นพ.ดิตถพงษ์ บุญอำพล ปั้น รพ. เฉพาะทางกระดูกสันหลังและข้อ

นพ.ดิตถพงษ์ บุญอำพล ปั้น รพ. เฉพาะทางกระดูกสันหลังและข้อ

หลังประสบอุบัติเหตุครั้งใหญ่ นายแพทย์หนุ่มตระหนักว่า ยังมีเรื่องคาใจที่ไม่ได้ดำเนินการตามความฝัน จึงสร้างโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านกระดูกสันหลังในปี 2560 นับตั้งแต่ปีถัดมา โรงพยาบาลมีกำไรมาโดยตลอด


    เดือนสิงหาคมที่ผ่านมาเพิ่งเปิดตัว โรงพยาบาลแห่งใหม่ด้านกระดูกสันหลังและข้อครบวงจร และวางแผนว่าอีก 1 ปี จะเปิดโรงพยาบาลรักษาและฟื้นฟูผู้พิการ นพ.ดิตถพงษ์ บุญอำพล ผู้ก่อตั้ง โรงพยาบาล เอส สไปน์ แอนด์ จอยท์ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็น.พี. เมดิคอล จำกัด กล่าวถึงความเป็นมาบนเส้นทางอาชีพนี้ว่า เรียนแพทย์เพราะบิดามารดาอยากให้เป็นหมอ เดิมคิดว่าจะเป็นหมอเด็ก แต่พบว่าตนเองไม่เหมาะจึงเลือกเป็นศัลยแพทย์แทน “เราไม่มี skill ในการพูดคุยกับเด็ก ผมชอบคนที่คุยแล้วเราถ่ายทอดรู้เรื่อง พื้นฐานเหมือนผมพูดเก่ง แต่พูดเรื่องไม่ใช่วิชาการไม่เก่ง เวลาสื่อสารอยากให้ตรงประเด็น อีกอย่างคือ อยากเห็นความสำเร็จจากความสามารถของเรา

    "หลังเรียนจบแพทยศาสตร์บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยมหิดล ไปทำงานที่จังหวัดนราธิวาสอยู่ปีเศษ แม้ว่าขณะนั้นปัญหา 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้กำลังคุกรุ่น เหตุผลที่เลือกคือ อยากใช้ชีวิตให้สุดๆ และมีญาติอยู่ที่นั่นคงให้คำแนะนำได้ ประกอบกับคิดว่าท้ายที่สุดคงกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ ซึ่งเขาตัดสินใจไม่ผิดและบอกว่า การทำงานที่นราธิวาสเป็นหนึ่งในช่วงที่ดีที่สุดในชีวิต

    “ความที่หมอขาดแคลนทำให้รู้สึกว่าตัวเรามีค่า เวลาเรากลับคนก็เสียดาย คนมาส่งล้นสนามบิน (ได้รับ) พวงมาลัยถึงหูเลย คนนึกว่าผมเป็นนักการเมือง ตอนนั้นเป็นแพทย์ทั่วไปยังไม่ได้เป็นหมอเฉพาะทาง แต่ความที่มีเหตุใน 4 จังหวัดชายแดนทำให้หมอไม่กล้าไป...เนื่องจากมีหมอน้อยรายจึงต้องดูหลายอำเภอ ประชากรที่นั่นต้องการหมอ ไม่ว่านับถือศาสนาใดเขารู้สึกว่าเราไปช่วย เป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่ามีคุณค่าในชีวิต

    "กลับจากนราธิวาสได้ทำงานที่ รพ. ศิริราช และเรียนต่อแพทย์เฉพาะทางด้านผ่าตัดสมอง และกระดูกสันหลัง และศึกษาเฉพาะทางอีกหลายสาขาในหลายประเทศ เช่น การฟื้นฟูคนพิการ การผ่าตัดจากแผลใหญ่ให้เป็นแผลเล็ก

    "คราวที่ไปทำงานเป็นแพทย์เฉพาะทางในโรงพยาบาลเอกชนเขาบอกว่า เหมือนกลับเข้าเรียนมหาวิทยาลัยอีกครั้ง เพราะภาคเอกชนทำให้เรียนรู้งานอีกแบบ ตอนแรกที่ไปทำรู้สึกว่าผมมีความรู้ทางการแพทย์ที่ดี แต่ไม่รู้จักการพัฒนาองค์กรที่ดีก็เลยไปเรียน MBA เรียนรู้การพัฒนาองค์กรว่าทำอย่างไรจะให้ผลที่ deliver ออกมามันพัฒนาออกไปได้ บางครั้งคิดได้แต่ทำไม่ได้ พอรู้กลไกการบริหารจัดการองค์กรแล้วแต่ไม่เข้าใจคนเลย คนกับองค์กรไม่เหมือนกัน แม้มีแผนดีแต่ผลออกมาไม่ดีถ้าคนไม่ให้ความร่วมมือ ผมก็ไปเรียนรัฐศาสตร์


นพ.ดิตถพงษ์ บุญอำพล


    “ตอนนั้นช่วยเรื่องการพัฒนาธุรกิจ การเซอร์วิสให้ดีขึ้น คือภาครัฐก็มีกฎระเบียบของภาครัฐ ภาคเอกชนก็มีของเอกชน ผมคิดว่าถ้าอยู่ภาคเอกชนน่าจะทำประโยชน์ได้เยอะกว่า แต่คนเข้าใจว่าเป็นเพราะสิ่งตอบแทน แต่ผมว่ามันทำให้เราขยายศักยภาพและพัฒนาได้ดีกว่า แต่ก็ยังไม่ทิ้งงานวิจัย งานวิชาการ...การอยู่ภาคเอกชนมีสิ่งหนึ่งที่สอนผมคือ การคิดเรื่องงานคุณภาพ" นพ.ดิตถพงษ์ กล่าว

    ทำงานในโรงพยาบาลเอกชนได้ระยะหนึ่งจึงลาออกมาเปิดคลินิกของตนเอง เขาบอกว่า ตอนนั้นมีความคิดอยากเปิดโรงพยาบาลเฉพาะทางแล้วแต่ไม่มั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ประกอบกับต้องใช้เงินลงทุนสูงจึงไม่อยากเสี่ยง “ผมไม่ใช่เศรษฐีร่ำรวย โรงพยาบาลลงทุนเยอะ กลัวเจ๊งจึงเปิดเป็นคลินิกก่อนว่าคิดถูกไหม มีเสียงตอบรับอย่างไรบ้าง โชคดีที่เสียงตอบรับเยอะจึงพัฒนาในเวลาต่อมา”


โรงพยาบาลแห่งความฝัน

    ฤกษ์เปิดโรงพยาบาลมาอย่างไม่คาดฝัน เมื่อเขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เขาเล่าถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า “รถเข้าโค้งเหยียบเบรก ล้อไม่เลี้ยว แต่ไถล ผมเห็นบังเกอร์ข้างหน้าวิ่งเข้ามาในใจคิดว่าชีวิตนี้จบแล้ว ไม่ได้กลัวตายนะ แต่ภาพตั้งแต่เด็กจนโตมันขึ้นมาปุ๊บๆ เหมือนภาพตัดเลย เวลาแป๊บเดียวเอง ผมก็คิดในใจขอโทษพ่อแม่ที่ไม่ได้ตอบแทนเนื่องจากเกิดอุบัติเหตุเฉียดตายผมเหมือนกลับมาเกิดใหม่ ก็ดูว่าสิ่งที่ค้างคาใจคืออะไร 

    "ผมเปิดคลินิกก่อน แต่ความฝันคืออยากทำโรงพยาบาลที่ดีที่สุด พอเกิดอุบัติเหตุก็ไปตามความฝันแล้ว ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง จะดีหรือร้ายผมมีความเชื่อว่าถ้าเราเยี่ยม คนอื่นจะมาเยี่ยมเราเอง



    "เมื่อตัดสินใจว่าจะทำก็ชั่งใจว่าควรเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านกระดูกสันหลังหรือระบบสมอง เพราะเรียนมาทั้งสองด้าน “ถ้าทำโรงพยาบาลด้านกระดูกสันหลัง เหมือนนักดนตรีโซโล่ มีไวโอลินชิ้นเดียวก็สีได้ แต่ถ้าทำผ่าตัดสมองเหมือนอยู่ “ที่จริงความฝันยังไม่เกิด ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุเฉียดตาย ก็คิดว่ามีอะไรคั่งค้าง และเราทำได้ไหม ถ้าทำได้ มีความสามารถพอไหม วงออร์เคสตรา ต้องใช้ทีมเยอะ ผมเล่นคนเดียวไม่ได้ ก็เลยเอาเรื่องกระดูกสันหลังก่อน

    ปี 2560 S Spine and Nerve โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านกระดูกสันหลังแห่งแรกจึงเกิดขึ้น ซึ่งหน้าเว็บไซต์ระบุว่าเป็น “โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านกระดูกสันหลังแห่งแรกแห่งเดียวในประเทศไทย” ด้วยเงินลงทุนเกือบพันล้านบาท



    “คนสงสัยว่าเอาเงินมาจากไหน เมื่อก่อนผมเป็นนักลงทุนด้วย ตอนเรียน MBA มีวิชา finance ตอนเรียนวิชานี้บังเอิญประเทศไทยเพิ่งผ่าน (วิกฤตเศรษฐกิจ) ต้มยำกุ้งมา ซื้อหุ้นราคาถูกหลังจากนั้นราคาหุ้นขึ้นเยอะ มันเป็นดวง เหมือน connect the dot...ที่จริงความฝันยังไม่เกิด 

    "ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุเฉียดตายก็คิดว่ามีอะไรคั่งค้าง และเราทำได้ไหม ถ้าทำได้ มีความสามารถพอไหม มีเงินทุน มีที่ (ดิน) มีเครื่องมือหรือยัง พอ connect the dot ได้ เอาเลย” นพ.ดิตถพงษ์เล่าด้วยน้ำเสียงปลื้มๆ เมื่อพูดถึงการลงทุนในหุ้นครั้งนั้นและทำให้เขาได้กำไรมหาศาล



    "กระทั่งใช้เป็นทุนสำหรับทำธุรกิจโรงพยาบาลโดยไม่ต้องกู้ธนาคาร“ผมไม่ใช่คนประมาท แม้จะตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง แต่เวลาทำอะไรอย่าทำแล้วไม่จบ ต้องมองให้จบ สมมติสร้างโรงพยาบาลพันกว่าล้าน มีเงินแค่ 500 ล้านก็ไม่จบ ถ้าไม่จบทุกอย่างจบหมด ต้องทำอย่างไรให้จบให้ได้ แม้ผมจะไปตายดาบหน้า แต่ในนั้นต้องมองให้รอบคอบ

    "ไม่มีการศึกษาความเป็นไปได้ หรือทำแผนธุรกิจใดๆ แค่เลือกทำเลว่าต้องอยู่ปลายทางด่วน ในรัศมีที่คนไข้ในกรุงเทพฯ สามารถเดินทางมาถึงโรงพยาบาลภายในเวลา 45 นาที นับตั้งแต่เปิดโรงพยาบาลมีเพียงปีแรกที่ขาดทุน หลังจากนั้นเติบโตมาโดยตลอดและมีกำไรทุกปี “ผมถือว่าผมดวงดี คือไม่ใช่ว่าจะเป็นธุรกิจที่ดีทุกปีนะ แต่สิ่งหนึ่งที่เราทำผมว่ามันไปโดนใจคนมารับบริการ" นพ.ดิตถพงษ์ กล่าว

    นพ.ดิตถพงษ์กล่าวถึงโรงพยาบาลแห่งแรกว่า “สร้างมาด้วยความฝันที่อยากมีโรง-พยาบาลเฉพาะทางรักษาคนไข้ให้ดีที่สุดในเรื่องที่เรียนมา” ปลายปี 2568 ได้ต่อยอดและขยับขยายมายังสถานที่ใหม่ที่มีขนาดกว้างขวางกว่าเดิมคือ โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์จอยท์ (S Spine & Joint) โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านกระดูกสันหลังและข้อ 



    "ซึ่งเป็นผู้นำในการใช้เทคนิคผ่าตัดกระดูกสันหลังแบบส่องกล้องเอนโดสโคป และชูจุดเด่นมาตั้งแต่เปิดให้บริการว่า แผลเล็ก เจ็บน้อย นอนโรงพยาบาลแค่คืนเดียว การรักษาแบบ MIS (Minimally Invasive Surgery) คือ การรักษาอาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทผ่านการส่องกล้องขนาดเล็ก endoscopic ที่มีขนาดเล็กกว่าการผ่าแบบส่องกล้องทั่วไป ทำให้แผลมีขนาด 0.5 ซม. ไม่ต้องผ่าตัดเปิดแผลใหญ่จึงฟื้นตัวเร็ว

    "ช่วงที่พีคสุดเคยมีเคสผ่าตัด 200 กว่ารายต่อเดือน และคนไข้ที่เข้ารับการผ่าตัดมากกว่า 95% พักฟื้นเพียง 1 คืน “เราทำตั้งแต่ปี 2560 เป็น pioneer ใช้มาจนความรู้นี้แพร่หลาย และเราพัฒนาตัวเองให้ต่างจากที่อื่น ความที่เป็นหมอเฉพาะทางเรียนมาลึก ตัวอย่าง ถ้าหมอทั่วไปก็เหมือนคนขับรถซีดาน รถเก๋ง 

    "ถ้าเป็นหมอกระดูกธรรมดาเหมือนคนขับซูเปอร์คาร์ Ferrari, Lamborghini ไวกว่า ดีกว่า คุณภาพดีกว่า แต่แพทย์เฉพาะทางเหมือนกับขับ Formula 1 คนอื่นขับไม่ได้...แผลเล็กลงจาก (ขนาด) เป็นคืบเหลือครึ่งเซนต์ แผลเล็กเกิดจากเทคโนโลยีและทักษะที่พัฒนาขึ้น ความเสี่ยงต่ำกว่าหลายสิบเท่า” ดิตถพงษ์ กล่าว

    ปัจจุบันโรคที่คนไข้มารับบริการ 2 อันดับแรกคือ ปวดหลัง รองลงมาคือ ปวดคอ ซึ่งอาจส่งผลให้ร้าวลงขา/แขน อาจเป็นความเสื่อมของกระดูกสันหลังหรือหมอนรองกระดูก หรือเส้นประสาทโดนกระดูกกดทับ แต่อาการปวดคอกำลังตามมาติดๆ จากพฤติกรรมของคนที่ใช้โทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ในชีวิตประจำวันและการทำงาน

    เมื่อบอกว่า เป็นโรงพยาบาลเฉพาะทาง นพ.ดิตถพงษ์อธิบายว่า ต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง หมอเก่งอย่างเดียวยังไม่พอ เพราะไม่สามารถฉายความเป็นเฉพาะทางได้เต็มที่ ยังต้องมีทีมงานที่เก่ง บุคลากรและอุปกรณ์ที่ดี “ความเป็นเฉพาะทางได้ต้องเป็นทีมที่ดี ต้องเห็นทีมเวิร์ก ถึงจะเตะบอลเป็นทีม...ไม่งั้นเป็นนักมวย ดนตรีจะเพราะไม่ใช่เสียงไวโอลินเพราะอย่างเดียว แต่ต้องเป็นวงออร์เคสตรา ทุกคนต้องช่วยกัน”


การเรียนคือการพักผ่อน

    นอกจากจะศึกษาด้านการแพทย์ในสาขาต่างๆ แล้ว เขายังสนใจศาสตร์ด้านอื่นๆ ด้วย ทั้ง MBA รัฐศาสตร์ การออกแบบก่อสร้าง เพื่อนำความรู้มาประกอบการทำงาน โดยอธิบายว่า สำหรับเขาแล้วการเรียนคือการพักผ่อน

    “เวลาเรียนเรานั่งอยู่กับโต๊ะ ฟังคนอื่นพูด หรือคุยกับเพื่อนก็เหมือนการพักผ่อนในตัว แต่ตอนเป็นหมอสมองต้องประมวลผลตลอดเวลา อีกเรื่องคือ ผมถูกปลูกฝังตั้งแต่เด็ก พ่อแม่เป็นนักวิชาการชอบให้เรียนหนังสือ และปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก การอ่านหนังสือหรือดูโทรทัศน์เน้นการให้ความรู้ จึงรู้สึกว่าการได้ความรู้ พัฒนาตนเอง เหมือนเป็นการพักผ่อน ถ้าเราชอบมันไม่ใช่ภาระ คุณไปเที่ยวยังต้องเสียตังค์ นี่คือการไปเที่ยวในเวิ้งแห่งความรู้

    “ในอดีตผมมีความฝันอยากเป็นอาชีพอื่น แต่พ่อแม่อยากให้ลูกเป็นหมอ มองว่าเป็นวิชาชีพที่เลี้ยงตัวเองได้...พอจบมาแล้วก็ขอบคุณพ่อแม่ที่แนะนำให้มาอาชีพนี้ มันเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีวิชาชีพ มีรากฐานที่ดี ถ้าสนใจอย่างอื่นไม่ต้องทำเป็นอาชีพก็ได้ แต่ถ่ายทอดมา way อื่น

    "เมื่อจะเปิดโรงพยาบาลเขาจึงไปเทกคอร์สการคุมการก่อสร้างและการออกแบบเพื่อสร้างโรงพยาบาลตามความคิดและจินตนาการ โรงพยาบาลแห่งแรกเป็น Star Wars theme โรงพยาบาลนี้เป็น Tron theme ผมคุมก่อสร้าง ตกแต่ง ออกแบบเอง เป็น project manager




    “ตอนเด็กโตมาจากหนัง 2 เรื่องคือ Star Wars ดูเกือบทุกปี...รู้สึกว่าอินและติดตามทุกตอน อีกเรื่องคือ Tron เป็นเรื่องเกี่ยวกับไซไฟ ตอนผมเป็นเด็กพ่อแม่เอาหนังสือวิทย์มาให้อ่าน เช่น ชัยพฤกษ์วิทยาศาสตร์ มันก็หล่อหลอมเราให้ชอบวิทยาศาสตร์ โครงสร้างมาอย่างนี้ เป็นเหตุทำให้เกิดโรงพยาบาลเฉพาะทาง

    "โรงพยาบาลแห่งแรกเป็น Star Wars theme โรงพยาบาลนี้เป็น Tron theme ผมคุมก่อสร้าง ตกแต่ง ออกแบบเอง เป็น project manager ใช้เวลาก่อสร้าง 14 เดือนเศษ ไม่ได้ใช้ consultant ปกติสร้างโรงพยาบาลใช้เวลา 24-36 เดือน” นพ.ดิตถพงษ์ ย้ำ

    ภายในห้องตรวจคนไข้ เก้าอี้นั่งของคุณหมอมีพนักอิงเป็นรูปกระดูกสันหลัง ทราบภายหลังว่าออกแบบและสั่งทำเป็นพิเศษเพื่อย้ำเตือนว่าที่นี่เป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านกระดูกสันหลัง

    นพ.ดิตถพงษ์บอกว่า ได้พิชิตภูเขามาแล้ว 2 ลูกคือ โรงพยาบาลแห่งแรก และโรงพยาบาลแห่งที่ 2 ที่เพิ่งเปิดตัวปลายปี 2568 และตั้งเป้าว่าจะพิชิตภูเขาลูกที่ 3 ภายใน 1 ปีข้างหน้า นั่นคือโรงพยาบาลสำหรับผู้พิการ โดยปรับปรุงจากโรง-พยาบาลแห่งแรกด้วยงบลงทุน 100-200 ล้านบาท



    “มีโครงสร้างอยู่แล้ว ไม่ยาก ใส่ know-how เข้าไป แต่ know-how เกิดจากการ practice, services อุปกรณ์ก็มีส่วนช่วย ความสม่ำเสมอและการใส่ใจซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ” โรงพยาบาลแห่งนี้นอกจากจะรองรับกลุ่มผู้พิการแล้ว ยังรวมถึงผู้สูงวัย เพราะความพิการไม่ได้มีสาเหตุจากอุบัติเหตุเท่านั้น บางโรคมาจากความสูงวัย เช่น ความจำเสื่อม และโรงพยาบาลจะช่วยฟื้นฟูให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

    “ผมอยากทำกลุ่มโรงพยาบาลเฉพาะทาง มีโรงพยาบาลรักษาฟื้นฟูคนพิการ โรงพยาบาลกระดูกสันหลังและข้อ ระบบประสาท อะไรที่ทำเป็นเฉพาะทางได้ดีก็อยากทำ ไม่แน่อาจรวมกลุ่มอื่นด้วย ถ้าเขามีความฝันใกล้เคียงกับเรา…ความที่ผมผ่านการเรียนมามาก รู้ให้กระจ่างอย่างเดียวแต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล และมันดีต่อสังคมด้วย เราก็จะเป็นคนที่ทำให้เรื่องต่างๆ มีความเฉพาะทางมากขึ้น การศึกษาลึกลง พัฒนาการการรักษาดีขึ้น เกิด economy of scale ดีกว่า” นพ.ดิตถพงษ์ กล่าว




ภาพ : โรงพยาบาล S Spine & Joint



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ยุทธพงษ์ เรืองศิริ ปรุงรสให้ Fora Bee

อ่านเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2568 ในรูปแบบ e-magazine