เอกภพ เมฆกัลจาย นำทัพ LGT บริหารเวลธ์ยั่งยืนส่งต่อความมั่งคั่ง - Forbes Thailand

เอกภพ เมฆกัลจาย นำทัพ LGT บริหารเวลธ์ยั่งยืนส่งต่อความมั่งคั่ง

​ราวเดือนมกราคม ปี 2564 Forbes Thailand ได้นำเสนอบทสัมภาษณ์แม่ทัพคนไทยของบริษัท หลักทรัพย์ แอลจีที (ประเทศไทย) หรือ LGT ธุรกิจ Private Banking ของราชวงศ์ “Liechtenstein” โดยครั้งนั้น LGT เพิ่งเปิดให้บริการในไทยเพียง 2 ปี ยังค่อนข้างใหม่ในตลาด แต่ผ่านมาอีก 3 ปี LGT เป็นที่รู้จักของนักลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มองหาโอกาสการลงทุนในต่างประเทศ


    ด้วยประสบการณ์และบริการของบริษัทหลักทรัพย์แห่งนี้ที่มีความเชี่ยวชาญและให้บริการการลงทุนในต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าในรอบปีที่ผ่านมาผลตอบแทนการลงทุนในประเทศกับต่างประเทศแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยติดลบเกือบ 16% ขณะที่หุ้นสหรัฐฯ ผลตอบแทนสูง 20-40% แยกตามกลุ่มธุรกิจ 


โฟกัสลงทุนต่างประเทศ 

    “เงินฝากสกุล USD ได้ผลตอบแทน 5% แต่ไทยเงินฝากได้ต่ำกว่า 2% ตราสารหนี้ใกล้กัน แต่ที่ต่างมากคือ หุ้นไทยปีที่แล้วตลาดติดลบไปมากกว่า 15% ส่วนหุ้นอเมริกาบวก 20-40%” เอกภพ เมฆกัลจาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ บริษัท หลักทรัพย์ แอลจีที (ประเทศไทย) กล่าวตอนหนึ่งของการพูดคุยกับทีมงาน Forbes Thailand ครั้งล่าสุดเมื่อกลางเดือนมกราคม ปี 2567 ซึ่งเขาเผยว่า ตลอด 3-4 ปีที่ผานมาการลงทุนเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างรวดเร็ว มีที่มาจากหลายปัจจัย 

    ปัจจัยสำคัญหนึ่งมาจากความหลากหลายของธุรกิจในไทยยังไม่มากพอ “หุ้นต่างประเทศมี area เติบโตกว้างกว่า แต่ไทยยังกระจุกตัวในอุตสาหกรรมเดิม และอยู่ในกลุ่ม old economy” เขาอธิบายและว่า หุ้นที่เติบโตสูงของอเมริกาส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งของไทยแทบไม่มี “บ้านเราไม่มีหุ้นกลุ่มเทค มีแต่อุปกรณ์เทค และฮาร์ดแวร์” นอกจากนั้นก็เป็นธุรกิจเดิมๆ ที่เติบโตตามปกติไม่หวือหวา และยังมีปัจจัยทางเศรษฐกิจและอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องทำให้ตลาดหุ้นไทยติดลบในตัวเลขที่ค่อนข้างสูง โอกาสที่จะทำให้การลงทุนมีกำไรจึงเป็นไปได้ยาก แต่เนื่องจาก LGT ให้บริการการลงทุนในต่างประเทศเป็นหลักจึงมีการเติบโตที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง

    “เปิดบริษัทในไทยปีนี้ 5 ปี เติบโตมาเรื่อยๆ เราเป็น international bank ที่ให้บริการ private banking เป็นหลัก ทำงานใกล้ชิด ก.ล.ต. และแบงก์ชาติมาโดยตลอด” เอกภพย้ำและว่า 5 ปีที่ผ่านมาทั้งสองหน่วยงานหลักได้มีการผ่อนคลายกฎระเบียบในการเปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยไปต่างประเทศได้สะดวกขึ้น เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ตลาดเติบโต เพราะผลตอบแทนการลงทุนในไทยค่อนข้างต่ำ เมื่อนักลงทุนได้ออกไปลงทุนต่างประเทศ ได้เห็นผลตอบแทนที่พอใจทำให้บริการการลงทุนต่างประเทศขยายตัวเพิ่มขึ้น 

    บริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าทำให้ไทยเป็นอีกสำนักงานของ LGT ที่เติบโตเร็วที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย-แปซิฟิก โดยเติบโตทั้งขนาดพอร์ตการลงทุนและมูลค่าการลงทุน ในปี 2567 ก็เช่นกัน เอกภพย้ำว่า เป็นอีกปีที่ยังมีโอกาสทำกำไรแต่ต้องเลือกลงทุนที่เหมาะสม โดยพิจารณาใน 2-3 อย่างคือ ต้องดู life cycle ของลูกค้าที่ประสบความสำเร็จจากการสร้างเวลธ์ ทั้งที่มาจากการทำธุรกิจหรือจากมรดก อาจมีทั้งที่ดิน และทรัพย์สินอื่นๆ เป็นเวลธ์ที่สะสมเรื่อยมา   


เน้นกระจายความเสี่ยง 

    บริการด้านการลงทุนสิ่งแรกที่ต้องทำคือ ต้องคุยกับลูกค้าให้ชัดเจนว่าการรักษาทรัพย์สิน keeping money keeping asset เป็นสิ่งที่ดีที่สุดใช้ได้เสมอ แต่ก็ต้องลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง ซึ่งทุกวันนี้ทำได้ง่ายขึ้นด้วยการลงทุนที่หลากหลาย เช่น ลงทุนในตราสารหนี้ ลงทุนเงินฝาก ซึ่งต่างประเทศยังเห็นตัวเลข 5-6% “ครึ่งปีแรกแนะนำ overweight ตราสารหนี้ โดยตราสารหนี้ของเอกชนยัง overweight ได้ และดีที่สุดคือต้องโฟกัส investment grade bonds” เนื่องจากมีปัจจัยหลายอย่างเปลี่ยนไปต้องลงทุนอย่างระมัดระวัง 

    “ในอดีตเมื่อปี 2551 ตอนนั้นดอกเบี้ยต่ำเตี้ยติดดิน เพิ่งมาเร็วๆ นี้ดอกเบี้ยขึ้น ก็หันมาดูตราสารหนี้ อันที่ 2 คือ หุ้นวางเป็นระยะยาว ในครึ่งหลังของปีอาจมีโอกาส valuation อีกรอบ” เอกภพเผยก่อนจะแนะนำการลงทุนในกลุ่มที่ 3 ซึ่งหมายถึงการลงทุนทางเลือกหรือ alternative investment “การลงทุนทางเลือกทุกวันนี้จริงๆ ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไปเพราะมีหลายฟันด์ที่ลงทุนกลุ่มนี้ในสัดส่วน 20-30% กลายเป็น one of the core portion ไปแล้ว” เขาย้ำและบอกว่า กลุ่มนี้ควรเน้นการลงทุนที่เติบโตยาวนาน มีตัวเลือกหลักๆ คือ กองทุนที่เน้นการลงทุนเติบโตยาวนาน แต่อาจไม่มีสภาพคล่องในระยะสั้น หรืออีกกลุ่มคือ กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ผันผวนตรงข้ามตลาด เป็นการกระจายความเสี่ยง หรืออาจเป็นฮาร์ดแอสเสทอย่างอสังหาริมทรัพย์เข้ามาเสริมได้ “ปัจจุบันเราได้ย้าย product offering, product education ช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดี ส่งต่อให้คนรุ่นต่อไป เนื่องจากไม่ต้องการสภาพคล่องระยะสั้น” หรือแม้กระทั่งการถือครองหุ้นในบริษัทที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์โดยถือรอกิจการโตเข้ามาเสริมพอร์ตได้ช่วยกระจายความเสี่ยงด้วย 

    นอกจากนี้ ยังลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้น เนื่องจากดอกเบี้ยจูงใจทำให้ลูกค้าเห็นประโยชน์ “Alternative asset ไม่ใช่ทางเลือกแต่จำเป็นเพื่อใช้กระจายความเสี่ยง โดยเน้นลดหุ้น เพิ่มตราสารหนี้ กระจายความเสี่ยง ระยะยาวโตอย่างมีคุณภาพ” เอกภพยังเน้นด้วยว่า กลุ่มธุรกิจที่น่าจะเติบโตไปได้ด้วยดีมี 2 กลุ่มหลักคือ ด้านเฮลธ์แคร์และเทคโนโลยี ซึ่งบางคนอาจมองว่าไกลตัว แต่ที่จริงแล้วหุ้นอเมริกาในกลุ่มเทคโนโลยีใกล้ตัวคนไทยมากกว่าที่คิด เช่น หุ้น Apple, Microsoft เป็นอะไรที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน เติบโตต่อเนื่องและผลตอบแทนดีไม่ต่ำกว่า 10-15% ตลอด 

    แม่ทัพ LGT ประเทศไทยย้ำว่า ธุรกิจด้านสุขภาพเป็นสิ่งที่คนทั่วโลกให้ความสำคัญ “Aging population และ innovative healthcare ยังคงไปได้ดี เช่น นวัตกรรมยาเบาหวาน โรคอ้วน รักษาโรคมะเร็ง และโรคติดต่อต่างๆ” ตัวแปลด้านสุขภาพเป็นปัจจัยสำคัญทำให้กลุ่มเฮลธ์แคร์เติบโต น่าสนใจและให้ผลตอบแทนที่ดีทั้งในปัจจุบันและอนาคต 

    “ทิศทางการลงทุนเปลี่ยน sentiment เปลี่ยน เมื่อนโยบายดอกเบี้ยปรับขึ้นความเชื่อมั่นปรับขึ้นมา ตราสารหนี้ได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ย แต่ระยะยาวผลประกอบการดี ปีที่แล้วหุ้นอเมริกา rebound กลับมาเร็ว” จากสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ความเชื่อมั่นกลับมาได้ ในมุมมองของเอกภพ เขาเชื่อว่าในระยะยาวตลาดหุ้นอเมริกาจะเติบโตเร็วที่สุด เป็นบริษัทที่จดทะเบียนแล้วสามารถประกอบกิจการได้ทั่วโลก 

    บางคนบอกตลาดหุ้นอเมริกาไกลตัว เขาชี้ว่า หลายบริษัทในอเมริกาใกล้ตัวกว่าที่คิด เช่น Apple, Microsoft และอีกหลายตัวล้วนมีผลตอบแทนที่ดี เติบโตในระยะยาว “ถ้าถามผมชอบที่ไหนผมเลือกอเมริกาอันดับ 1 เป็นปีที่เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญรองลงมาคือ ญี่ปุ่น เศรษฐกิจปรับมาดี ผลตอบแทนดีขึ้น เริ่มมีภาวะเงินเฟ้อหลังจากเงินฝืดมาตลอด 20 ปี” นอกจาก 2 ประเทศใหญ่นี้แล้วเอกภพให้ความสนใจพิเศษมาที่อินเดีย เนื่องจากประชากรเยอะ และยังเติบโตต่อเนื่อง อีกทั้งอินเดียไม่เคยพัฒนาอินฟราสตรัคเจอร์หลักๆ ยังมีโอกาสพัฒนาอีกมาก แต่ตลาดอินเดียหากเป็นการลงทุนในหุ้นรายตัวค่อนข้างลำบาก ควรเน้นไปที่กองทุนรวมเป็นหลัก แต่หากสนใจลงหุ้นควรมุ่งไปที่อเมริกา ยุโรป หรือญี่ปุ่น 

    นอกจากการมองโอกาสความเหมาะสมแล้ว discipline ก็เป็นสิ่งสำคัญอันดับ 1 คือ การสร้างความมั่งคั่งต้องมี discipline ที่ดีคือ นอกจากหาเงินได้มากและเร็วยังไม่พอ แต่ต้องคิดให้เงินทำงานให้ตลอดเวลา ลงทุนและให้เวลาในการทำกำไร การลงทุนไม่ควรมองการเติบโตที่รวดเร็วแบบฉาบฉวย “ปี 2564 นักลงทุนเห็นหุ้นขึ้นเร็วก็มีความคาดหวังสูง ซึ่งไม่ใช่ realistic อันนี้อันตราย ต้องดูที่การเติบโตจริงมองเห็นภาพจริง และต้องเลือกให้เหมาะกับสไตล์การลงทุน” 

    เอกภพย้ำว่า ในเรื่องของการลงทุนแล้วไม่มีใครที่เก่งทุกเรื่อง ด้วยเหตุนี้ LGT จึงมีทีมงานช่วยวิเคราะห์ เพราะเชื่อว่าไม่มีใครที่จะเป็นผู้รอบรู้ไปทุกเซกเตอร์ ทีมที่ปรึกษาจึงสำคัญ “อะไรที่ดีเกินจริงมันก็มักจะดีเกินจริง อดีตผันผวนฟังดูดีเกินจริง ถ้าไม่เข้าใจอย่าลงทุน เช่น digital asset เราไม่ทำ” เขายกตัวอย่างมุมมองในการลงทุนแอสเสทใหม่ๆ ที่เฟื่องฟูมากในยุคหนึ่งแต่ก็ผันผวนไปอย่างรวดเร็ว สิ่งเหล่านี้ LGT ไม่แนะนำให้ลูกค้าลงทุน เพราะภาพที่ดีเกินไปนั้นสะท้อนความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน 

    “ในอีก 3-5 ปีคนไทยจะให้น้ำหนักเรื่องการกระจายความเสี่ยงลงทุนต่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะโอกาสชัดเจนโตกว่าเมืองไทย แต่ต้องทำความเข้าใจมากขึ้น” เป็นสิ่งที่ครอบครัวรุ่นเก่าต้องเปิดโอกาสให้ทายาทรุ่นใหม่ๆ เข้ามาดูในส่วนนี้เพื่อให้การส่งต่อความมั่งคั่งเป็นไปได้อย่างราบรื่น เป็นการจัดทัพบ้านตัวเองเพื่อส่งต่อเจเนอเรชั่นต่อไป ซึ่งประเทศไทยยังทำได้น้อยควรเริ่มทำให้เข้มข้นมากกว่านี้ “Culture คนไทยไม่อยากคุยเรื่องความเป็นความตาย แต่ควรต้องเริ่มทำเพื่อให้การส่งต่อ wealth ไม่สะดุด” แม่ทัพ LGT ย้ำ

    สิ่งสำคัญอีกประการคือ ควรเปิดโอกาสให้ทายาทของครอบครัวรุ่นใหม่ๆ เข้ามาช่วยดูเรื่องการลงทุน เพราะในอนาคตเวลธ์เหล่านี้จะถูกส่งต่อให้คนรุ่นต่อไป พวกเขาจึงควรมีส่วนร่วมตั้งแต่เนิ่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรุ่นใหม่เหล่านี้มีข้อมูล มีการศึกษา พวกเขาจะได้นำความรู้มาแลกเปลี่ยนและทำให้การส่งมอบคุณค่าหลักของครอบครัวเป็นไปอย่างราบรื่น พวกเขาควรรับรู้ว่าเงินเหล่านี้หามาได้อย่างไร ทำให้เพิ่มได้อย่างไร และเงินก้อนนี้มีไว้เพื่ออะไร ทำให้ทายาทรุ่นต่อไปค่อยๆ ซึมซับและเรียนรู้เรื่องเวลธ์ของครอบครัว “พอเราเข้ายุค aging society มันจะมีเรื่อง wealth transfer ค่อนข้างมาก ในไทยอีก 5 ปีจะมี  mega wealth transfer ไม่ต่างจากอเมริกาและยุโรป ซึ่งเห็นการส่งต่อความมั่งคั่งจากรุ่นต่อรุ่นชัดเจน จุดเริ่มของความเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นแล้วและกำลังเดินทางสู่การปรับตัวครั้งสำคัญ 




เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : สุทธิเดช ถกลศรี NEO ฉีกกรอบปันบิ๊กคอนซูเมอร์

​​คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมีนาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine