เปิดวิถีบริหารแบบ “ไร้ทางตัน” ของเทพอาจ กวินอนันต์ ซีอีโอพันล้าน เจ้าของค่าย LOVEiS - Forbes Thailand

เปิดวิถีบริหารแบบ “ไร้ทางตัน” ของเทพอาจ กวินอนันต์ ซีอีโอพันล้าน เจ้าของค่าย LOVEiS

FORBES THAILAND / ADMIN
02 Dec 2022 | 10:50 AM
READ 4717

ถ้าไปดูโปรไฟล์ของจี๊บ - เทพอาจ กวินอนันต์ หลายคนอาจจะสงสัยว่า เขาทำได้อย่างไรถึงมีธุรกิจในพอร์ตโฟลิโอที่หลากหลาย ตั้งแต่ธุรกิจเครื่องดื่ม ธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์ คลื่นวิทยุ ค่ายเพลงชื่อดังอย่าง LOVEiS Entertainment และล่าสุดเพิ่งก่อตั้งบริษัท KLD Co., Ltd. เพื่อซื้อโรงเหล้าที่อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มธุรกิจที่มีมูลค่าร่วมหลายพันล้านบาทที่เขาเป็นเจ้าของ

คำตอบของเรื่องนี้ มาจากคีย์เวิร์ดสั้นๆ ที่ผู้บริหารคนเก่งยึดถือมาตลอด นั่นคือไม่ยอมปล่อยให้โอกาสที่ผ่านเข้ามาในชีวิตแล้วผ่านไป

“ถ้ามีโอกาสผ่านเข้ามา 20 ครั้ง ผมอาจจะปล่อยให้โอกาสผ่านไปแค่  1 ครั้ง นั่นเลยทำให้ผมมีธุรกิจที่หลากหลาย จนบางคนอาจจะมองว่าบางธุรกิจดูไม่น่าจะเชื่อมโยงกัน แต่ผมคิดต่างเพราะผมจะคัดกรองโอกาสที่เข้ามาตลอดว่าอย่างน้อยต้องมีความเกี่ยวโยงหรือช่วยส่งเสริมธุรกิจที่มีอยู่ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ยกตัวอย่างธุรกิจค่ายเพลง บางคนอาจจะมองว่าไม่ค่อยเชื่อมโยงกับธุรกิจเดิมที่ผมมีอยู่ แต่จริงๆ แล้วธุรกิจเครื่องดื่มและร้านอาหารต้องมีการดีลกับศิลปินอยู่ตลอดหรือบางครั้งเราก็เป็นสปอนเซอร์งานแสดงดนตรีต่างๆ อยู่แล้ว ดังนั้นจะดีแค่ไหนถ้าเรามีธุรกิจค่ายเพลงอยู่ในมือจะได้ต่อยอดให้มาเติมเต็มธุรกิจเดิมที่เรามีอยู่”

​ที่สำคัญนอกจากการเข้าไปเปิดประสบการณ์ในการทำธุรกิจที่หลากหลายจะส่งผลดีในเชิงธุรกิจ ในฐานะผู้บริหารก็ได้เปิดมุมมองในการทำงานกับคนรุ่นใหม่ได้รีเฟรชไอเดียเพื่อนำมาปรับใช้กับธุรกิจ โดยเฉพาะการบริหารค่ายเพลง LOVEiS ทำให้ได้เห็นอินไซต์และมุมมองของคนรุ่นใหม่ ซึ่งจริงๆ แล้วก็เป็นกลุ่มลูกค้าหลักของแบรนด์เครื่องดื่มหรือร้านอาหารที่ทำอยู่เช่นกัน

​“ผมเป็นคนที่เวลาทำอะไรผมชอบเรียนรู้จากประสบการณ์จริง อย่างตอนมาทำค่ายเพลงผมก็ไปลองออกซิงเกิ้ลเข้าห้องอัดจริงๆ เพราะอยากเข้าใจการทำงานของศิลปินจริงๆ ทำจนรู้ว่ากว่าจะออกมาเป็นเพลงหนึ่งไม่ง่ายเลย ที่สำคัญการมาทำค่ายเพลง ต่างกับธุรกิจที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง อย่างธุรกิจเครื่องดื่มเราทำงานกับขวดที่ไม่มีชีวิต เพราะฉะนั้นเรากำหนดได้ทุกอย่างว่าจะผลิตออกมาวันไหน จะตั้งราคาหรือโปรโมตอย่างไร แต่พอเป็นศิลปินมีเรื่องความรู้สึกและอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง โจทย์ในการทำงานก็เลยต้องต่างออกไป จะทำอย่างไรให้เพลงออกมาในเวลาที่กำหนด จะโปรโมตหรือพัฒนาศิลปินอย่างไร”

​สำหรับคัมภีร์ในการบริหารจี๊บใช้แนวคิด “Professional 50, Family 50” หรือการทำงานแบบไฮบริดที่ผสานความเป็นมืออาชีพกับความรู้สึกเป็นครอบครัว ที่สามารถถกเถียงกันเรื่องงานได้ แต่พอเสร็จงานความสัมพันธ์ต้องเหมือนเดิม ยังไปกินข้าวแฮงก์เฮาต์กันได้

​“ผมค่อนข้างให้ความสำคัญกับความสุขและความเป็นอยู่ของพนักงาน เพราะฉะนั้นผมไม่ได้ดูแลแค่พนักงาน แต่พยายามเอาใจเราไปใส่ใจเขา และดูแลไปถึงครอบครัวของพนักงาน ผมอยากให้บริษัทเป็น Safe Zone ที่ทุกคนทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพโดยไม่ต้องห่วงคนข้างหลัง แต่ในขณะเดียวกันทุกคนก็ต้องรู้หน้าที่และทำให้ดีที่สุดเพื่อเติบโตไปพร้อมกับบริษัท”

​ถามว่าคร่ำหวอดอยู่ในวงการธุรกิจมาหลายปีผ่านมาแล้วหลายวิกฤติ โดยเฉพาะวิกฤติโควิดที่ทำเอาเจ็บหนักกันถ้วนหน้า ในฐานะผู้บริหารเขามีเทคนิคอย่างไรในการรับมือกับสารพัดความท้าทาย

​“คนเราเศร้าได้นะ แต่อย่าเศร้านาน อีกเรื่องคือ Mindset ผมเป็นคนที่ไม่เคยเห็นทางตัน เพราะผมเชื่อว่าคนที่เห็นทางตันคือคนที่ไม่สู้หรือพยายามไม่มากพอ อย่างช่วงโควิด-19 ธุรกิจเราได้รับผลกระทบเต็มๆ แต่ทีมเราก็สู้จนทำให้ธุรกิจในส่วนเครื่องดื่มของเรายอดขายโตขึ้นทุกตัว แต่สำหรับธุรกิจค่ายเพลงอาจจะยากหน่อยก็ไม่เป็นไร ผมก็ให้ศิลปินในค่ายตักตวงช่วงเวลาวิกฤติกลับมาทบทวนผลงานที่ผ่านมาของตัวเอง และเตรียมพร้อมสำหรับผลงานต่อไป ทำให้พอหลังจากโควิดเริ่มคลี่คลายศิลปินในค่ายเราปล่อยเพลงออกมาได้เยอะมาก”

​อย่างไรก็ตามถึงจะต้องปรับตัวไปกับโลกธุรกิจที่เรียนรู้ไม่มีวันหมด แต่ในมุมมองของจี๊บนั่นคือความสุขของการที่ได้ลงมือทำ ต่อให้จะล้มเหลวหรือผิดหวังก็ต้องไม่ท้อ

​“ผมโตมากับครอบครัวที่สนับสนุนให้ลองทำ ต่อให้รู้ว่าปลายทางอาจจะล้มเหลว ซึ่งผมว่ามันดีมากๆ เลยนำมาใช้ที่บริษัท บางครั้งลูกน้องเสนอแผนงานมา ผมอาจจะไม่ได้เห็นด้วยทั้งหมด แต่ก็ปล่อยให้ลองทำ อาจจะมีเตือนบ้างว่าปลายทางจะต้องเจออะไรให้เตรียมแผนรับมือ ซึ่งสุดท้ายแล้วอาจจะเกิดหรือไม่เกิดแบบที่ผมคาดก็ได้ ซึ่งถ้าเกิดผมมองว่านั่นเท่ากับลูกน้องได้เรียนรู้ แต่ถ้าไม่เกิดผมก็ได้เรียนรู้ว่าเขาทำได้อย่างไร”

​ในอนาคตจี๊บบอกว่าเมื่อ 7 ปีก่อน เขาเคยคิดว่าจะเกษียณตัวเองอยู่บ้านเฉยๆ เพราะมีคนติดต่อมาขอซื้อธุรกิจทั้งหมดที่ทำอยู่ แต่สุดท้ายจี๊บก็เปลี่ยนใจ เพราะรู้ดีว่าเขาไม่ใช่คนที่จะอยู่บ้านเฉยๆ โดยไม่ได้ทำอะไรได้

“เดือนก่อนผมเพิ่งบอกทีมว่าจะขอพัก ไม่ทำโปรเจกต์อะไรใหม่ ปรากฏว่าเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ผมมีอีก 4 โปรเจกต์ที่อยากทำ ซึ่งน่าจะเป็นรูปเป็นร่างปีหน้า เพราะฉะนั้นตอนนี้ผมเลิกคิดเรื่องเกษียณไปแล้ว คิดแต่ว่าตราบที่ยังมีแรงก็จะทำต่อไปเรื่อยๆ เพราะเป้าหมายที่ผมอยากเห็นคือ พนักงานที่บริษัท 1,000 กว่าชีวิต รวมไปถึงครอบครัวของพวกเขามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น”

​สุดท้ายนี้ถ้าถามว่าทำมาแล้วหลายธุรกิจผู้บริหารคนเก่งยังมีธุรกิจไหนที่อยากทำ แต่ยังไม่มีโอกาสได้ทำ จี๊บตอบว่าเขาฝันอยากทำรีสอร์ทที่เจาะกลุ่มตลาดบน มีห้องพักประมาณ 10-15 ห้องไว้บริการ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าวันหนึ่งความฝันจะเป็นจริงหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ถ้ามีโอกาสผ่านมาเมื่อไหร่ เชื่อว่าเขาจะไม่มีทางปล่อยให้หลุดมืออย่างแน่นอน