ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ชู 3 องค์กรชั้นนำ ได้แก่ กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ (SCBX) เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (OCS) ในฐานะ 'Frontier Firms' ของไทย ผู้นำเอานวัตกรรมระบบ AI มาใช้ทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างลงตัว พร้อมเผยข้อมูลรายงานวิจัย Work Trend Index ประจำปี 2025 และไขรหัส 3 ข้อในการนำระบบ AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้แก่องค์กร
จากข้อมูลเพิ่มเติมรายงาน Work Trend Index ของไมโครซอฟท์ ชี้ว่า 88% ของพนักงานไทยไม่มีแรงและเวลาเพียงพอที่จะรับมือกับงานในมือ โดยสถิติการใช้งานเครื่องมือและบริการต่างๆ บนแพลตฟอร์ม Microsoft 365 ระบุว่า คนทำงานทั่วโลกจะได้รับข้อความแจ้งเตือนเรื่องต่างๆ ในทุกๆ 2 นาทีโดยเฉลี่ย หรือคิดเป็นข้อความการแจ้งเตือนสูงถึง 275 ครั้งในแต่ละวัน ซึ่งการแจ้งเตือนดังกล่าว อาจมาจากทั้งอีเมล ข้อความแชท หรือตารางนัดประชุม
นอกจากนี้ ราวครึ่งหนึ่งหรือ 50% ของการประชุมในแต่ละวัน มักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลา 09.00-11.00 น. และ 13.00-15.00 น. ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่พนักงานมีประสิทธิภาพที่สุดในการทำงานแต่ละวัน ดังนั้นหากเราสามารถนำระบบ AI มาช่วยบริหารจัดการต่างๆ ได้ ก็จะช่วยเติมเต็มการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย กล่าวว่า “ผู้บริหารส่วนใหญ่ต้องการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่คนทำงานมีแรงและเวลาที่จำกัด ดังนั้นการนำระบบ AI หรือ Agentic AI ที่สามารถทำงานได้แบบอัตโนมัติมาใช้ ถือเป็นทรัพยากรที่มีค่ามหาศาล พร้อมให้องค์กรนำไปปรับใช้ในรูปแบบที่เหมาะสม การสร้างทีมแบบไฮบริดที่มีพนักงานเป็นผู้บริหาร AI จึงเป็นคำตอบที่องค์กรจำนวนมากเลือก นับตั้งแต่ระยะสั้นที่องค์กรในไทยราว 68% ได้นำ AI เข้ามาเปลี่ยนระบบงานบางส่วนให้กลายเป็นระบบอัตโนมัติแล้ว ไปจนถึงระยะยาว ที่เราอาจได้เห็นโครงสร้าง องค์กร และเส้นทางในอาชีพการงานเปลี่ยนแปลงไปเมื่อ 83% ของผู้บริหารมองว่าพนักงานรุ่นใหม่จะมีโอกาสได้ทำงานเชิงกลยุทธ์และการวางแผนเร็วขึ้นหากมี AI เข้ามาแบ่งเบาภาระได้”

ทั้งนี้ ทีมวิจัยของไมโครซอฟท์ ยังได้ไขรหัส 3 ข้อ เพื่อแนะแนวทางองค์กรที่ต้องการปรับทิศทางเพื่อมุ่งสู่สถานะ Frontier Firm ไว้ดังนี้
1. ใช้กฎ 80/20 แบ่งงานให้ AI: จากกฎที่ว่า 80% ของผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น มาจากตัวแปรหรือเนื้องานเพียง 20% องค์กรในกลุ่ม Frontier Firm จึงอาจยกเนื้องานอีก 80% ที่สร้างผลลัพธ์ได้เพียง20% นี้ไปให้ AI และระบบอัตโนมัติต่างๆ รับมือแทน
2. ปรับมุมมองสู่ผังเนื้องาน: เมื่อ AI สามารถทำงานได้โดยไม่จำกัดความรู้ความสามารถอยู่ในแผนกหรือด้านใดด้านหนึ่ง เส้นทางการติดต่อประสานงานต่างๆ จึงอาจเปลี่ยนไปในรูปแบบที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดรอยต่อระหว่างแผนกลง เสริมความคล่องตัวให้องค์กรอีกระดับ
3. บริหาร AI ให้เหมือนบริหารพนักงาน: AI ที่สามารถทำงานได้โดยอัตโนมัติ สามารถเรียนรู้ ยกระดับความสามารถ เสนอความคิดเห็น และเข้ารับการประเมินผลงานได้เช่นเดียวกับพนักงานที่เป็นมนุษย์ โดยอาจเริ่มจากการปรับคำสั่งพื้นฐาน เพิ่มชุดข้อมูลที่ AI สามารถเข้าถึงได้ หรือแม้แต่การแลกเปลี่ยนความเห็นกับ AI โดยตรง ซึ่งจะเป็นรูปแบบการทำงานในอนาคตที่มนุษย์และ AI Agent ทำงานร่วมกันเป็นทีม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ชู 3 องค์กรไทยระดับ 'Frontier Firm' กับการผนึก AI เข้าสู่หัวใจองค์กร
SCBX ได้สานต่อเป้าหมายขององค์กรในการก้าวสู่ความเป็น AI-first organization ด้วยการสนับสนุนให้พนักงานในทุกแผนก ทุกสายงาน ได้มีโอกาสนำ AI มาประยุกต์ใช้ในรูปแบบที่ตอบโจทย์ของตนเอง ยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน และเปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ไปพร้อมกัน

ลลินทิพย์ เยี่ยมพลพัฒน์ Head of Financial Planning and Data Intelligence บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) เผยว่า “เราส่งเสริมการใช้ AI ให้พนักงานมีเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ในขณะเดียวกันยังสนับสนุนให้เกิดการต่อยอดและขยายขีดความสามารถของฟังก์ชันงานที่เรามีอยู่เดิม ให้มีประสิทธิภาพ ละเอียด และครอบคลุมมากยิ่งขึ้นด้วย AI ซึ่งออกแบบและพัฒนาโดยบุคลากรภายในองค์กรของเราเอง แสดงให้เห็นว่า พนักงานทุกคนและทุกฝ่ายสามารถมีส่วนพัฒนาการใช้ AI ในองค์กรโดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไอที ตัวอย่างเช่น ระบบวิเคราะห์และปรับปรุงวิธีการสื่อสารกับลูกค้าของพนักงานสาขาในกลุ่มธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถ เพื่อยกระดับมาตรฐานการบริการและความถูกต้องของข้อมูล”
ด้าน SCGC ผู้นำนวัตกรรมพอลิเมอร์และโซลูชันครบวงจรเพื่อความยั่งยืน ได้ส่งเสริมให้พนักงานนำ AI มาใช้ในการทำงานทุกวัน เป็น AI Everyday เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความแม่นยำ และความคล่องตัวในกระบวนการทำงานทั่วทั้งองค์กร ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมและเทคโนโลยี สร้างการเติบโตขององค์กรอย่างยั่งยืน

สัญญา จินดาประเสริฐ Enterprise Digital Director บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC กล่าวเพิ่มเติมว่า “SCGC เลือกใช้เทคโนโลยี Azure OpenAI Service, Power Platform และ AI Hub เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนา AI ในองค์กร โดยเฉพาะกับการประมวลผลข้อมูลด้าน Market Intelligence และได้ต่อยอดนำ Microsoft Azure OpenAI Service มาพัฒนาโครงการ 'AILY' เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และการใช้งาน AI ในองค์กรอย่างทั่วถึง ช่วยลดภาระงานและเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน โดยพนักงานทุกคนสามารถใช้งาน AI กับข้อมูลภายในได้อย่างปลอดภัย นับเป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานทั่วทั้งองค์กรอย่างมีนัยสำคัญ และนำไปสู่การตัดสินใจทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”
ขณะที่ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้พัฒนาโปรเจกต์ AI ภายใต้ชื่อ 'TH2OECD' สานต่อภารกิจของประเทศไทยในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ควบคู่ไปกับการยกระดับระบบบริหารจัดการเอกสารทางกฎหมายต่างๆ ให้อยู่ในรูปแบบข้อมูลที่สามารถสืบค้น อ้างอิง และใช้งานต่อได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำยิ่งขึ้น

ดร.ณรัณ โพธิ์พัฒนชัย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ผลกระทบและประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย กองพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เผยว่า “AI มีส่วนช่วยให้เราก้าวข้ามความท้าทายในด้านข้อมูลในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาษากฎหมายที่ซับซ้อน การเปรียบเทียบและตีความกฎหมายระหว่างภาษาไทยและภาษาอังกฤษให้อยู่ในมาตรฐานและความเข้าใจที่ถูกต้องและตรงกัน เปิดโอกาสให้เราวิเคราะห์ความสอดคล้องระหว่างกฎหมาย นโยบาย และแนวปฏิบัติของประเทศไทยให้กับตราสารทางกฎหมาย คำแนะนำ และมาตรฐานที่ OECD กำหนดไว้ และในขณะเดียวกัน AI ยังช่วยให้นักกฎหมายของเราทำงานได้เร็วขึ้นในการค้นหาข้อมูลกฎหมายจากฐานข้อมูล การสรุปและกำหนดแนวทางการทำงาน รวมทั้งการพัฒนานโยบายและหลักกฎหมายให้เข้ากับบริบทปัจจุบันของสังคม”

ภาพ : ไมโครซอฟท์
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ลืม Tesla ไปได้เลย! เมื่อ Robotaxi ‘รถแท็กซี่ไร้คนขับ’ แบรนด์ Zoox จาก Amazon กำลังจะกลายเป็นคู่แข่งตัวฉกาจ สู้กับ Waymo!
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine