ ทุก 10 ปีหรือทุกทศวรรษเราต้องมีการ เปลี่ยนแปลงเพื่อให้บริษัทยืนหยัดอยู่ได้

KCG เริ่มธุรกิจในนาม ห้างหุ้นส่วนจำกัด กิมจั๊วพาณิชย์ ดำเนินกิจการเป็นผู้นำเข้า และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เนยและเนยแข็ง “อลาวรี่” จากออสเตรเลียในปี 2501 กระทั่ง ปี 2515 หรืออีก 14 ปีต่อมาก็สามารถตั้ง โรงงานผลิตเนยและชีสของตัวเอง และมี การต่อยอดกิจการด้วยการผลิตคุกกี้สไตล์ เดนมาร์คด้วยมาตรฐานระดับโลก ภาย ใต้แบรนด์อิมพีเรียล มานานเกือบ 40 ปี โดยก่อตั้งโรงงานผลิตคุกกี้แห่งแรกของ ประเทศไทยในปี 2528 และประสบความ สำเร็จอย่างสูง จนกลายเป็นตำนานคุกกี้ อิมพีเรียลกระป๋องแดงที่คนไทยนิยมหาซื้อ เป็นของขวัญของฝากในเทศกาลสำคัญๆ จากนั้นกิจการก็ขยับขยายต่อเนื่องไปสู่ธุรกิจ โคนมและฟาร์มวัว (ปี 2531), การผลิตและ จำหน่ายน้ำผลไม้เข้มข้นตรา “ซันควิก” (ปี 2531), การจำหน่ายเครื่องจักรและ อุปกรณ์การทำเบเกอรี่ (ปี 2550), โรงเรียน สอนทำอาหาร Imperial Bakery and Food Culinary School (ปี 2551), ตั้งศูนย์ นวัตกรรมอาหาร “KCG Excellence Center” (ปี 2555) รวมถึงการเป็นผู้แทน จำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็งและอาหาร สำเร็จรูปแบรนด์ระดับโลกมากมาย

สร้งควมแข็งแกร่ง มองวิกฤตให้เป็นโอกาส

ตลอดระยะเวลาการดำเนินกิจการ KCG ได้รีแบรนดิ้งตัวเองครั้งใหญ่ 2 ครั้ง ครั้งแรก คือการเปลี่ยนชื่อจาก ห้างหุ้นส่วนจำกัด กิมจั๊วพาณิชย์ เป็น บริษัท กิมจั๊ว กรุ๊ป จำกัด ในปี 2554 เพื่อปรับกลยุทธ์การบริหารจัดการ และปรับภาพลักษณ์องค์กร โดยให้ความสำคัญ กับการสร้างแบรนด์และการบริหารจัดการแบบ มืออาชีพ และอีกครั้งในปี 2557 ที่รวมเอา บริษัทต่างๆ ภายในเครือมาเป็นกลุ่มเดียวกัน ภายใต้ชื่อ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด เพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขัน

ผมเข้ามาทำธุรกิจโดยใช้ความตั้งใจ ฝึกฝน ไขว่คว้าหาความรู้ ไม่ปล่อยให้ โอกาสหลุดมือไป โดยทั้งหมดมีจุดเริ่มต้น จากคุณวิจัย วิภาวัฒนกุล ซึ่งเป็นพี่ชายที่มี ประสบการณ์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหาร นม เนย รวมทั้งอาหารชาวตะวันตก จากนั้นพี่น้อง ก็ร่วมกันใช้ประสบการณ์ในการบริหารจัดการ แต่พอถึงปี 2550 คิดว่าต้องเป็นระบบแล้ว เพราะการทำธุรกิจเราต้องคิดถึงวันข้างหน้า เรารีแบรนดิ้งเพราะอยากเข้าถึงคนรุ่นใหม่ ให้มีความเป็นสากลมากขึ้น หากยังคงบริหาร แบบเดิมๆ แม้แต่ลูกหลานเราเองก็คงไม่อยาก เข้ามาร่วมงาน เราจึงต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง ปรับเปลี่ยนองค์กร การบริหารจัดการก็ต้อง เปลี่ยนสมอง โดยผสมผสานคนรุ่นใหม่ใน ครอบครัวร่วมกับมีมืออาชีพเข้ามามีส่วนร่วม” คุณตงกล่าว

กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร KCG ยังกล่าวด้วยว่า กว่าจะ ยืนหยัดเป็นปึกแผ่นมาถึงทุกวันนี้ บริษัทได้ เผชิญหน้าความท้าทายหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็น การปรับขึ้นภาษีนำเข้าทั้งวัตถุดิบ และผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ในปี 2527 และ วิกฤตการลดค่าเงินบาทในปี 2540 แต่ KCG ก็ผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ มาได้ ก็ด้วยการมี ฐานการเงินที่แข็งแกร่ง รู้จักบริหารความเสี่ยง และตระหนักอยู่เสมอว่าวิกฤตเป็นทั้งโอกาส ในเวลาเดียวกัน

เราแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยการมองวิสัยทัศน์ ไปข้างหน้า และตั้งรับสถานการณ์อยู่บน พื้นฐานของความไม่ประมาท โดยใช้ความ ชำนาญบน core business ของเรา ไม่ขยาย ธุรกิจเกินตัว พร้อมเตรียมความพร้อม ตลอดเวลา เมื่อเกิดวิกฤตคลื่นลมแรงเราจึง ฝ่าไปได้อย่างราบรื่น เพราะเรารู้จักบริหาร ความเสี่ยงทางการเงิน โดยยึดหลักพึ่งพาผู้อื่น ให้น้อยที่สุด ทำธุรกิจเราต้องรู้สถานการณ์ ของเรา รู้ว่าเราแบกรับภาระได้มากน้อย แค่ไหน

ก้วไกลอย่งมั่นคง

ปัจจุบัน KCG ปรับโครงสร้างองค์กร แยกเป็นหน่วยธุรกิจในการบริหารสินค้า แต่ละประเภทอย่างชัดเจน โดยอิงหลักการ สากลเพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้า ตลาดหลักทรัพย์

ผู้นำKCG กล่าวต่อไปว่า ทิศทางการ ดำเนินกิจการของบริษัทจะยังคงเน้นการ เติบโตอย่างยั่งยืน มีการเตรียมความพร้อม ในเรื่องกำลังการผลิต โดยในปี 2555 บริษัท ได้ลงทุน 1 พันล้านบาท ก่อสร้างโรงงานแห่ง ที่ 3 พร้อมนำเข้าเครื่องจักรประสิทธิภาพสูง เพื่อขยายกำลังการผลิต ภายใต้การรับรอง มาตรฐาน ISO 9001, GMP, HACCP, HAL-Q และ HALAL

ขณะเดียวกันบริษัทยังให้ความสำคัญ ในด้านนวัตกรรมมากขึ้น ดังที่ได้มีการจัดตั้ง KCG Excellence Center ซึ่งเป็นศูนย์วิจัย พัฒนา และสร้างสรรค์นวัตกรรมเกี่ยวกับ อาหาร ผ่านความร่วมมือกับองค์กรระดับโลก จากต่างประเทศ และมหาวิทยาลัยชั้นนำในไทย ประกอบด้วย ห้องปฏิบัติการและห้อง ทดสอบในด้านต่างๆ เพื่อให้เป็นศูนย์กลาง การเรียนรู้ ค้นคว้า ทดลอง วิจัย และพัฒนา ทางด้านอาหารอย่างครบวงจร โดยมีตัวอย่าง ผลงานที่สร้างความสำเร็จให้กับบริษัท เช่น แป้งสำเร็จรูปสำหรับทำเอแคลร์จากข้าว ไรซ์เบอร์รี่ ที่ได้รับรางวัลจากสำนักงาน นวัตกรรมแห่งชาติเมื่อปี 2558, การร่วมมือกับ บริษัทชั้นนำของไทยในการพัฒนาสูตรอาหาร และผลิตภัณฑ์สำหรับวางจำหน่ายภายใต้ แบรนด์ต่างๆ ขณะเดียวกันก็ยังสนับสนุน การประกวดทางด้านนวัตกรรมทั้งภายนอก และภายในบริษัท เพื่อพัฒนานวัตกรรมที่จะช่วยต่อยอดการดำเนินงานของบริษัท

KCG ให้การส่งเสริมนวัตกรรมที่ช่วยอำนวยความสะดวกกับผู้บริโภค หรือสามารถเพิ่มคุณค่าให้กับอาหาร เช่น เรามี Allowrie Cheese Squeeze ที่เป็นแบบขวดบีบ, ออกผลิตภัณฑ์แป้งข้าวไรซ์เบอร์รี่สำหรับทำแพนเค้กและวาฟเฟิล หรือการพัฒนาสูตรอาหารร่วมกับลูกค้าเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์วางจำหน่ายภายใต้แบรนด์ของลูกค้าเอง โดยมี key point คือ การต่อยอดจากผลิตภัณฑ์ที่เป็นตัวหลักของเรา ซึ่งหากเราไม่ทำไม่พัฒนาสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคตคือคนอื่นก็จะล้ำหน้ากว่าเราได้

คุณตงกล่าวต่อไปว่า ปัจจัยความสำเร็จของ KCG ในทุกวันนี้ นอกจากมาจากวิสัยทัศน์และความทุ่มเทในรุ่นบุกเบิก ก็มาจากความร่วมมือร่วมใจของทุกคนในองค์กรที่ถือเป็น KCG Family โดยบริษัทมีค่านิยมหลักในการทำงานร่วมกันคือ Teamwork, Accountability,Passion, Expertise, Innovative เพื่อเป้าหมายการเติบโตไปสู่บริษัทที่มีความมั่นคงยั่งยืน

จากพี่น้อง 3 คน คือ พี่ชายคนโต คุณวิจัยวิภาวัฒนกุล พี่สาวคนกลาง คุณนันทนากุศลส่งเสริม และผมตง ธีระนุสรณ์กิจจนประสบความสำเร็จมาเป็นธุรกิจขนาดใหญ่เป็นธุรกิจครอบครัวที่มีความกลมเกลียว สามัคคีปรองดอง ซึ่งดำเนินมาถึง 60 ปี แต่เราต้องมองถึงอนาคตในอีก 6 ทศวรรษข้างหน้า รวมถึงรุ่นต่อๆ ไปซึ่งต้องมีความยั่งยืน จึงมีแผนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ และทำตัวเองให้พร้อม เพราะบริษัทจะยั่งยืนได้ส่วนหนึ่งต้องอยู่บนความโปร่งใส อยู่ภายใต้กฎกติกา และมีความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งแม้เรายังไม่เข้าตลาดฯ แต่เราก็ปฏิบัติตัวเองประหนึ่งเราเป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว ผมคิดว่าการทำธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมาและโปร่งใส เป็นบ่อเกิดแห่งความเจริญ ขณะนี้ทุกคนเป็นผู้ถือหุ้นของครอบครัวที่ดี ช่วยกันทำธุรกิจสร้างความเติบโตร่วมกับคู่ค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ โดยเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เราก็จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ทันที ซึ่งถือเป็นเกียรติภูมิของทุกคนในบริษัทที่ทุ่มเทร่วมกันมา” คุณตงกล่าวทิ้งท้าย

เกียรติประวัติแห่งความภาคภูมิใจของ KCG

• ปี 2556 คุณตง ธีระนุสรณ์กิจ ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์เบลเยี่ยม จากเจ้าชายฟิลลิป มกุฏราชกุมารแห่งราชอาณาจักรเบลเยี่ยม ในฐานะคู่ค้ารายใหญ่ของประเทศเบลเยี่ยม

• ปี 2557 KCG ได้ร่วมสนับสนุนมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย ในการนำข้าวไรซ์เบอร์รี่จากมูลนิธิฯ มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดให้แก่ชาวนาไทย นับเป็นการส่งเสริมให้ข้าวไรซ์เบอรร์รี่ก้าวไกลสู่สากล ทั้งยังเป็นการช่วยเหลือและสนับสนุนเกษตรกรไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและยั่งยืน KCG สำนึกในพระกรุณาธิคุณ

• ปี 2559 คุณตง ธีระนุสรณ์กิจ ได้รับรางวัล “บุคคลสัมมาชีพ” แห่งปี ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อยกย่องและเชิดชูเกียรติบุคคลผู้ประกอบอาชีพและดำเนินธุรกิจตามหลักสัมมาชีพ

• ปี 2561 KCG เป็นบริษัทแรกของประเทศไทยที่ได้รับใบรับรองคุณภาพมาตรฐาน GIP (Good Importing Practice) จากคณะกรรมการอาหารและยา ถือเป็นการการันตีถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ที่บริษัทมุ่งมั่นคัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อส่งมอบถึงมือผู้บริโภคเสมอมาตลอด 60 ปี

• คุณตง ธีระนุสรณ์กิจ เข้ารับใบประกาศเกียรติคุณในฐานะที่ บริษัท เคซีจีคอร์ปอเรชั่นจำกัด เป็นองค์กรที่พนักงานเข้าร่วมบริจาคโลหิตได้ตามเกณฑ์ จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย