ดุสิตธานีหยั่งรากฐานในธุรกิจโรงแรมของไทยมาหลายสิบปี แม้เจอ COVID–19 ในระหว่างการปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา แต่ยังคงเดินหน้าตามแผนซึ่งปี 2568 นี้ ถือว่าเป็นปีสำคัญที่บริษัทฯ จะเริ่มรับรู้รายได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยจากการลงทุนที่ผ่านมา แม้ปีนี้จะต้องเจอความท้าทายจากเศรษฐกิจจนต้องปรับลดเป้าหมายรายได้ลงแต่ยังเชื่อว่าปีนี้จะพลิกทำกำไรหลังจากการขาดทุนในช่วงที่ผ่านมา
‘ศุภจี สุธรรมพันธุ์’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT กล่าวว่า ปี 2568 นี้ประมาณการรายได้ในภาพรวมของ DUSIT จะเติบโต 20-25% (ไม่รวม Bareshell ที่เป็นรายการครั้งเดียว) แบ่งเป็นการเติบโตจากส่วนต่างๆ ดังนี้
1. ธุรกิจโรงแรม ขยายตัว 20-25%
2. ธุรกิจการศึกษา ขยายตัว 10-12%
3. ธุรกิจอาหาร ขยายตัว 10-15%
4. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (ไม่รวม Bareshell) จะขยายตัวมากกว่า 100%
ทั้งนี้ ประมาณการรายได้นี้ปรับลดลงตามภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันและความเสี่ยงที่เกิดขึ้น เช่น การท่องเที่ยวที่ชะลอตัวคาดว่าปีนี้อาจมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ 35 ล้านคน ความฝืดเคืองของเศรษฐกิจ ฯลฯ หากมีปัจจัยที่เปลี่ยนไป อาทิ ผลการเจรจาภาษีฯ อาจมีการปรับแผนและเป้าหมายเช่นกัน
ในด้านสัดส่วนรายได้ในปี 2568 นี้จะใกล้เคียงกับปี 2567 ที่ผ่านมา ได้แก่ สัดส่วนรายได้จากโรงแรมอยู่ที่ 67%, กลุ่มอาหาร 18%, อสังหาริมทรัพย์ 7% และ การศึกษา 5% นอกจากนี้ปี 2568 มองว่า DUSIT จะพลิกกลับมาทำกำไรได้เพราะมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะมีส่วนในแผนการลดค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ยทั้งจากหุ้นกู้และสินเชื่อกับธนาคารที่มีอยู่ในปัจจุบัน

ขณะเดียวกัน DUSIT ยังปรับวิธีการหารายได้ และทำการตลาดแบบพุ่งเป้ามากขึ้นในแต่ละกลุ่มลูกค้า เช่น
1) การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ Wellness ที่คนจะใช้เวลาภายในโรงแรมนานขึ้น และมีการใช้จ่ายด้านอื่นๆ มากขึ้น เช่น อาหาร, บริการต่างๆ
2) กลุ่ม Long Stay เช่น Digital Nomad ที่สามารถทำงานได้ทุกที่ทั่วโลก ซึ่งไทยถือว่าตอบโจทย์กลุ่มนี้ได้ดี เพราะมีอินเตอร์เน็ตที่เสถียร
3) Sustainability เพราะปัจจุบันลูกค้าให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขึ้น
4) ขยายสู่กิจกรรมรอบโรงแรมมากขึ้น เช่น กิจกรรม Unseen และอื่นๆ
5) กลุ่มที่เดินทางโดยมีวัตถุประสงค์ด้านธุรกิจ ซึ่งอาจพาครอบครัวมาพักผ่อนในทริปเดียวกัน
ส่วนครึ่งปีหลัง 2568 ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายของแผนกลยุทธ์ 9 ปี มั่นใจว่ากลุ่มดุสิตธานีจะสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งจากธุรกิจโรงแรมที่สถานการณ์การเดินทางกลับเข้าสู่ภาวะปกติและมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน การขยายเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ผ่านโครงการที่พักอาศัย ได้แก่ โครงการ Dusit Residences และ Dusit Parkside ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ปัจจุบันมียอดขายอยู่ที่ประมาณ 90% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 16,000 ล้านบาท โดยมีแผนจะเริ่มทยอยโอนในช่วงปลายปี 2568 และจะมีการโอนอย่างมีนัยสำคัญในปี 2569 จะเป็นปัจจัยที่ทำให้ช่วง Unlock Value ของกลุ่มดุสิตธานีเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบด้วยการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากรายได้ที่รอการรับรู้ดังกล่าว
“หลังจากการรับรู้รายได้จากการโอนโครงการที่พักอาศัยดังกล่าว กลุ่มดุสิตธานีจะสามารถลดภาระหนี้สิน ทำให้ต้นทุนการเงินลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ธุรกิจอาหาร ซึ่งในปี 2567 ที่ผ่านมามีรายได้ 1,470 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 18.6% และธุรกิจการศึกษา ที่มีรายได้ 427 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.8% จะเป็นแรงสนับสนุนที่สำคัญในการสร้างการเติบโตนอกเหนือไปจากธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์” ศุภจี กล่าว
ปัจจุบันกลุ่มดุสิตธานีอยู่ในช่วงที่ 3 หรือช่วงเก็บเกี่ยวการเติบโต Unlock Value (2566-2568) ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนกลยุทธ์ 9 ปี (2559-2568) โดยช่วงที่ 1 คือช่วงสร้างฐาน (2559-2561) และช่วงที่ 2 ช่วงขยายการเติบโต Take Off (2562-2565)

ภาพ: DUSIT
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : เปิดแผนงาน 5 ปีของ ‘ดุสิตธานี’ หลังซีอีโอ ‘ศุภจี’ ยืนยัน ปมขัดแย้งผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่กระทบธุรกิจ
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine