สถานการณ์โควิด-19 มีทั้งวิกฤตและโอกาส SMEs ประสบวิบากกรรมขาดสภาพคล่องทางการเงินไม่สามารถชำระหนี้ได้ แต่โชคดีที่รัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือผ่านกลไกค้ำประกันสินเชื่อ กระตุ้นการปล่อยสินเชื่อเสริมสภาพคล่องต่อลมหายใจ
การออกมาตรการช่วยลูกหนี้ NPL เพื่อรักษาธุรกิจลูกหนี้ผ่านโมเดลแก้หนี้ยั่งยืน ทั้งสองปรากฏการณ์นี้คือ แผนช่วยเหลือ SMEs ทั้งค้ำประกันสินเชื่อและผลักดันมาตรการแก้หนี้ เพื่อช่วยลูกหนี้ปลดล็อกทำให้ SMEs ได้กลับมาสู่การเป็นผู้ประกอบการอีกครั้ง
สิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) บอกเล่าเรื่องราวเส้นทางและพันธกิจในฐานะผู้นำองค์กรรัฐวิสาหกิจในกำกับกระทรวงการคลัง กับการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากระหว่างปี 2565-2568 กับ Forbes Thailand กับภารกิจท้าทายที่มากับโจทย์ใหญ่ โดยสามารถช่วยแก้ไขปัญหาให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (Small and Medium Enterprises: SMEs) ที่มีจำนวนกว่า 3.2 ล้านรายให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ผ่านกลไกการค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. ตลอด 33 ปี สามารถช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อในระบบได้มากกว่า 880,000 ราย
ภารกิจสำคัญคือ การเข้าไปแก้ 3 pain point ให้กับผู้ประกอบการ SMEs ในเรื่องขาดผู้ค้ำประกัน ขาดหลักทรัพย์ค้ำประกันสินเชื่อ และขาดความรู้เรื่องการเงิน ผ่านกลยุทธ์ 4P (Product, Partnership, Platform, Planet) + 1D (Debt Collection & Management)
“4 ปีที่ผ่านมาทำได้ตามเป้าหมาย ถึงแม้จะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ได้วางรากฐานพัฒนาศักยภาพ การทำงานให้กับพนักงาน สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง สร้างดีเอ็นเอของการเป็นตัวตน branding บสย. ในฐานะองค์กรที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้กับ SMEs ที่ขาดหลักทรัพย์และคนค้ำประกันให้เข้าถึงสินเชื่อผ่าน T (Think Innovatively), C (Connectivity) และ G (Good Governance)”
“วัฒนธรรม” นำ “กลยุทธ์”
ด้วยองค์ความรู้ของสิทธิกรที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท 2 สาขา ได้แก่ สาขาการดำเนินธุรกิจขั้นสูงจาก University of South Australia และวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาระบบสารสนเทศคอมพิวเตอร์ (MS-CIS) จากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และระดับปริญญาตรี บริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ (BBA-Business Computer) จากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และประสบการณ์อันเข้มข้นจากการเป็นรองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงานกลยุทธ์ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย
“เข้ามารับตำแหน่งที่ บสย. เมื่อ 4 มกราคม ปี 2565 ด้วยเป้าหมายชัดเจน สร้างความยั่งยืนแก่องค์กร โดยสร้างความแข็งแกร่งด้านรายได้ และตั้งใจกำจัดจุดอ่อน SMEs 3 เรื่องคือ ขาดคนค้ำประกัน ขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน และขาดความรู้เรื่องการเงิน ด้วย 3 เสาหลักในการแก้ไขปัญหา คือผลิตภัณฑ์ค้ำประกันสินเชื่อที่คำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม ถัดมาเป็นเรื่องการทำ Credit Intelligence นำข้อมูลมาทำ credit scoring และสุดท้ายคือ สู่การเป็น SMEs’ gateway ทำอย่างไรให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงสินเชื่อผ่านการค้ำประกัน credit guarantee ของ บสย. ใครไม่ค้ำ...เราค้ำ”
ภารกิจแรกคือ ยกระดับองค์กรด้วยการสร้างวัฒนธรรมองค์กร บสย. ซึ่งย้อนไปในขณะนั้น ภาพจำยังไม่ชัดเจนว่าดีเอ็นเอวัฒนธรรมองค์กรแห่งนี้คืออะไร

“ผมเชื่อว่า culture องค์กรเป็นเรื่องสำคัญนำ strategy” สิทธิกรกล่าว หากวัฒนธรรมองค์กรไม่ชัด พนักงานไม่เข้าใจ ต่อให้องค์กรมีกลยุทธ์ที่ดี การขับเคลื่อนองค์กรก็เป็นเรื่องยาก ตรงกันข้าม หากองค์กรมีวัฒนธรรมการทำงานที่ชัดเจน การสร้างศักยภาพและการนำพาองค์กรให้เป็นไปตามกลยุทธ์ที่วางไว้ก็จะง่ายขึ้น นั่นทำให้การตามหาดีเอ็นเอของ บสย. จึงเป็นภารกิจแรกของสิทธิกร
การช่วยผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนเป็นงานที่ต้องเข้าไปศึกษา SMEs landscape จากนั้นนำมาถอดรหัสในการสร้างแบรนดิ้ง วัฒนธรรมองค์กร เพื่อพัฒนาศักยภาพคนในองค์กร ซึ่งต่อมากลายเป็นค่านิยม “TCG Fast & First” รวดเร็ว รอบคอบ ที่หนึ่งในใจ SMEs เป็นคีย์เมสเสจตอกย้ำพนักงาน ควบคู่กับการสร้างดีเอ็นเอผ่าน T-Think Innovatively กล้าคิด กล้าทำ กล้าเปลี่ยนแปลง C-Connectivity สร้างเครือข่าย สร้างความร่วมมือ สร้างความสัมพันธ์ และ G-Good Governance ยึดมั่นธรรมาภิบาล ยึดมั่นบริหารความเสี่ยง ยึดมั่นดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม
“ผมสื่อสารกับพนักงานให้เข้าใจแนวคิดในการทำงานวัฒนธรรมองค์กร และสร้างดีเอ็นเอ บสย. เพื่อให้พนักงานพัฒนาศักยภาพและมีความภาคภูมิใจในองค์กร เพื่อสร้างความมั่นใจและเชื่อมั่นกับ SMEs ในการใช้บริการให้คำปรึกษาและการค้ำประกันสินเชื่อเมื่อนึกถึงการเข้าถึงแหล่งเงินทุนต้องนึกถึง บสย.”
ความสำเร็จของภารกิจนี้สะท้อนจากการได้รับ 2 รางวัลจาก Thailand Quality Award ในปี 2567 รางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศที่มีความโดดเด่นด้านการสร้างประโยชน์ให้สังคม และรางวัล Leadership Excellence Award สำหรับผู้นำสูงสุดขององค์กรที่สามารถขับเคลื่อนและผลักดันองค์กรให้นำเกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติไปปรับใช้อย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นรางวัลที่ต้องมีคณะกรรมการเป็นผู้สัมภาษณ์พนักงาน ผลจากการพิจารณาการที่ให้คะแนนรางวัลของคณะกรรมการมึความเห็นว่า บสย. มีวัฒนธรรมองค์กรที่ชัดเจน พนักงานทุกคนพูดและอธิบายเรื่อง TCG Fast & First ด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่อธิบายแบบท่องจำ แต่อธิบายอย่างเข้าใจและทำได้จริง
4P+1D หนุน SMEs
จากดีเอ็นเอสู่การวางกลยุทธ์กลุ่มเป้าหมายเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางการเงินให้ผู้ประกอบการ SMEs ถอดรหัสขับเคลื่อนองค์กรสู่กลยุทธ์หลัก 4P 1D
P-Product การพัฒนาผลิตภัณฑ์ค้ำประกันสินเชื่อที่ตอบโจทย์ SMEs ทุกกลุ่มในรูปแบบ RBP (Risk-Based Pricing) คิดค่าธรรมเนียมค้ำประกันตามความเสี่ยงของธุรกิจ โดยนำเครื่องมือ credit scoring มาใช้ในการพิจารณา เช่น หากเครดิตลูกค้าดีขึ้น ธุรกิจดีขึ้น การคิดอัตราค่าธรรมเนียมจะลดลง แต่หากเครดิตแย่ลง ค่าธรรมเนียมจะถูกปรับขึ้นเพื่อสะท้อนความเป็นจริง
ด้วยเป้าหมายที่ต้องการตอบโจทย์ SMEs ทุกกลุ่มในประเทศไทยนำมาสู่แนวคิดการแบ่งผลิตภัณฑ์ค้ำประกันสินเชื่อตามกลุ่มลูกค้าใน 5 กลุ่มหลักคือ กลุ่มที่ 1 ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสารพัดพิษทางเศรษฐกิจ ทั้งพิษโควิด-19 พิษจากอุทกภัย ภัยแล้ง แผ่นดินไหว โดย บสย. ต้องคิดค้นนวัตกรรมยาแก้สารพัดพิษพวกนี้ให้อยู่หมัด กลุ่มที่ 2 ลูกค้าที่ต้องการเงินลงทุนเพื่อขยายธุรกิจ เพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน แต่ขาดหลักประกัน กลุ่มที่ 3 กลุ่มเปราะบาง พ่อค้า แม่ค้า สตาร์ทอัพ คนรุ่นใหม่ คนค้าขายออนไลน์ ที่มีปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุน กลุ่มที่ 4 ธุรกิจที่ปรับตัวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำต้องการเงินทุนในการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร ปรับปรุงกระบวนการผลิต หรือลงทุนติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป และกลุ่มที่ 5 ธุรกิจตามยุทธศาสตร์ของประเทศ อาทิ ซอฟต์พาวเวอร์ และธุรกิจที่ตอบโจทย์นโยบายของประเทศ
“พันธกิจล่าสุดที่ภาคภูมิใจมากคือ การช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs เรื่องการทำกิน โดยบสย. เข้าไปค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะใหม่ หนึ่งในมาตรการช่วย SMEs กระบะพี่ มีคลังค้ำ ครั้งแรกในรอบ 33 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้ง บสย. เพื่อตอบโจทย์นโยบายของภาครัฐที่ต้องการช่วยให้ SMEs ได้เข้าถึงสินเชื่อเพื่อซื้อรถกระบะใหม่เป็นเครื่องมือทำกิน และกระตุ้นตลาดรถยนต์เชิงพาณิชย์ที่อยู่ภาวะซบเซาให้กลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง”

P-Partnership พันธมิตรธุรกิจ ที่ผ่านมาได้มีความร่วมมือกับหลายหน่วยงานทั้งสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สภาหอการค้าไทย รวมพลังช่วยกันแก้ไขปัญหาให้ผู้ประกอบการ SMEs เพราะการแก้ไขปัญหาของ SMEs มีหลายมิติ ซึ่ง บสย. ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้เพียงลำพัง ต้องมีเครือข่ายพันธมิตรเข้ามาช่วยกันแก้ไขทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน
P-Platform การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลด้านข้อมูล การใช้ช่องทาง Line OA ในการเข้าถึงรายย่อยกลุ่ม Micro SMEs เพื่อดูแลสุขภาพทางการเงินให้กับลูกค้า SMEs ของเราได้ตลอดเวลา ปัจจุบันช่องทาง Line OA ของ บสย. @tcgfirst จากเดิมที่มีสมาชิกใน 7,000 ราย ปัจจุบันเพิ่มเป็นกว่า 50,000 ราย และสุดท้าย P-Planet การพัฒนาผลิตภัณฑ์ค้ำประกันตอบโจทย์ธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ช่วยให้ภาคธุรกิจเปลี่ยนผ่านเข้าสู่อุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น บวกกับ 1D-Debt Collection & Management เรื่องการบริหารหนี้ ซึ่งพบว่ามีลูกหนี้ค้ำประกันที่ บสย. จ่ายเคลมจำนวนมากที่มีแนวคิดว่า บสย. เหมือนกับธุรกิจประกัน (credit insurance) คือ เจอ จ่าย จบ ทำให้ไม่ยอมมาปรับโครงสร้างหนี้กับ บสย. ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด
แก้หนี้เพื่อปราบหนี้
เมื่อ SMEs ตกอยู่ในสภาพการเงินตึงตัวผ่อนไม่ไหวโดยเฉพาะหลังสถานการณ์โควิด-19 เศรษฐกิจซบเซาจากการปิดประเทศ สินเชื่อไม่กระเตื้อง ขณะที่ความสามารถในการผ่อนหนี้ลดลงอย่างน่ากลัวสิ่งนี้จึงเป็นอีกหนึ่งภารกิจท้าทายของผู้นำองค์กรที่ต้องการเข้ามาเปลี่ยนมายด์เซตของลูกหนี้ที่ถูกจ่ายเคลมกลุ่มนี้ให้สามารถกลับมาเป็นลูกหนี้ปกติได้ผ่านมาตรการแก้หนี้ “บสย. พร้อมช่วย”
พัฒนาโมเดลการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เพื่อช่วยผู้ประกอบการ SMEs สูตรแก้หนี้ผ่านมาตรการ 3 สี ม่วง เหลือง เขียว ที่ บสย. ออกแบบมาเพื่อช่วยลูกหนี้ค้ำประกันที่กลายเป็น NPL และถูกจ่ายเคลม หัวใจหลักคือ การยืดหนี้ที่ถูกจ่ายเคลมให้ยาวสูงสุด 7 ปี ไปพร้อมกับการตัดเงินต้นก่อนดอกเบี้ย เป็นการช่วยลูกหนี้ให้สามารถ “อยู่รอด อยู่ได้ และปลดหนี้” ได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น หนี้ลด หมดเร็ว ด้วยเงื่อนไขที่ผ่อนปรน อัตราดอกเบี้ย 0% ปลดหนี้ลดเงินต้นให้ 10-15% ช่วยต่อลมหายใจให้ธุรกิจ และทำให้ลูกหนี้มีกำลังใจกลับมาแข็งแรงได้อีกครั้ง
นอกจากนี้ ยังออกมาตรการแก้หนี้เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ค้ำประกัน “กลุ่มเปราะบาง” ของ บสย. ที่มียอดจ่ายเคลมไม่เกิน 200,000 บาท ชำระครั้งแรกเพียง 500 บาท ผ่อนสูงสุด 80 เดือน ตัดเงินต้นทั้งจำนวน อัตราดอกเบี้ย 0% และสามารถปลดหนี้ ลดต้นสูงถึง 30% เมื่อจ่ายต่อเนื่อง 6 งวด ซึ่งถือเป็นเปอร์เซ็นต์ปลดหนี้ที่สูงที่สุดเท่าที่ บสย. เคยทำมา
“เรื่องแก้หนี้ของ บสย. เป็นอีกหนึ่ง pain point ที่พัฒนาโมเดลแก้หนี้ได้สำเร็จ จากเดิมลูกหนี้ที่ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ในอดีตที่ผ่านมาจนมาพัฒนาสูตรแก้หนี้ได้ผลดีมากและชัดเจนขึ้นเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาเราสามารถช่วยลูกหนี้ที่ถูกจ่ายเคลมจำนวนมากให้กลับมาเป็นลูกหนี้ปกติ ตั้งแต่มีการออกมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ บสย. พร้อมช่วย ในปี 2565 ถึงเดือนพฤษภาคม ปี 2568 บสย. สามารถช่วยลูกหนี้เข้ามาตรการปรับโครงสร้างหนี้รวมกว่า 20,000 ราย คิดเป็นการแก้หนี้สะสมประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท”

สิ่งสำคัญในการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ บสย. จ่ายเคลมมาจากแรงขับเคลื่อนที่มองว่า หากลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสียแล้วกลับมาเป็นลูกหนี้ปกติจะช่วยให้เขาเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ และลดการชดเชยของภาครัฐกับหนี้ที่มีปัญหา และเมื่อตามหนี้กลับมาได้ก็จะเป็นทุนสำหรับการค้ำประกันและช่วย SMEs ของ บสย. ต่อไป
พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง
สิทธิกรกล่าวว่า ตลอด 4 ปีมีการเปลี่ยนแปลงแบบไม่ได้วางแผน (unplan) คาดไม่ถึงตลอดเวลาที่ บสย. นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เรียกว่าในวิกฤตคือโอกาส ยอดค้ำประกันสินเชื่อเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว จากยอดการค้ำประกันประมาณ 5-6 หมื่นล้านบาทต่อปี เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าตัวในช่วงโควิด-19 ที่มีการออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือ SMEs ตามนโยบายของรัฐบาล ทำให้ยอดค้ำประกัน บสย. พุ่งสูงขึ้นมาก
โดยปี 2563 มียอดค้ำประกันกว่า 1.4 แสนล้านบาท และเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ด้วยยอดค้ำประกันกว่า 2.4 แสนล้านบาท เมื่อดูจากการดำเนินงานตลอด 30 ปี บสย. มียอดค้ำประกันสะสมกว่า 4 แสนล้านบาท แต่ภายใน 3 ปีที่เข้ามาบริหารยอดค้ำประกันสินเชื่อเพิ่มอีกกว่า 4 แสนล้านบาท ทำให้องค์กรต้องเร่งพัฒนาระบบดิจิทัลเทคโนโลยี (digital technology) รองรับปริมาณธุรกรรมที่เพิ่มมากขึ้น
ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว สิทธิกรบอกว่า ทำให้ บสย. ต้องนำหลัก 4P+1D มายกระดับรวบเป็น 4 มิติหลักในการขับเคลื่อนและยกระดับองค์กรในด้านต่างๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการช่วยเหลือ SMEs ใน 4 มิติหลัก ได้แก่ 1. การยกระดับผลิตภัณฑ์ค้ำประกันสินเชื่อที่ตอบโจทย์ความต้องการของ SMEs ทุกกลุ่ม โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ค้ำประกันสินเชื่อในรูปแบบ RBP (Risk-Based Pricing) 2. การยกระดับเครื่องมือโมเดลวิเคราะห์ความเสี่ยงในรูปแบบข้อมูลทางเลือก (alternative data) โดยนำเครื่องมือ credit scoring มาใช้ในการพิจารณาค้ำประกันสินเชื่อ 3. การใช้ประโยชน์จากบิ๊กดาต้า (big data) นำฐานข้อมูลการค้ำประกันสินเชื่อมาวิเคราะห์ข้อมูลในมิติด้านต่างๆ เพื่อพัฒนาโอกาสในการช่วยเหลือ SMEs ให้มากยิ่งขึ้น และ 4. ด้านการใช้ digital disruption เป็นแรงขับเคลื่อนองค์กร เพื่อพัฒนาระบบงาน และบริการใหม่ๆ ทางการเงินบน virtual banking
“คน” หัวใจหลักขับเคลื่อนองค์กร
ในการพัฒนาทั้ง 4 มิติ สิทธิกรย้ำว่า “คน” คือหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรให้ไปสู่เป้าหมายในการทำงาน ตลอดระยะเวลาในการก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลแพลตฟอร์มและเทคโนโลยี การพัฒนาศักยภาพบุคลากรคือ หัวใจสำคัญที่จะนำพาองค์กรและการดำเนินภารกิจของ บสย. ให้เติบโตไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลง
“การพัฒนาคน ผมเชื่อใน 3 เรื่อง เมื่อธุรกิจถูก disrupt สิ่งสำคัญในฐานะผู้บริหารคือ สั่งอย่างเดียวไม่ได้ เมื่อสั่งงานแล้วต้องตามไปดูว่าเขาทำได้ไหม หากเขาทำไม่ได้เราต้องทำให้เขาดูว่าต้องทำอย่างไร และสุดท้ายหากเขายังทำไม่ได้อีก เราในฐานะผู้นำและหัวหน้างานต้องลงมือทำไปพร้อมกับเขาเพื่อให้เขาทำได้ในที่สุด”

และย้ำหนักแน่นว่า หลักการเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ให้ความสำคัญและทำมาอย่างต่อเนื่อง เพราะเชื่อว่าการที่จะขับเคลื่อนองค์กรได้คนคือหัวใจสำคัญ
“หัวใจของการขับเคลื่อนองค์กรคือ ศักยภาพบุคลากร ดังนั้น การที่ผมใช้เวลา 4 ปี เพื่อสร้างคนไม่ใช่เรื่องที่เสียเวลา แต่เป็นการสร้างพื้นฐานและทรัพยากรที่ดีไว้ให้กับองค์กร”
เส้นทางในการพัฒนาคนจึงเริ่มจากการสร้างวัฒนธรรมองค์กร การบริหารงานด้วยแนวคิด “พร้อมค้ำ พร้อมช่วย” และสร้างดีเอ็นเอที่ทำให้พนักงานพัฒนาศักยภาพและมีความภาคภูมิใจที่เป็นพนักงานของ บสย. ที่พร้อมให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs
เป้าหมายและความมุ่งมั่นตั้งใจของสิทธิกรคือ “ผมไม่ได้ต้องการให้ บสย. พบลูกค้าแค่ 2 วัน คือวันทำสัญญาค้ำประกันกับวันที่ถูกจ่ายเคลม แต่เราสามารถที่จะพบกับลูกค้าทุกๆ วันได้ เพื่อช่วยแก้ปัญหาทางการเงินและเป็นที่ปรึกษา ให้เขามาลงทะเบียนแก้หนี้ ลงทะเบียนพบกับหมอหนี้ เพื่อช่วยให้เขาสามารถเติบโตและพัฒนาไปพร้อมๆ กับแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และประสบการณ์กับเราได้”
ทั้งหมดนี้สะท้อนจากผลงานที่เขาได้รับรางวัลจากสถาบันต่างๆ มากมาย ทั้งรางวัลรัฐบาลดิจิทัล รางวัลสำเภา-นาวาทอง รางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ฯลฯ
“ผมถือว่าการเดินทางของผมกับ บสย. ตลอด 4 ปีได้ทำหน้าที่ตามเป้าหมายที่วางไว้ การวาง culture องค์กร พัฒนาบุคลากร การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์กับทุกความต้องการของผู้ประกอบการ SMEs จนถึงการจัดทำโครงสร้างการดำเนินบทบาทและภารกิจของ บสย. พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เป็น Journey ที่สำเร็จตามแผนที่นำเสนอในการคัดเลือกเข้ามาเป็นผู้บริหาร ตรงตามพันธกิจที่ได้วางไว้จากวันแรกที่มาเริ่มงานที่องค์กรแห่งนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสำเร็จจากการได้ช่วยลูกหนี้ปลดล็อก NPL ที่นับวันผู้ประกอบการที่เป็นลูกหนี้จะมีความเข้าใจมากขึ้นพร้อมเดินมาหาเราให้ช่วยปลดหนี้” สิทธิกรกล่าวทิ้งท้าย
ภาพ : บสย.
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : 'นพดา อธิกากัมพู' กระเทียมดำทำเงิน