ธุรกิจหลอดไฟแสงสว่างต้องพึ่งพิงตลาดใหญ่ที่กำลังชะลอตัวอย่างการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จึงได้รับผลกระทบระดับหนึ่ง แต่ด้วยความเป็นบริษัทที่ไม่ปิดตัวเองอยู่กับตลาดเดียว ทำให้ “L&E” เดินหน้าและไปต่อได้
ราวปลายเดือนสิงหาคม ปี 2568 ทีมงาน Forbes Thailand มีนัดสัมภาษณ์นักธุรกิจรุ่นที่ 2 ของบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายหลอดไฟและระบบไฟฟ้าแสงสว่างรายใหญ่ “L&E” ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีพอร์ตรายได้ประมาณ 2.6 พันล้านบาท เติบโตมาอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามภาวะการเติบโตของฐานลูกค้าหลักคือโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัย และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
ปัจจุบันธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวจึงส่งผลต่อยอดรายได้พอสมควร แต่ด้วยการขยายไลน์บริการใหม่ๆ ทำให้ L&E ยังเดินหน้าได้ และดูเหมือนว่าบริการใหม่นี้มีแนวโน้มค่อนข้างดี มีโอกาสเติบโตในอนาคต ถึงขั้นที่จะสามารถแยกตัวออกไปจดทะเบียนเป็นอีกบริษัทได้ นั่นคือธุรกิจบริการจัดแสงสีสำหรับงานอีเวนต์แนวบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ต การแสดงต่างๆ แม้กระทั่งงานปาร์ตี้ส่วนตัว ความต้องการของตลาดมีเข้ามาเรื่อยๆ ทั้งลูกค้าชาวไทยและต่างชาติ
“เราขยายมาจับงาน entertainment มากขึ้น จัดไฟแสงสีแบบครบวงจรด้วยเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานระดับสากลในแผนก Entertainment Lighting and L&E Beyond” อโรชา กิตติวิทยากุล ผู้จัดการแผนก Entertainment Lighting และ L&E Beyond บริษัท ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ L&E กล่าวว่า เธอได้เข้ามาช่วยบริหารและเสริมความแข็งแรงให้ธุรกิจใหม่ ผู้จัดไฟแสงสีให้เวทีและงานอีเวนต์ต่างๆ
อุปกรณ์แสงสีมาตรฐานสากล
อโรชาบอกว่า เธอเข้ามาช่วยงานที่ L&E ได้ประมาณ 8 ปี พอเข้ามาก็ได้รับมอบหมายให้ดูงานด้านการจัดแสงสีสำหรับเอ็นเตอร์-เทนเมนต์ในแผนก Entertainment Lighting และ L&E Beyond ซึ่งเดิมเป็นแผนกเล็กๆ มีไว้เพื่อบริการลูกค้า เช่น ลูกค้าโครงการที่อยู่อาศัยอาจต้องการทำโฮมเธียเตอร์หรือห้องบันเทิงเล็กๆ ให้ครบองค์ประกอบ
แต่ทุกวันนี้ถือเป็นแผนกที่รับงานจริงจัง มีสตูดิโอและการจัดแสงบนเวที ซึ่งเธอมีพื้นฐานเกี่ยวกับการจัดแสดงและเวที เพราะเรียนมาด้านละครจากอังกฤษ และมีประสบการณ์จัดแสงให้กับเวทีการแสดงเป็นเชิงเทคนิคัลด้วยอุปกรณ์ระดับมาตรฐานสากล ซึ่งหลายอย่างยังไม่มีในเมืองไทย
“อยากทำแผนกนี้ให้มันใหญ่ขึ้น ขยายฐานธุรกิจให้ได้จริงๆ เพราะเมื่อทดลองให้บริการก็พบว่าเรามีความพร้อมมากกว่าคนอื่น ทั้งในเรื่องหลอดไฟ โคมไฟ และอุปกรณ์แสงสีที่เป็นมาตรฐานสากล” อโรชาเผยความตั้งใจกับบทบาทที่ได้รับในการสร้างความเติบโตให้กับ Entertainment Lighting และ L&E Beyond ซึ่งจุดแข็งคือ ความพร้อมและอุปกรณ์ที่เป็นมาตรฐานสากล ลูกค้าที่ใช้บริการ เช่น รายการ The Voice All Stars, The Voice Thailand 2024, The Voice Pride รวมถึงรายการ Thailand Music Countdown 2024 และ 2025 รวมทั้งงานปาร์ตี้ของเหล่าคนดังก็เรียกใช้บริการของ L&E Beyond หมายความว่า เธอรับงานทุกสเกล ตั้งแต่ขนาดเล็กในกลุ่มเพื่อน 10-20 คน ไปจนถึงกิจกรรมขนาดใหญ่

นอกเหนือจากนี้ยังมีจุดแข็งเรื่องความพร้อมของอุปกรณ์ที่ใช้ ระบบไฟแสงสีของบริษัทเทียบได้กับผู้จัดอีเวนต์ใหญ่ระดับโลกที่ใช้อุปกรณ์มาตรฐานสูง ทั้งหลอดไฟและระบบจัดแสงซึ่งอโรชาย้ำว่า L&E Beyond มีเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานสากลพร้อมให้บริการอย่างครบถ้วนภายในหนึ่งเดียว รองรับการถ่ายทำกิจกรรมหรือมิวสิกวิดีโอของทีมงานต่างชาติได้อย่างสบาย
“ผู้บริหารมีความฝันอยากจะทำแผนกนี้ให้มันใหญ่ขึ้น แต่ที่ผ่านมาไม่มีคนทำ พอแอมป์เรียนจบมาก็มาช่วยดูหน่อยแล้วกัน จบดนตรีปริญญาตรี เรียนต่อด้านละครเป็นเรื่องของ technical” อโรชาย้อนเล่าถึงการเรียนของเธอซึ่งเดิมทีไม่ได้ตั้งใจว่าจะมาทำงานที่ L&E แต่เลือกเรียนเพราะความชอบทั้งด้านดนตรีและละคร แต่กลายเป็นจุดเสริมที่นำมาใช้กับบริษัทได้เป็นอย่างดี
ด้วยพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับการจัดแสงสำหรับเวทีคอนเสิร์ตและเวทีการแสดงต่างๆ เธอเล่าว่า ในช่วงที่ไปเรียนละครที่อังกฤษต้องทำเรื่องเทคนิคัลแสงสีเป็นทีมเทคนิคที่ต้องดูแบ็กสเตจทุกอย่าง กลายเป็นว่าเธอไม่รู้จักอุปกรณ์เหล่านั้นเลย ใช้ไม่เป็นจึงได้โอกาสเรียนรู้ และความรู้เหล่านี้เองที่นำมาปรับใช้กับ L&E Beyond ซึ่งมีสตูดิโอในการถ่ายทำด้วย ตั้งอยู่ที่อ่อนนุช สามารถถ่ายทำภาพยนตร์โฆษณาและอื่นๆ ได้ รองรับโปรดักชั่นของต่างประเทศได้ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยและเป็นมาตรฐานสากล

อโรชาเล่าว่า ตอนกลับมาทำ L&E สิ่งแรกที่คิดคือ อยากนำเสนอเทคโนโลยีการจัดไฟแสงสีที่เป็นมาตรฐานสากลพวกนี้ไปสู่การศึกษา อยากให้เด็กไทยได้เรียนในสิ่งที่จะต้องใช้ในการทำงาน และอยากให้ความรู้กับคนทำงานสายนี้ให้เต็มที่ “คนไทยเก่งมาก ทำทุกอย่าง DIY คนไทยมี creative และสามารถเอาตัวรอดได้ในสิ่งที่เป็นอยู่ แต่มันจะดียิ่งขึ้นหากพวกเขามีโอกาสได้รู้เท่าทันเทคโนโลยีสากลเหล่านี้” อโรชากล่าวย้ำ
เธอยังบอกด้วยว่า ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าที่ผ่านมาของไทยไม่ดี แต่มันจะดียิ่งขึ้นหากมีเทคโนโลยีใหม่เข้ามาเสริม ความเป็นคน DIY ทำทุกอย่างด้วยตัวเองมันดีอยู่แล้ว ใส่ความรู้เพิ่มเข้าไปจะได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น เธอยกตัวอย่างการจัดเวทีของต่างชาติสิ่งที่เห็นคือ หลังเวทีเรียบร้อยมาก ไม่มีสายไฟหรือสิ่งของวางตามพื้นให้วุ่นวาย เขาจะเซ็ตระบบทุกอย่างตั้งแต่การออกแบบ เพราะฉะนั้นทุกอย่างลงตัวและพอดี ไม่ต้องเสริมเติมแต่งให้มีความยุ่งยาก จึงไม่มีกองหรือก้อนสายไฟทิ้งอีเหละเขะขะหลังเวที
คุณค่าวิชาชีพเฉพาะทาง
“ประเทศเรายังให้ความสำคัญกับคนและเวลา ซึ่งคนก็ต้องอดหลับอดนอน การทำงานมีอุปสรรคหลายอย่างต้องแก้ปัญหาตลอดเวลา แต่การทำงานกับต่างชาติเขาให้ความสำคัญกับ pre-production มาก” หมายถึงการออกแบบวางแผนทำพรีโปรดักชั่นกันก่อน ค่อยมาถึงเวทีจริง ของไทยก็มีพรีโปรดักชั่นแต่มักมาจบที่หน้างานเป็นหลัก แก้ไขกันจนนาทีสุดท้าย ต่างกับของต่างชาติที่พรีโปรดักชั่นจะทำจนจบ คำนวณกับของจริงทั้งหมด ถึงเวลามาติดตั้งสะดวกรวดเร็ว ไม่ค่อยมีปัญหาหน้างาน แต่ของไทยเมื่อหน้างานไม่เรียบร้อย มีปัญหาให้ต้องแก้ไขก็ทำให้เสียเวลาเพิ่ม บางงานใช้เวลาติดตั้งเพิ่มเป็นเท่าตัว เสียทั้งเวลาและโอกาส
เมื่อพูดถึงเรื่องคน อโรชาอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามเรื่องค่าจ้างกับคนที่ทำงานเสี่ยง เช่น การปีนป่ายที่สูงเพื่อไปติดตั้งไฟหรืออะไรก็ตาม คนเหล่านี้ได้ค่าแรงแบบพื้นฐานทั้งที่มีความเสี่ยงสูง บางครั้งอาจเสี่ยงถึงชีวิตที่ต่างประเทศงานที่มีความเสี่ยงเหล่านี้ค่าแรงจะสูงเป็นพิเศษ เพราะเขาให้ค่าความเสี่ยง แต่ของไทยไม่มี นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่อโรชาบอกว่า เธอเห็นแล้วอยากแก้ไข
คนที่ต้องปีนขึ้นที่สูงไปติดไฟเดินสายทั้งระบบในต่างประเทศค่าตัวมหาศาล ทุกคนมีประกันทั้งหมด แต่ในบ้านเรายังไปไม่ถึงจุดนี้ ซึ่งเธอบอกว่า เพื่อความเป็นธรรมอย่างน้อยก็ต้องจ้างแรงงานที่มีทักษะเฉพาะ หรือมีวิศวกรเป็นหลัก ดังนั้น การรับคนของ L&E Beyond จึงเลือกคนที่เป็นช่างจบเฉพาะทางสายอาชีพ เป็นช่างมาขึ้นที่สูง และทุกคนมีค่าแรงตามที่ควรจะต้องได้ตามทักษะที่มีไม่ว่าจะจบปริญญาหรือไม่ นี่เป็นอีกหนึ่งความตั้งใจของเธอที่ต้องการช่วยสร้างทีมและให้ผลตอบแทนอย่างเป็นธรรม

L&E Beyond สร้างแบรนด์มาประมาณ 2 ปี เป็นผู้นำผลิตภัณฑ์โซลูชันแสงสว่างทั้งในไทยและอาเซียน เป็นธุรกิจที่ต่อยอดจากจุดแข็งของ L&E สร้างเป็นมิชชัน อยากให้คนที่ทำงานในประเทศนี้และคนที่อยู่ในธุรกิจบันเทิงมีการวางแผนก่อนผลิตแบบพรีโปรดักชั่นจริงๆ ซึ่ง L&E มีฟีเจอร์เพียงพอสำหรับการใช้งานในไทยอย่างมีมาตรฐานและปลอดภัย ด้วยศักยภาพโรงงานผลิตประกอบหรือออกแบบเกี่ยวกับไลท์ติ้งเพื่อต่อยอดธุรกิจของบริษัทให้สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะไฟสำหรับเวทีมีความซับซ้อนกว่าไฟทั่วไป เปลี่ยนสี ปรับแสง การควบคุมทุกการเคลื่อนไหว เป็นความท้าทายอีกอย่างในการผลิตเพื่อให้ตอบโจทย์ได้
รวมไปถึงการพิสูจน์คอนเซ็ปต์ว่าต้องใช้งานกับโปรดักชั่นระดับโลกได้จริง แม้จะเป็นปาร์ตี้เล็กๆ ถ้าใช้ไฟของ L&E จะได้แสงสีที่แตกต่างเทียบเท่ากับมาตรฐานสากล
“เป็นสิ่งที่เราอยากเสนอ ตอนนี้งานหลัก production ทำเวที The Voice ตั้งแต่ All Stars เป็นพาร์ตเนอร์หลักในการทำเวทีไฟแสงจอ LED ทุกอย่าง งาน Thailand Music Countdown เป็นงาน outdoor ที่สนามหลวงและมีงานอื่นๆ จากลูกค้าอย่างกลุ่มเซ็นทรัลมีการทำงานช่วยเหลืองานให้กันมาโดยตลอด”

มุ่งอีเวนต์ธุรกิจบันเทิง
“ตัว Beyond โฟกัสไปที่งานบันเทิงทั้งหมด เมื่อก่อนงานบันเทิงตัวไฟจะต้องมาจากต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งมีราคาแพงมาก มาจากยุโรปหรืออเมริกา ราคาต่อตัวไม่ต่ำกว่า 300,000 บาท ใช้เป็น 100 ตัว” อโรชาแจกแจงและว่า ดังนั้น ในแง่คนจัดงานต้นทุนไม่ไหวอยู่แล้ว พอไม่ไหวอาจจะข้ามไปใช้ของจีน ราคาย่อมเยาลงมา
ซึ่งจีนก็มีการพัฒนาสินค้าขึ้นมาใหม่ แต่ L&E Beyond นำเสนอโปรดักต์ที่ทำในไทยซึ่งทุกวันนี้มีคุณภาพเพียงพอและพอดีกับการใช้งาน ซึ่งเธอบอกว่า ทำได้หลายซีรี่ส์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นแสงเปลี่ยนสีธรรมดา แสงเปลี่ยนองศาได้ ทำเอฟเฟ็กต์ลายน้ำได้ มี LED ก้าวหน้ามากขึ้นทำได้หลากหลาย ราคาที่แตกต่างกัน เช่น หากนำเข้าจากยุโรปกับที่ผลิตในไทยราคาต่ำกว่ากันครึ่งหนึ่ง ถ้าจากจีนราคาใกล้เคียงกัน โดยของไทยอาจแพงกว่านิดหน่อย แต่คือไม่ต้องขนส่ง และของไทยยังมีรับประกัน 2 ปี มีของให้เลือกพร้อมทุกตัว ลูกค้าเชื่อมั่นได้ในเรื่องความปลอดภัย การใช้งาน และบริการหลังการขาย

2 ปีของ L&E Beyond เติบโตมาในแง่บุคลากรเพิ่มขึ้นมาเยอะ จาก 2 คนตอนนี้มี 20 คน ซึ่งในส่วนโปรดักชั่นมีทีมงานติดตั้ง มีครีเอทีฟคนคิดงานไปขายลูกค้า มีเอ็นจิเนียร์ทำ R&D โปรดักต์ “เวลาทำงานอย่างนี้คนที่ดูไลน์โปรดักต์จะคุยกับคนที่จัดงานว่ามีไอเดียจัดงานแบบไหน ทาง L&E จะมีโปรดักต์อะไรมารองรับจึงจะตอบโจทย์ ต้องไปคิดมาว่าอันนี้ได้ อันนี้ไม่ได้ อันนี้ควร อันนี้ไม่ควร”
ผลดำเนินงานของ L&E Beyond เติบโตขึ้นมาเยอะมาก ในเรื่องของงานอีเวนต์จากตอนแรกเป็นสเกลเล็กค่อยๆ ใหญ่ขึ้น และตอนนี้มีงานสเกลใหญ่ในการติดตั้งหลายแห่ง เช่น งานที่ไอคอนสยามใช้ไฟของ L&E ทั้งหมด และทรูไอคอนก็เช่นเดียวกัน แม้แต่ในสยามพารากอนและเซ็นทรัลก็ใช้เหมือนกัน รวมถึงงานคอนเสิร์ต GMMTV “เรามีลูกค้าที่น่ารักใน GMMTV ตอนนี้เราทำให้กับ Grammy ค่อนข้างเยอะ”
การทำงานของอโรชาพยายามเชื่อมต่องานเดิมเพิ่มแสงสีที่สมัยใหม่เข้าไป และนำเรื่องโปรดักชั่นเข้ามาเสริมช่วยสื่อกับคนปัจจุบันได้มากขึ้น ปรับเป็นมาตรฐานสากล ในทุกเวทีที่ได้จัดงาน เช่น งานแสดงโขนซึ่งชุดเครื่องแต่งกายสวยงามประณีตมาก การจัดไฟก็พยายามส่งเสริมให้เห็นความสวยงามของชุดเครื่องแต่งกายโขนที่สวยและละเอียดมาก การจัดแสงที่ดีช่วยให้การแสดงดูน่าตื่นตาตื่นใจมากขึ้น งานที่ L&E Beyond รับต่อมาในช่วงหลังๆ มีสเกลงานใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จากห้องประชุมมาเป็นหอประชุม มาเป็นเอ็กซิบิชั่นฮอลล์ และเป็นศูนย์การจัดแสดงสินค้าอิมแพ็ค และพารากอน ฮอลล์

รุก Virtual Production
อโรชายังได้เผยถึงแนวโน้มธุรกิจซึ่งเธอบอกว่า ตอนนี้แบ่งเป็น 2 ส่วน เนื่องจากว่าได้ค้นพบอีกธุรกิจในช่วงโควิดซึ่งตอนนั้นทำอะไรไม่ได้ก็มีโอกาสได้ดูว่าต่างประเทศทำอะไรจึงได้สัมผัสกับการทำเวอร์ชวลโปรดักชั่น (virtual production) หรือการทำโปรดักชั่นเสมือนจริงที่สามารถทำได้ในสตูดิโอ โดยใช้อุปกรณ์ที่ปรับเปลี่ยนไป ซึ่งเธอมีความรู้จากที่เรียนมาจึงมุ่งหน้ามาทางนี้
“เรามีสตูดิโอ X Beyond เกิดขึ้น สามารถถ่ายทำในสตูดิโอได้โดยไม่ต้องออกกองไปไหน นักแสดงไม่ต้องออกแดดไปถ่ายโฆษณาครีมกันแดด หรืออยากได้ซีนทะเลทรายก็เอาทรายมาลงแค่พื้นเท่านั้น”
เทคนิคในการทำเวอร์ชวลช่วยให้ได้ภาพเหมือนจริงโดยไม่ต้องออกไปสถานที่จริง ใช้ฉากและ AI ช่วยเซ็ตในส่วนของแสงไฟอโรชาบอกว่า ปัจจุบันได้มีการนำ AI เข้ามาประสานและได้เริ่มโปรเจกต์พัฒนากับโครงการค้าปลีกรายใหญ่มากของประเทศ นำ AI มาตรวจจับปริมาณคนใช้พื้นที่เพื่อปรับไฟให้เหมาะสม เช่น หากคนเยอะอาจปรับไฟให้สว่างขึ้นตามจำนวนคน หรือตอนนี้เวลากี่โมงแล้วปรับเวลาและสีที่ควรจะเป็น เพราะจริงๆ แล้วแสงเชื่อมโยงกับชีวิตมนุษย์จึงได้นำ AI มาประสานงานกัน
หนทางที่ L&E จะเดินไปต่อจากนี้คงจะรุกขยายไปกับการใช้ AI มากขึ้น ขณะที่คนก็พัฒนาได้ตามศักยภาพ ส่วนผลิตภัณฑ์จะใช้ AI มาเกี่ยวข้องมากขึ้น “เป้าหมายเราอยากเป็นเพื่อนคู่คิดธุรกิจบันเทิง คิดอะไรไม่ถูกก็นึกถึงเรา ตอนนี้กำลังพัฒนาอยู่ และได้ทำ research เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้มากที่สุด”
สตูดิโอที่อ่อนนุชมีพื้นที่ 400 ตารางเมตร สามารถนำรถยนต์เข้าไปถ่ายทำได้ เรียกว่าตอบโจทย์งานถ่ายทำได้แทบทุกอย่าง ซึ่งอโรชาเผยว่า พอได้มาทำตรงนี้ทำให้ค้นพบว่าประเทศไทยมีโปรดักชั่นต่างชาติเข้ามาเยอะมาก อาทิตย์หนึ่งๆ มีหลายกองมาก และมีความหลากหลาย เช่น ล่าสุดมีแร็ปเปอร์ชื่อดังจากเยอรมนีเข้ามาถ่ายทำวิดีโอ พวกเขาอยากมาเมืองไทยจึงนำทีมมาถ่ายทำด้วย
“เราเซ็ตสตูดิโอให้เป็นมาตรฐานระดับสากล อาจมองว่าเหมือน Starbucks อยู่ตรงไหนคนก็ได้รับบริการที่เป็นมาตรฐานเหมือนกัน” เธออธิบายและว่า ด้วยเหตุนี้จึงทำสตูดิโอให้เป็นมาตรฐานสากล เป็นทางเลือกของลูกค้าต่างชาติที่เข้ามา ส่วนคนไทยก็สามารถใช้บริการได้อยู่แล้ว โดยสัดส่วนต่างชาติกับไทยอยู่ที่ 60/40
บริการ L&E Beyond ในสายของเอ็นเตอร์เทนเมนต์มีโอกาสในการเติบโตไม่น้อย ดังนั้น อโรชาและทีมผู้บริหาร L&E จึงค่อนข้างมั่นใจว่าในอนาคตแผนกนี้จะสามารถแยกออกมาเป็นอีกบริษัทได้ตามฝันค่อนข้างแน่นอน
ภาพ: L&E
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : วรัญญู ศิลา AUCT เสริมแรงบิดสหการประมูล


