ในงานเสวนา “พลิกเกมธุรกิจ ปรับกลยุทธ์ ธุรกิจบริการไทย” พร้อมงานแถลงข่าวการจัดงาน Food & Hospitality Thailand (FHT) 2025 ภายใต้ความร่วมมือระหว่างอินฟอร์มา มาร์เก็ตส์, สมาคมโรงแรมไทย, สมาคมภัตตาคารไทย และสมาคมสปาไทย เผยว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยในปี 2568 นับว่าเจอศึกหนัก ภาพรวม 6 เดือนแรกยังซบเซากว่าปี 2567 แต่ยังมีหวังสำหรับครึ่งปีหลัง
สถิติจากการเก็บข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเปิดเผยว่า นับตั้งแต่เข้าปีใหม่มาจนถึงเดือนมิถุนายน 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยือนไทยลดลงจากปี 2567 แม้จะเป็นช่วงเวลา high season ของครึ่งปีแรกก็ตาม โดยนักท่องเที่ยวจีนลดลงกว่า 37% ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนไทยมากเป็นอันดับ 1 ตลอด 6 เดือนที่ผ่านนี้คือมาเลเซีย รองลงมาจึงเป็นจีน อินเดีย รัสเซีย และเกาหลีใต้ตามลำดับ
สำหรับเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ณ สิ้นปี คาดการณ์เอาไว้ที่ 40 ล้านคน แต่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมตั้งแต่ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2568 อยู่ที่ราว 16.6 ล้านคนเท่านั้น ถือว่ายังอยู่ไกลจากเป้าหมายพอสมควร
ไทยต้องปรับกลยุทธ์ดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพ
เทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย ชี้ว่าการท่องเที่ยวไทยเมื่อต้นปี 2568 เปิดมาดี มีนักท่องเที่ยวจากนานาชาติมาดหมายเดินทางมาเยือนไทย แต่นับเป็นโชคร้ายที่มีปัจจัยลบซึ่งอยู่นอกเหนือความคาดหมายต่อเนื่อง ทั้งการที่นักแสดงชาวจีนถูกลักพาตัว เหตุการณ์แผ่นดินไหว และนโยบายภาษีของสหรัฐอเมริกาหลังโดนัลด์ ทรัมป์ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี

ภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยต้องปรับตัว ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นๆ มาไทยมากขึ้น อาทิ อเมริกา ยุโรป และตะวันออกกลาง โดยชูเรื่องของนักท่องเที่ยวคุณภาพที่พร้อมจ่ายสูง พร้อมเน้นย้ำความสำคัญของการดำเนินการเพื่อสร้างความเชื่อใจให้นักท่องเที่ยวจีน โดยเทียนประสิทธิ์เผยว่า นักท่องเที่ยวจีนกลุ่มที่หายไปนั้นส่วนใหญ่คือกลุ่มทัวร์ ในขณะที่กลุ่มชาวจีนผู้มั่งคั่งและหลายคนยังเลือกเดินทางมาไทย นับเป็นนักท่องเที่ยวคุณภาพก็ยังถือเป็นแหล่งรายได้สำคัญ
โดยมาตรการสร้างความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยในการท่องเที่ยวไทยมาตรการหนึ่งที่ทางสมาคมโรงแรมไทยกำลังเร่งดำเนินการคือสัญลักษณ์รับรองความปลอดภัยที่จะมอบแก่โรงแรมต่างๆ ที่ผ่านเกณฑ์ชี้วัด เช่น เดินทางสะดวก ตำแหน่งที่ตั้งไม่อยู่ลึกจนเกินไป มีกล้องวงจรปิดที่ใช้งานได้มากเพียงพอ เป็นต้น ทั้งนี้รัฐบาลก็ต้องมีนโยบายเพื่อช่วยเหลือด้านการยกระดับความปลอดภัยและสร้างการรับรู้ทางอื่นด้วยเช่นกัน
ธุรกิจร้านอาหาร ต้องเร่งสื่อสารและสร้างสตอรี่
ในส่วนของร้านอาหาร ฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย คาดการณ์ว่ามูลค่ารวมของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มปี 2568 จะอยู่ที่ 669,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 2567 ผ่านมา โดยธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มเป็นอีกภาคส่วนหลักในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากการที่ภาคการท่องเที่ยวหดตัวลงและผู้คนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น

ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มไทยในปีนี้ หลักๆ มาจากการที่เศรษฐกิจไทยซบเซา ต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น และค่าแรงที่สูงขึ้น โดยฐนิวรรณชี้ว่ามีการเจรจากับรัฐบาลเพื่อขอตรึงค่าแรงมา 2 ปีแล้ว แต่ล่าสุดรัฐบาลได้ตัดสินใจปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพและภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีการขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยของสหรัฐฯ ที่ 36% ซึ่งกำลังจะมีผลบังคับใช้เร็วๆ นี้ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องจับตามองและรับมือ
สำหรับร้านอาหารที่ยังอยู่ได้ มักเป็นร้านอาหารที่ผู้บริโภคมองว่ามีความคุ้มค่า ได้แก่ ร้านอาหารจานเดียว ร้านบุฟเฟต์ และร้านที่ขายทั้งออนไลน์-ออฟไลน์ โดยนายกสมาคมภัตตาคารไทยแนะนำว่า ร้านอาหารยุคนี้ควรให้ความสำคัญกับการสื่อสารและการสร้างเรื่องราวผ่านโซเชียลมีเดีย เพื่อสร้างตัวตนให้ลูกค้ารู้จัก ตลอดจนให้ศึกษาการใช้ AI เป็นผู้ช่วยคนสำคัญ พร้อมชี้ว่าการทำ Generative Engine Optimization หรือสร้างเนื้อหาให้เครื่องมือ Generative AI อาทิ ChatGPT และ Gemini เข้าถึงเพื่อนำข้อมูลไปเป็นคำตอบก็เป็นสิ่งไม่ควรละเลย เพราะนักท่องเที่ยวสมัยนี้นิยมใช้เครื่องมือเหล่านี้ช่วยวางแผนการเดินทางรวมถึงหาของกินด้วย
การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพคือโอกาสทอง
สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี นับเป็นเทรนด์การท่องเที่ยวสำคัญที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีมานี้ ซึ่ง สุนัย วชิรวราการ นายกสมาคมสปาไทย เปิดเผยว่า ไทยถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Destination) โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา ไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพกว่า 28,000 ล้านบาท เติบโตจากปี 2566 ถึง 54% และสำหรับปี 2568 ก็ยังมีช่องว่างในการเติบโตอีกมาก

สุนัย กล่าวว่า โควิด-19 คือตัวแปรสำคัญที่เปลี่ยนมุมมองของผู้คนต่อสปา เมื่อก่อนผู้คนมองหาสปาเพื่อความผ่อนคลาย แต่ตอนนี้พฤติกรรมผู้บริโภคมองหาสุขภาพที่ดี โดยเฉพาะการบำบัดความเครียด ปลอบประโลมจิตใจ และเติมเต็มการพักผ่อน
ชวนคนไทยเที่ยวไทยกระตุ้นใช้จ่ายในประเทศ
อีกหนึ่งประเด็นน่าสนใจในงานเสวนาครั้งนี้คือ ไทยไม่ควรพึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมากจนเกินไป แต่ควรให้ความสำคัญกับนักท่องเที่ยวไทยด้วย โดยสำหรับธุรกิจสปา ปัจจุบันมีอัตราส่วนลูกค้าต่างชาติอยู่ที่ 80% และชาวไทยที่ 20%
สุนัยอ้างอิง GWI Report ที่ชี้ว่า ช่วงโควิด-19 ประเทศที่มีอัตรา domestic consumption สูง จะสามารถฟื้นตัวได้เร็ว เช่น สหรัฐฯ จีน และญี่ปุ่น เขาแนะนำว่าธุรกิจต่างๆ ควรหันมาพิจารณาความต้องการของคนไทยที่แตกต่างจากชาวต่างชาติ อันจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวไทยให้ออกมาใช้จ่ายและท่องเที่ยวมากขึ้น
นอกจากนี้ เทียนประสิทธิ์ มองว่า high season ช่วงปลายปีอาจเป็นความหวังที่หลายธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวตั้งหน้าตั้งตารอ แต่การกระตุ้นให้คนไทยออกมาเที่ยวช่วง low season ก็จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับการท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน
สำหรับโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 จากรัฐบาลที่ปล่อยออกมาเพื่อกระตุ้นให้คนไทยท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น นายกสมาคมโรงแรมไทยกล่าวว่าเป็นโครงการที่ดี แต่ด้วยปัญหาการลงทะเบียนทำให้คนไทยไม่สามารถเข้าไปใช้สิทธิ์ได้เท่าที่ควร อีกทั้งกลุ่มเป้าหมายหนึ่งของโครงการนี้คือคนสูงอายุหรือคนวัยเกษียณ ทว่าแอปพลิเคชั่นที่ติดขัด มีความซับซ้อนและยุ่งยาก ทำให้คนเหล่านี้ซึ่งไม่เชี่ยวชาญเทคโนโลยีเป็นทุนเดิมอยู่แล้วไม่สามารถลงทะเบียนรับสิทธิ์ได้

ทุกธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวต้องพัฒนา
กล่าวโดยสรุปจากที่ตัวแทนทั้ง 3 สมาคมแสดงความคิดเห็นมา คือองค์กรต่างๆ ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยต้องปรับกลยุทธ์และพัฒนาตัวเอง เพื่อรับมือกับอุปสรรคต่างๆ ต่อเนื่องไปจนถึงการดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ
ในโอกาสนี้ สรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย จึงขอเชิญชวนให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจท่องเที่ยวมาร่วมงาน Food & Hospitality Thailand (FHT) 2025 ซึ่งจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “เชื่อมโยงสู่ความเป็นเลิศในอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ” (Connecting Excellence in Food & Hospitality) โดยได้ 2 งานแสดงสินค้าใหญ่ระดับเอเชียจากประเทศจีนอย่าง Hotelex Thailand และ Hotel & Shop Plus Thailand มาร่วมจัดงานในวันที่ 20-23 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ภายในงานจะมีการจัดแสดงสินค้าจากบริษัทชั้นนำกว่า 3,000 แบรนด์ จาก 20 ประเทศ ใน 8 โซน ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม (Food & Drinks), คาเฟ่และเบเกอรี่ (Cafe & Bakery), เครื่องใช้สำหรับธุรกิจบริการ (Hospitality Style), เทคโนโลยีสำหรับธุรกิจบริการ (Hospitality Technology), อุปกรณ์สำหรับธุรกิจอาหาร (Foodservice Equipment), เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (Sips & Spirits), ร้านค้าปลีก (Shop & Retail) และสุดท้ายคืออุปกรณ์และเครื่องใช้สำหรับทำความสะอาด (Cleaning Supplies & Equipment)
นอกจากนี้ยังมี 4 พาวิลเลียนนานาชาติจากจีน มาเลเซีย อิตาลี และแอฟริกาใต้ กับอีก 6 วิลเลจของกลุ่มผลิตภัณฑ์ต่างๆ อาทิ เครื่องดื่มและสุรา ช๊อกโกแลต ชา อาหารแห่งอนาคต สุขภาพ และบรรจุภัณฑ์ รวมถึงเวทีเสวนา งานประชุม เวิร์กช็อป และกิจกรรมอื่นๆ เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการให้ได้นำไปเป็นไอเดียในการปรับปรุง พัฒนา และยกระดับธุรกิจของตน โดยว่างานในปีนี้จะดึงดูดผู้ประกอบการชาวไทยและภูมิภาคเข้าร่วมงานมากกว่า 29,000 คน
ภาพ: อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย และ tawatchai07 on Freepik.com
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ลาก่อนเมืองไทย ไปเวียดนามแทน! การท่องเที่ยวไทยถึงจุดพลิกผันในวันที่นักท่องเที่ยวจีนหันเปลี่ยนจุดหมาย
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine