เบื้องหลังการร่วมขับเคลื่อนความสำเร็จการปลุกปั้นแบรนด์ Grab ขึ้นแท่นอันดับ 1 ด้วยประสบการณ์ทางการตลาดและอี-คอมเมิร์ซธุรกิจ FMCG ระดับโลก สร้างความเชื่อมั่นให้รับภารกิจนำทัพซูเปอร์แอปตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน พร้อมเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจเติมเต็มทุกมิติในอีโคซิสเต็ม
ระยะเวลากว่า 12 ปีที่ซูเปอร์แอปแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออก-เฉียงใต้ ซึ่งทำการให้บริการด้านเดลิเวอรี่ การเดินทาง และบริการทางการเงินดิจิทัลครอบคลุมกว่า 700 เมือง เลือกปักหมุดประเทศไทยเป็น 1 ใน 8 ประเทศที่มีโอกาสสร้างการเติบโตทางธุรกิจ ได้แก่ กัมพูชา อินโดนีเซีย มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม ด้วยความมุ่งมั่นอำนวยความสะดวกให้คนไทยเข้าถึงบริการครอบคลุมการใช้ชีวิตประจำวันได้ในแอปพลิเคชันเดียว ไม่ว่าจะเป็นการสั่งอาหาร การสั่งซื้อสินค้า การจัดส่งพัสดุเอกสาร การเรียกรถรับ-ส่งหรือแท็กซี่ การทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ การขอสินเชื่อการทำประกัน เป็นต้น
ขณะเดียวกันยังมีส่วนสำคัญในการร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคม ซึ่งสะท้อนผ่านผลการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ TDRI ให้ข้อมูลตัวเลขมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในวงจรที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสูงถึง 1.79 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในปี 2566 พร้อมความมุ่งมั่นเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยและผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
“ปีนี้ Grab ครบ 12 ปีในประเทศไทย เราอยู่กับ Grab ประมาณ 7 ปี ซึ่งเริ่มตั้งแต่ Country Marketing Head ดูแลการตลาดและพันธมิตรธุรกิจ เพราะการทำการตลาดเป็นการนำ consumer insight ทำให้ consumer ชอบและใช้เรา ซึ่งเป็นการบวก 3 โจทย์ ได้แก่ Grab ต้องการอะไร พาร์ตเนอร์ต้องการอะไร และชนะใจ consumer อย่างไร โดยขยายไปยัง commercial ด้วย อย่างร้านอาหารต้องการยอดขาย ลูกค้าต้องการอาหารแบบไหนก็บวกเข้ามาให้ win-win ทุกฝ่าย รวมถึง GrabAds ซึ่งเป็น B2B Grab business เราก็ตั้งโจทย์ว่า Grab มีอะไร media agency ลูกค้าต้องการอะไร สุดท้าย Grab Finance เช่น สินเชื่อคนขับ สินเชื่อร้านค้าต้องการอะไร เราตอบโจทย์ให้ ecosystem ซึ่งเราคิดว่าเราดูมาเกือบทั้งหมดของบริษัทและความสามารถของทีมงานช่วย support เราต้องมีคนที่เก่งแบบไปด้วยกันไปได้ไกล”

จันต์สุดา ธนานิตยะอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ Grab ประเทศไทย กล่าวถึงเส้นทางการทำงานที่ผ่านมาหลังสำเร็จการศึกษาปริญญาตรี คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโท การจัดการมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหิดล รวมถึงปริญญาโท สาขาการบริหารธุรกิจ (MBA) University of Technology Sydney ประเทศออสเตรเลีย โดยสั่งสมประสบการณ์ด้านการตลาดและอี-คอมเมิร์ซจากบริษัท ยูนิลีเวอร์ (Unilever) ด้วยตำแหน่งสำคัญ เช่น หัวหน้าฝ่ายอี-คอมเมิร์ซ ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย หัวหน้าฝ่ายการตลาด ยูนิลีเวอร์ ประเทศลาว และผู้จัดการแบรนด์ กลุ่มธุรกิจไอศกรีม
หลังจากนั้นจันต์สุดาเริ่มงานกับ Grab ในปี 2561 โดยเริ่มจากตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของ Grab ประเทศไทย ซึ่งดูแลรับผิดชอบงานด้านการตลาดและการสื่อสารแบรนด์เชิงกลยุทธ์ พร้อมทั้งเป็นหนึ่งในผู้ปลุกปั้นแบรนด์ GrabFood จนสามารถคว้ารางวัล No. 1 Brand Thailand ติดต่อกัน 5 ปีซ้อน รวมถึงได้รับความไว้วางใจให้ดูแลธุรกิจด้านอื่นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการบริหารงานด้านพันธมิตรทางธุรกิจในปี 2564 การรุกตลาดเพื่อขยายบริการ GrabMart ในปี 2565 การดูแลสายงานพาณิชย์ในปี 2566 เพื่อผลักดันและสร้างการเติบโตทางธุรกิจทั้งกับกลุ่มผู้บริโภค (B2C) และลูกค้าองค์กร (B2B) ตลอดจนรับผิดชอบบริการทางการเงินในปี 2567
“ช่วงที่เรียนคณะอักษรศาสตร์ได้เรียนเกี่ยวกับจิตวิทยาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เราเข้าใจผู้บริโภค โดยหลังเรียนจบปริญญาตรี เราสนใจด้านการใช้ความคิดทางธุรกิจหรือโฆษณาจึงต่อ MBA และทำงานการตลาดมาตลอดตั้งแต่ที่ Colgate-Palmolive และ Unilever 11 ปี จนถึง Grab เพราะชอบงานด้านดิจิทัล ตั้งแต่ดูแลแผนกไอศกรีมทั้ง LINE Official Account, YouTube, Facebook เพจแบรนด์ Cornetto และประสบการณ์อี-คอมเมิร์ซ 2 ปี บวกกับพื้นฐานการตลาดที่ FMCG ทำให้สามารถย้ายมาอยู่แพลตฟอร์ม Grab ได้ไม่ยาก ซึ่งขณะนั้นยังเป็น GrabTaxi เน้น precision marketing มากกว่าปัจจุบันที่มีการสื่อสารการตลาดและแบรนด์ดิ้งชัดเจน โดยเราสามารถใช้ข้อมูล consumer insight เข้าใจผู้บริโภคว่าต้องเดินทาง รับประทาน สั่งของ ส่งของ หรือดูว่าผู้บริโภคใช้ชีวิตประจำวันอะไรบ้าง เราก็ออกบริการเหล่านั้น”
ชูกลยุทธ์ย้ำภาพแบรนด์ยอดนิยม
แม้ปัจจุบัน Grab ประเทศไทย จะสามารถครองความเป็นแบรนด์ยอดนิยมที่ได้รับความเชื่อมั่นทั้งบริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชันและเดลิเวอรี่ แต่จันต์สุดายังมุ่งมั่นในภารกิจการขับเคลื่อนธุรกิจสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนภายใต้วิสัยทัศน์ “Lead with Purpose” โดยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและตอกย้ำการเป็นผู้นำซูเปอร์แอปที่ยกระดับมาตรฐานของธุรกิจการเดินทางและเดลิเวอรี่ พร้อมสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับคนไทย

“การต่อยอดอย่างแรกที่ได้รับความคาดหวังคือด้าน performance เพราะเรามีคนที่อยู่ใน ecosystem จำนวนมาก ถ้าวันหนึ่ง Grab ใช้งานไม่ได้ หลายคนจะไม่สามารถสั่งอาหารหรือเดินทางไปทำงาน เรามีคนหลายล้านคนบนแพลตฟอร์มทำให้ performance เป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการออกฟีเจอร์ใหม่ แคมเปญต่างๆ และความร่วมมือกับภาคเอกชนหรือรัฐ โดยเราต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น Grab Thumbs Up ร้านแนะนำเรตติ้งสูง Group Order ยิ่งสั่งหลายคนยิ่งได้ส่วนลด และแก้ปัญหาการคำนวณแบ่งบิลชำระค่าอาหารได้ง่าย รวมถึงความคาดหวังให้เราสร้างพลังบวกขับเคลื่อนทีมงานลุยไปพร้อมกับเราด้วย purpose ที่ชัดเจน”
จันต์สุดากล่าวถึงโจทย์ที่ได้รับในการต่อยอดการเติบโตทุกธุรกิจด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีและนำเสนอนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป และแก้ปัญหา (pain point) ในชีวิตประจำวันของคนในอีโคซิสเต็ม เช่น การอัปเกรดฟีเจอร์ Group Order หรือบริการสั่งอาหารแบบกลุ่มซึ่งได้รับความนิยมมากขึ้น โดยมียอดสั่งอาหารเติบโตขึ้น 2 เท่า การปรับโฉมฟีเจอร์ Advance Booking หรือบริการจองล่วงหน้า ซึ่งมียอดใช้บริการพุ่งขึ้นถึง 60% ในช่วงเทศกาลต่างๆ รวมถึงบริการ Dine Out Deals หรือการขายดีลพิเศษสำหรับนั่งรับประทานที่ร้าน โดยมียอดการใช้บริการเติบโตขึ้นกว่า 11 เท่า
นอกจากนั้น บริษัทยังนำเสนอทางเลือกบริการในราคาที่เข้าถึงได้ เช่น GrabCar Saver และ GrabBike Saver ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีมากด้วยยอดใช้บริการที่เติบโตขึ้นมากกว่า 4 เท่า รวมถึงเพิ่มตัวเลือก Delivery Saver ในบริการสั่งอาหาร ซึ่งมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า และเปิดตัวซับแบรนด์ Hot Deals เพื่อนำเสนอดีลลดแรงจากร้านอาหารดังทั่วประเทศ โดยในปีที่ผ่านมาช่วยให้ผู้ใช้บริการประหยัดเงินรวมกว่า 2 พันล้านบาท
ขณะเดียวกันยังขยายธุรกิจในกลุ่มลูกค้าองค์กร (B2B) โดยเฉพาะบริการ GrabAds ที่ปรับรูปแบบจากการขายโฆษณาเป็นการนำเสนอโซลูชันการตลาดแบบสร้างสรรค์ (creative marketing solutions) เพื่อช่วยให้ลูกค้าและพันธมิตรธุรกิจสามารถสร้างแบรนด์และยอดขายจากออนไลน์ไปสู่ออฟ-ไลน์ ตลอดจนบริการ Grab for Business ที่มีการขยายกลุ่มเป้าหมายไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ จนมีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นถึง 80%
“ปีที่แล้วผู้ก่อตั้งเรามาพบนายกรัฐมนตรีพร้อมกับแพลตฟอร์มท่องเที่ยวต่างๆ เพื่อร่วมกันส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เป็น GDP หลัก 15% ให้เติบโต อย่าง Pick-up Point สนามบินดอนเมือง สุวรรณภูมิ ภูเก็ต เชียงใหม่ การทำแคมเปญร่วมกับ ททท. โปรโมตการท่องเที่ยว และให้คนขับช่วยแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวหรือร้านอาหารน่าสนใจกับนักท่องเที่ยว ซึ่งเรามี Grab Academy สอนภาษาอังกฤษ จีน ญี่ปุ่นให้คนขับที่อาจจะช่วยให้ได้ค่าทิปเพิ่มขึ้น รวมถึงเรายังจับมือกับภาครัฐ ททท. และภาคเอกชนสนับสนุนการจัดงานอีเว้นต์ระดับโลกอย่างต่อเนื่อง”
ภาพ: วรัชญ์ แพทยานันท์ และ Grab ประเทศไทย
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ประภาศรี สุฉันทบุตร ปั้น HANN โรงพยาบาลแห่งลุ่มน้ำโขง