เมื่อคู่ซี้เจน Y ตัดสินใจทำธุรกิจ Food Fast Fashion ร่วมกันเมื่อ 8 ปีก่อน แจ้งเกิดด้วยกลยุทธ์แตกต่าง ปั้น “nice two Meat u” แบรนด์ปิ้งย่างเกาหลี ตามด้วย “Fire Tiger by Seoulcial Club” เสือพ่นไฟ ดึงดูดผู้คนสร้างปรากฏการณ์ “ต่อคิว” ไม่ต่างจาก “เกศเตี๋ยว” ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือรสแซบ อาณาจักรเล็กๆ แห่งนี้กำลังต่อยอดความมั่งคั่งกับ 8 แบรนด์ใหม่ สร้างรายได้แตะ 1 พันล้านบาท
แค่ชื่อบริษัทก็ส่องแสงความรวย คือ บริษัท รวยไม่หยุด จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งในปี 2560 ด้วยทุน 10 ล้านบาท ชุติมา เปรื่องเมธางกูร ประธานบริหาร และนันทนัช เอื้อศิริทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ เริ่มออกสตาร์ทความปังในเส้นทางอาหารและเครื่องดื่มจากมุมมองการทำธุรกิจต้อง “แตกต่าง” นำไปสู่ธุรกิจอาหารในสไตล์ปิ้งย่างเกาหลี ซื้อแฟรนส์ไชส์ “nice two Meat u” จากเกาหลีมาปรับปรุงสูตรให้เข้ากับสไตล์คนไทย แซบซ่า พร้อมบริการปิ้งย่างให้ทุกโต๊ะ ความเหนื่อยกลายเป็นความปังที่สร้างปรากฏการณ์ “ต่อคิว” ย่านสยาม
“เริ่มต้นสู่การเป็นผู้ประกอบการสตาร์ทอัพธุรกิจปิ้งย่างขนาดพื้นที่ร้านเล็กๆ ย่านสยาม ทำเองทุกอย่าง รับลูกค้า บริหาร บริการ และคิดเงินเอง เพราะความแปลกใหม่และกระแสเกาหลีที่กำลังมาแรงทำให้ลูกค้าหลั่งไหลเข้าร้านไม่หยุดจนต้องขอหยุดให้บริการชั่วคราว แต่ลูกค้าสู้กลับ ยอมต่อคิว ภาพรอคิวตอกย้ำความปัง สร้างกระแสในโลกโซเชียล” ชุติมา และนันทนัช ย้อนเรื่องราวกับ Forbes Thailand ถึงจุดเริ่มต้นของ 2 คู่ซี้เซนต์โยเซฟคอนเวนต์ที่ห่างกัน 5 รุ่น แต่มีไลฟ์สไตล์เหมือนกัน ชอบเที่ยว ชอบช็อปปิ้ง และมีเป้าหมายชีวิตที่เหมือนกันคือ ต้องการมีเงินเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเอง
ชุติมา หรือ เกศ จบปริญญาตรี คณะศิลปศาสตร์ สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วิชาเอกภาษาจีนกลาง ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรียนต่อด้าน Hospitality and Tourism Management ที่ Boston University ประเทศสหรัฐอเมริกา เลือกเรียนด้าน gastronomy หรือศาสตร์ด้านอาหารเพราะสามารถเป็นเชฟได้เลย ในช่วงที่เรียนก็ได้ประสบการณ์ทำอาหารที่ร้านต่างๆ ใน Boston
“เป็นคนชอบทำอาหารจึงเลือกเรียนทั้งด้าน front of the house และ back of the house เกี่ยวกับการบริหารธุรกิจโรงแรมทั้งหมด ก่อนกลับเมืองไทยได้ทำงานที่ Hilton กับ Marriott ที่ Boston และเลือกทำทั้ง front และ food & beverage หลังจากนั้นก็ประจำที่ Hilton ที่เดียว และกลับเมืองไทย”
ล้มก่อนแกร่ง
เส้นทางธุรกิจแบบกล้าได้กล้าเสียมีทั้งสนุกและได้ประสบการณ์ ทั้งหมดนี้มาจากทุนส่วนตัวที่มีสมัยเรียน ชุติมาเล่าว่า หลังจากกลับเมืองไทยตั้งใจทำงานโรงแรมแต่ที่บ้านไม่เห็นด้วย เธอจึงเลือกทำงานด้านที่ปรึกษา พัฒนาศักยภาพบุคลากรและประสิทธิภาพขององค์กร ได้เรียนรู้เยอะมากเพราะมีหลักสูตรให้เรียนตลอด เธอหาประสบการณ์อยู่ 2 ปี พอออกมาก็เล่นหุ้น
“มีเงินเก็บตั้งแต่เรียนที่ Boston เข้าวงการหุ้นเล่นแบบจริงจังด้วยความเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย แต่สุดท้ายก็จบที่ตัดสินใจล้างพอร์ตในปี 2551 และเปลี่ยนแนวมาเปิดร้านกาแฟย่านสาทรช่วงปี 2551 ใกล้สำนักงานใหญ่ Citibank เปิดได้ระยะหนึ่ง Citibank ย้ายจึงตัดสินใจขายร้าน แต่มีเหตุให้ต้องมาลงทุนที่สยามเพราะนักลงทุนเปลี่ยนใจไม่เปิดร้านทำให้เราต้องตัดสินใจลุยธุรกิจเอง เห็นธุรกิจอะไรกำลังอินเทรนด์ทำหมด

“ก่อนจะมาลงตัวที่ธุรกิจอาหารเจ๊งมาเยอะ เปิด 8 ขาดทุนไป 6 เราคิดว่าไม่เป็นไร เงินหาได้ไม่ยาก กล้าได้กล้าเสีย เสี่ยงได้ ไม่คิดมาก คิดแค่ว่าถ้าเราไม่มีหนี้สิน ถ้าขยันไม่อดตาย คิดแค่นั้น ธุรกิจค่อยๆ ทยอยปิดเพราะขาดประสบการณ์ สุดท้ายปิดหมดเหลือธุรกิจเดียวคือทำเล็บ” ชุติมาเล่า “ถึงจะล้มแต่พร้อมลุกขึ้นใหม่ได้ตลอด ไม่เสียใจ ได้มีโอกาสพูดคุยเรื่องธุรกิจกับพาร์ตเนอร์ นันทนัช (แนท) ศิษย์โรงเรียนเดียวกันที่มีมุมมองการทำธุรกิจที่ต่างจากตัวเองที่ใช้ใจทำงาน เป็นบริหารด้วยหลักการธุรกิจและการบริหารบัญชีและการเงิน ตกผลึกเป็นไอเดียใหม่ร่วมกันคือธุรกิจอาหาร ธุรกิจที่ 9 ของตัวเอง จุดเริ่มครั้งใหม่ได้การสนับสนุนจากแม่ที่เชื่อมั่นในตัวเรา”
ความลงตัวของคู่ซี้เจน Y คือ องค์ความรู้ของนันทนัชที่จบด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่อด้วยปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจที่ Imperial College London ประเทศอังกฤษ อยากทำร้านอาหารและมีประสบการณ์ด้านการวางกลยุทธ์และวางแผนที่ธนาคารแห่งหนึ่ง และประสบการณ์ด้านการตลาดลักชัวรี่แบรนด์ Bottega และ Gucci
“ก่อนจะตัดสินใจศึกษาอยู่ 2 ธุรกิจคือ ธุรกิจเกม laser game ที่กำลังฮิตในอังกฤษ กับธุรกิจร้านอาหาร แต่ด้วยมีทุนจำกัดต้องเลือกทำอย่างเดียว แม่ช่วยชี้เป้าให้ทำร้านอาหารเพราะเรียนและมีประสบการณ์มาแล้วจึงเลือกทำร้านอาหาร” ชุติมาเล่าถึงจุดเริ่มของร้านอาหารสไตล์ปิ้งย่างเกาหลี นับตั้งแต่ปี 2560 มีเรื่องราวสนุกท้าทายทั้งปังทั้งรวยในพริบตา
“เสือพ่นไฟ” พยุงวิกฤต
ถึงแม้จะมีร้านอาหารที่ประสบความสำเร็จแต่ก็มีที่พลาด ทั้งชุติมาและนันทนัชบอกว่า เส้นทางที่เดินไม่ได้ราบเรียบมีทั้งสำเร็จและล้มเหลว หลังจากเปิดร้านเครื่องดื่ม Fire Tiger ก็เปิด EBomb Sandwich ตอนแรกก็ขายดี แต่ตลาดมีคู่แข่งเยอะและไม่ถูกจริตกับคนไทย การกลับมาทานซ้ำน้อย สุดท้ายก็ต้องนำ EBomb Sandwich ไปเป็นเมนูในร้าน Fire Tiger
จากนั้นก็ขยายร้านมาเรื่อยๆ มีทั้ง Mil Toast House เป็นแบรนด์ขนมปังเกาหลี ตอนเปิดก็สร้างปรากฏการณ์ใหม่ๆ คิวยาวและยังเป็นที่นิยม, ร้านอาหารฟิวชั่น Dosan Dalmatian, ร้านปิ้งย่างในรูปแบบเป็นเชตเมนูชื่อ Happy Pig รองรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการทานอาหารปิ้งย่างเกาหลีในราคาที่ย่อมเยาจาก nice two Meat u, ร้านปิ้งย่างอาหารทะเลชื่อ nice two Sea u แต่ไม่ประสบความสำเร็จจึงปรับกลยุทธ์ใหม่เปลี่ยนเป็นร้าน “หมูกระทะคนรวย” แบบพรีเมียมในสยามสแควร์ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเพราะโลเกชั่นไม่เหมาะและอยู่ในแผนการเปลี่ยนทำเลใหม่
หลังจากขยายร้านอาหารต่อเนื่องพายุลูกใหม่ก็เข้ามาเมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19
“พอเกิดโควิด-19 เราคิดว่าจะทำอย่างไร ร้านปิ้งย่างจะ delivery ก็ยากแล้ว เรายังต้องดูแลพนักงานกว่า 1,000 คน ตอนนั้นร้านอาหารปิดตัวแต่เรายังดีที่เรามีสายป่านดี มีทุนสะสม และไม่ได้กู้เงินมาขยายธุรกิจ แต่ก็ต้องคิดว่าจะทำอย่างไร”
กลยุทธ์ช่วงนั้นคือ ลูกค้าที่สั่งไข่เสือมันม่วงในราคา 120 บาท ต้องเสียค่าส่ง 200 บาท แต่ถ้าสั่งชานมเสือพ่นไฟและไข่เสือมันม่วงพร้อมกันไม่ต้องเสียค่าส่งทำให้ขายดี ทั้งเสือพ่นไฟและไข่เสือมันม่วงกลายเป็น product champion ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ช่วยพยุงวิกฤตบริษัท สามารถสร้างรายได้และนำมาจ่ายเงินเดือนพนักงานในช่วงนั้น

“เกศเตี๋ยว” เขย่าโซเชียล
สัญญาณใหม่ของวิกฤตเศรษฐกิจเริ่มขึ้นอีกครั้งทำให้ชุติมาและนันทนัชกลับมาคิดใหม่ ทำใหม่ และมองหาน่านน้ำใหม่ มองตลาดที่เล็กลง ราคาแมสขึ้น และเริ่มมองธุรกิจอาหารที่อยากทำมานานและชอบมาก เป็นอาหารง่ายๆ ใกล้ตัว คุ้นเคยกับคนไทย ราคาไม่แพง เมนูใหม่คือก๋วยเตี๋ยวเรือที่ใช้ชื่อจากที่เพื่อนเรียกในสมัยเรียน “เกศเตี๋ยว” ก๋วยเตี๋ยวเรือราคาเริ่มต้นที่ 9 บาท ฟรีกากหมู, ร้าน “ข้าวแกง & ปลาทู” แถมปลาทูฟรี และอีก 4 แบรนด์ใหม่เพื่อขยายฐานลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ด้วย กลยุทธสร้างความแตกต่างและปรับตัวซึ่งเป็นคีย์เวิร์ดและหัวใจสำคัญในการทำธุรกิจของคู่ซี้เจน Y ที่ทำธุรกิจเข้าถึงความต้องการของคนเจน Z
ชุติมาและนันทนัชเผยมุมมองต่อแผนธุรกิจและกลยุทธ์การเจาะตลาดแมสว่า ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะคนเจน Z ที่มีความฉลาดในการใช้จ่าย มีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างไปจากเจนอื่นๆ คือ การเผยตัวตนและไลฟ์สไตล์ผ่าน IG หลงใหลแบรนด์เนม รักการท่อง-เที่ยว โชว์ความโอ่อ่าด้วยชั้นที่นั่ง Business Class แต่จะประหยัดเรื่องอาหารเพื่อเก็บเงินซื้อแบรนด์เนมและซื้อความสะดวกสบาย เลือกร้านอาหารที่สมเหตุสมผลไม่แพง และคุ้มค่าทั้งรสชาติอาหารและความเก๋
ปั้น 8 แบรนด์ดันรายได้ 1 พันล้าน
“พฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันเขาจะคิดว่าถ้าแบรนด์นี้มีอยู่ 20 สาขา กินวันไหนก็ได้ มันอยู่ทุกที่ไปกินเมื่อไรก็ได้ เราเก็บเงินของเราไปกินที่ใหม่ๆ ดีกว่าไหม อย่างเกศเตี๋ยวก็มีคนลงรูปว่าคนเก๋ๆ ต้องมากินเกศเตี๋ยวแล้ว เพราะสิ่งที่เราขายนอกจากคุณภาพอาหารที่ต้องบอกต่อแล้วเรายังขาย lifestyle ขายความเก๋ นั่นคือความแตกต่างของทุกร้านที่เราทำ” นันทนัชกล่าว
ปัจจุบัน บริษัท รวยไม่หยุด จำกัด มี 10 แบรนด์ร้านอาหารที่อยู่ในพอร์ตโฟลิโอ ได้แก่ Fire Tiger หรือเสือพ่นไฟ 10 สาขา, Mil Toast House 8 สาขา, nice 2 Meat u 14 สาขา, Happy Pig 3 สาขา, Juicy Bunny 6 สาขา, Dosan Dalmatian 1 สาขา, Sundububu 1 สาขา, เกศเตี๋ยว 1 และเตรียมสาขา 2 ที่ไอคอนสยาม EBomb และ หมูกระทะคนรวย และจะเพิ่มเป็น 18 แบรนด์ในปี 2568
ภาพ: วรัชญ์ แพทยานันท์ และบจ. รวยไม่หยุด
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : เชฟไอซ์-ศุภักษร จงศิริ แห่ง ‘ร้านศรณ์’ มิชลิน 3 ดาวรายแรกในไทย เสิร์ฟคุณค่าวัตถุดิบท้องถิ่นภาคใต้