ซีไอโอ Global X ETFs มอง "เศรษฐกิจโลก" ชะลอตัวไม่สม่ำเสมอ แนะกระจายลงทุนเน้นกลุ่ม AI - Forbes Thailand

ซีไอโอ Global X ETFs มอง "เศรษฐกิจโลก" ชะลอตัวไม่สม่ำเสมอ แนะกระจายลงทุนเน้นกลุ่ม AI

    จอน ไมเยอร์ (Jon Maier) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน (CIO) Global X ETFs ผู้บริหารกองทุนระดับโลก มูลค่ากว่า 45,000 ล้านเหรียญสหรัฐ มองแนวโน้มเศรษฐกิจโลกครึ่งหลังปี 2566 ชะลอตัวอย่างไม่สม่ำเสมอ ปัญหาการเมืองโลก กดดันเงินเฟ้อพุ่งสูง แนะลงทุนหุ้นใหญ่ พื้นฐานดี ยึดธีมลงทุนเอไอ เทคโนโลยี หุ่นยนต์และยานยนต์ไฟฟ้า สร้างผลตอบแทนระยะยาว



    จอน ไมเยอร์ (Jon Maier) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน (CIO) Global X ETFs ผู้ให้บริการผลิตภัณฑ์กองทุนรวมดัชนีที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (ETFs) ชั้นนำระดับโลก เปิดเผยมุมมองภาพรวมการลงทุนช่วงครึ่งหลังปี 2566 ในงานสัมมนาออนไลน์ Global X ETFs: Artificial Intelligence, Robotics & Automation, and Mobility are the key investment themes for 2H2023 ว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เกิดขึ้นมีลักษณะของการชะลอตัวที่ไม่สม่ำเสมอ ซึ่งมีความแตกต่างจากวิกฤตการเงินโลกในปี 2551 ทำให้เกิดการเติบโตที่ไม่ได้สัดส่วน

    ขณะเดียวกันการหยุดชะงักในห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ซึ่งเกิดขึ้นจากสถานการณ์โรคระบาดอย่างต่อเนื่องในช่วงสองปีที่ผ่านมาได้เพิ่มแรงกดดันให้เกิดเงินเฟ้อ ประกอบกับความไม่แน่นอนของภูมิศาสตร์การเมืองโลก (Geopolitical uncertainties) ยิ่งเป็นตัวเร่งให้เกิดอัตราเงินเฟ้อ และมีความจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรง ทั้งนี้ ประเมินว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจะอยู่ในแนวบวกในระดับปานกลางในช่วงปลายปี

    “ภาพรวมของเศรษฐกิจในระดับมหภาคช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ภาวะเงินเฟ้อกำลังชะลอความรุนแรงลง แต่ยังลดลงไม่มากนัก นอกจากนั้น อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core PCE Inflation) ยังคงสูงกว่าแนวโน้มที่ธนาคารกลางของประเทศสหรัฐอเมริกาคาดการณ์ไว้ ขณะที่ตลาดแรงงานมีความตึงเครียดขึ้น เนื่องจากการปรับตัวของค่าแรงที่สูงขึ้น แต่ในภาคการผลิตยังมีการชะลอตัว”

    จอน กล่าวว่า ธนาคารกลางของประเทศสหรัฐอเมริกาได้ระงับการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายนเพื่อประเมินผลของนโยบายอย่างเข้มงวด แต่ยังคาดว่าจะมีการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีกสองครั้งเริ่มต้นในเดือนกรกฎาคม  ซึ่งข้อกำหนดใหม่และท่าทีของธนาคารกลางของประเทศสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับทิศทางของอัตราดอกเบี้ยในไตรมาสต่อๆ ไป จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในตลาดตราสารทุน (equity) และตลาดตราสารหนี้ (fixed income)  นอกจากนั้นยังคาดว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวตามลักษณะกราฟ inverted yield curve (ผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลเกิดพลิกกลับจากสถานการณ์ปกติ โดยอายุที่สั้นมีผลตอบแทนที่สูงกว่าผลตอบแทนระยะยาว) ตลอดจนความเชื่อมั่นทางธุรกิจ รวมถึงดัชนี PMI ภาคการผลิตที่ยังคงมีสัญญาณอ่อนแอ ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนของตลาด ซึ่งจากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนนี้ นักลงทุนควรใช้ความระมัดระวังและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเมื่อต้องตัดสินใจ

    “นักลงทุนอาจพิจารณาหุ้นตั้งรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพ (large-cap quality stock)  เนื่องจากสามารถป้องกันความเสี่ยงขาลงได้ (downside protection) ได้” จอนระบุ

    สำหรับการประเมินมูลค่าของดัชนี S&P 500 ในปัจจุบันว่าเป็นไปตามค่าเฉลี่ย 10 ปี โดยมีอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (price-to-earnings ratio) อยู่ที่ประมาณ 22 เท่า ซึ่งเป็นการลดลงร้อยละ 25 จากจุดสูงสุดในปี 2564

  

แนะกระจายความเสี่ยงลงทุน ยึดธีม AI 

    



    ด้าน มิเชล คูเวอร์ (Michelle Cluver)  - ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดพอร์ตการลงทุนอาวุโส จาก Global X ETFs  กล่าวว่า การจัดพอร์ตการลงทุนที่ควรเน้นถึงคุณภาพเป็นหลักและมีความหลากหลาย ความไม่แน่นอนของตลาดในปัจจุบันเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการป้องกันความเสี่ยง ซึ่งสามารถทำได้โดยการมุ่งเน้นไปที่หุ้นที่มีมูลค่าตามราคาตลาดขนาดใหญ่ (large-cap quality stock) นอกจากนี้ การจัดพอร์ตการลงทุนโดยอาศัยการจับทิศทางกระแสโลก (thematic exposure) สามารถช่วยกระจายความเสี่ยงในระยะยาวและช่วยให้เกิดความยืดหยุ่น ในกรณีที่ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอีกด้วย ซึ่งกระแสการลงทุนที่น่าสนใจมีดังนี้

    เทรนด์เอไอมาจริง และกำลังก้าวต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง แม้ว่าหุ้นที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (AI-related equities) จะปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ แต่สิ่งสำคัญกว่าคือต้องตระหนักว่าปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นธีมแบบระยะยาวที่ยังคงมีอิทธิพลสูง กลุุ่มนักวิจัยทำงานอย่างหนักในเรื่องของการผลิต AI รวมถึงการพัฒนาเจเนอเรทีฟ เอไอ (Generative AI) มาเวลาหลายปี ตัวอย่างเช่น OpenAI ซึ่งได้กลายมาเป็นผู้เล่นหลักในด้านนี้ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา

    แม้ว่าบริษัทใหญ่ ๆ ในสหรัฐอเมริกาจะครองตลาด AI ในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็ยังเล็งเห็นโอกาสอีกมากมายในการพัฒนาระบบนิเวศ AI ในระดับที่ใหญ่ขึ้น ระบบนิเวศนี้ครอบคลุมถึงบริษัทต่างๆ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ (semiconductors)  ระบบ cloud computing และระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์ (cybersecurity) และอื่นๆ ซึ่งต่างได้รับประโยชน์จากการพัฒนา AI จากการคาดการณ์ พบว่า ตลาด AI ทั่วโลกจะมีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ที่ร้อยละ 35.6 จากยอดขายเกือบ 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2569 ซึ่งคิดเป็น 10 เท่าของขนาดในปี 2563

    ธุรกิจเกี่ยวกับการพัฒนาหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ระบบอัตโนมัติมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประสิทธิภาพ การเติบโต และการเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิต ช่วยให้บริษัทต่างๆ บรรลุระดับการผลิตที่สูงขึ้นผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์

    ในขณะที่แรงงาน (ทั้งการทำงานบนภาคพื้น และนอกชายฝั่ง) ยังคงมีราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป ต้นทุนด้านหุ่นยนต์กลับลดลง จากการพัฒนาเทคโนโลยี ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ จึงช่วยผลักดันให้เกิดการนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตมากขึ้น

    เทรนด์ยานยนต์ไฟฟ้า การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเป็นแนวทางหลักในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วทั้งภาคการขนส่ง คาดว่ายอดขายยานยนต์ไฟฟ้าจะคิดเป็นร้อยละ 36 ของยอดขายรถยนต์ทั่วโลกในปี 2573 และร้อยละ 55 ในปี 2578 ในขณะที่โลกขยับเข้าใกล้การดำเนินธุรกิจที่มีเป้าหมายการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net-zero economy) ในช่วงกลางศตวรรษนี้ ยานยนต์ไฟฟ้าจะสามารถทำยอดขายได้มากกว่าร้อยละ 75

    นอกจากนั้น ยังมีการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าที่แพร่หลายมากขึ้น โดยเน้นที่ยานยนต์ไฟฟ้าล้วนมากกว่าระบบไฮบริด โดยมีสัดส่วนของการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าแบบล้วน (Pure EVs) จากร้อยละ 62 ในปี 2559 เป็นร้อยละ 71  ในปี 2564 ดังนั้น ตลาดยานยนต์ไร้คนขับ (AV) จะเติบโตอย่างรวดเร็วด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี มีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2573 ขนาดตลาดโลกสำหรับยานยนต์ไร้คนขับ (AV)  อาจสูงถึงประมาณ 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

    เมื่อเทคโนโลยีเหล่านี้ได้รับการนำไปใช้อย่างกว้างขวาง นอกเหนือจากผู้ผลิตรถยนต์แล้ว กลุ่มธุรกิจหลักอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องก็จะพลอยได้รับประโยชน์ไปด้วย ซึ่งรวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับส่วนประกอบของรถยนต์ไฟฟ้า เช่น ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า แบตเตอรี่  เซลล์ไฟฟ้า (Fuel cell) สารเคมี และชิ้นส่วนอื่นๆ รวมถึงบริษัทที่สนับสนุนเทคโนโลยี AV เช่น ระบบเซ็นเซอร์, เทคโนโลยีการทำแผนที่  ระบบ AI และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง นอกจากนี้แพลตฟอร์มบริการเรียกรถและบริการที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายสำหรับการขนส่งจะได้รับผลเชิงบวกจากการเติบโตของตลาด AV

    

    อ่านเพิ่มเติม : "KTBG" ขยายฐานทัพไอที บุกเวียดนาม ตั้งเป้าเสริมทีมขยายบริการดิจิทัล ก้าวเป็นบริษัทเทคโนโลยีระดับภูมิภาค

    ​ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine