รู้จัก ‘Negative Income Tax’ ระบบภาษีแบบใหม่ที่รัฐเร่งศึกษาเพื่อปฏิรูปโครงสร้างภาษีไทย

<h2>​Bill Gates ผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft และมหาเศรษฐีเจ้าของทรัพย์สินมูลค่าหลักแสนล้านเหรียญสหรัฐฯ เผย ควรเก็บภาษีคนรวยที่อัตรา 62% แน่นอนว่ารวมตัวเขาเองด้วย แม้จะทำให้ความมั่งคั่งของเขาลดลงไปหลายหมื่นล้านเหรียญก็ตาม</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในซีรีส์สารคดี What's Next? The Future with Bill Gates ที่เริ่มออกอากาศผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิง Netflix เมื่อเดือนกันยายน 2024 ที่ผ่านมา Bill Gates อดีตซีอีโอแห่ง Microsoft และ Bernie Sanders สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ ผู้มีแนวคิดต่อต้านมหาเศรษฐีได้มาร่วมสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่าด้วยความมั่งคั่งและระบบภาษี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อผู้สัมภาษณ์ถาม Gates ว่า เขาคิดว่าตัวเอง ‘รวยเกินไป’ หรือเปล่า มหาเศรษฐีผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft ไม่ได้ตอบไปตามตรงว่าใช่หรือไม่ใช่ แต่เขาเผยความรู้สึกว่าบุคคลที่ร่ำรวยควรแบ่งปันความมั่งคั่งของตัวเองกับมวลมนุษยชาติ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เป็นเรื่องบ้ามากที่มีตัวตนอย่างมหาเศรษฐีอยู่ในโลก” Gates กล่าว “ทรัพย์สมบัติของแต่ละคนมีมากมายมหาศาลเสียจนหากคุณพยายามผลาญมันให้หมด คุณคงดูเหมือนกำลังเสียสติ คุณควรใช้เงินที่มีเพื่อตอบแทนสังคมมากกว่าจะผลาญมันอย่างเดียว”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เป็นที่ทราบกันดีว่า Gates เป็นมหาเศรษฐีผู้อุทิศตัวให้กับการกุศล มูลนิธิ Bill &amp; Melinda Gates ที่เขาร่วมก่อตั้งขึ้นในปี 2000 กับอดีตภรรยาได้มีการบริจาคเงินไปกว่า 8.6 พันล้านเหรียญแล้วเพื่อช่วยเหลือปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะความยากจนและความเหลื่อมล้ำ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Gates พูดถึงภาษีและการกุศลว่า “หากคุณจ่ายภาษีเรียบร้อยแล้ว ส่วนที่เหลือก็ควรแบ่งไปทำการกุศล” ย้ำมุมมองของเขาที่ให้ความสำคัญทั้งสองสิ่งนี้ ทว่าข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา คือผู้มั่งคั่งหลายคนจ่ายภาษีในอัตราต่ำกว่าคนอื่นๆ มาก​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/nj5LHwT9jhCsgbUq8u3t.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="nj5LHwT9jhCsgbUq8u3t.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Gates เคยเขียนในบล็อกส่วนตัวเมื่อปี 2019 ว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่มีรายได้จากเงินเดือนและค่าจ้างรายชั่วโมง ซึ่งมีอัตราภาษีสูงสุดอยู่ที่ 37% ในขณะที่คนรวยไม่ได้มีรายได้หลักจากเงินเดือนหรือค่าจ้าง แต่มาจากกำไรในการลงทุนซึ่งหากถือครองมากกว่า 1 ปีก็จะมีอัตราภาษีอยู่ที่ 20%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“หากให้ผมออกแบบระบบภาษี ผมอาจจะจนลงกว่าทุกวันนี้หลายหมื่นล้านเลยเหรียญ” Gates เล่าในรายการพอดแคสต์ On With Kara Swisher ที่ออกอากาศสดเมื่อวันจันทร์ที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา แต่ยังคงยืนกรานว่า “ผมจะตั้งอัตราภาษีให้สูงขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อยสำหรับกลุ่มคนรวย”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม เขาไม่สุดโต่งถึงขั้นเดียวกับ Bernie ที่มองว่าไม่ควรมีมหาเศรษฐีและในเมื่อมีมหาเศรษฐีแล้วก็ควรเก็บภาษีจากคนกลุ่มนี้ในอัตรา 99% โดย Gates มองว่าควรเก็บภาษีจากบุคคลที่มั่งคั่งในอัตรา 62% ก็พอ เหลือพื้นที่เป็นแรงจูงใจในการแข่งขันทางธุรกิจ พร้อมให้เหตุผลว่า อเมริกาคือประเทศที่ทั่วโลกอิจฉาเพราะเป็นสถานที่มีบริษัทมูลค่ามหาศาลมากมายเติบโต และความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจก็จำเป็นสำหรับรัฐบาลในการยกระดับระบบสวัสดิการสังคมที่ Bernie ต้องการผลักดัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Gates ไม่ใช่มหาเศรษฐีคนเดียวที่ให้คุณค่ากับการตอบแทนสังคมและระบบภาษี ก่อนหน้านี้ในเดือนสิงหาคม 2024 ที่ผ่านมา Jamie Dimon ประธานและซีอีโอแห่ง JPMorgan Chase ให้สัมภาษณ์ว่า การเก็บภาษีคนรวยเพิ่มขึ้น จะช่วยบรรเทาภาระหนี้สินของประเทศ และกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ พร้อมแนะนำว่าควรใช้ ‘กฎของบัฟเฟตต์ (Buffett Rule)’&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กฎของบัฟเฟตต์ มาจากแนวคิดของนักลงทุนในตำนาน Warren Buffett เมื่อปี 2011 ซึ่งวิจารณ์ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่า พนักงานในบริษัทของเขาต้องจ่ายภาษีในอัตราที่สูงกว่าเขาซึ่งเป็นมหาเศรษฐีเสียอีก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แนวคิดของ Buffett กลายไปเป็นส่วนหนึ่งของแผนภาษีในสมัยรัฐบาลของประธานาธิบดี Barack Obama ที่กำหนดให้ผู้มีรายได้มากกว่า 1 ล้านเหรียญต่อปีต้องเสียภาษีในอัตราขั้นต่ำ 30% อย่างไรก็ตามร่างกฎหมายฉบับที่รวมกฎของบัฟเฟต์เอาไว้ไม่ได้ถูกนำไปใช้จริงเพราะไม่ผ่านอภิปรายในปี 2012 แหล่งที่มา:​<a href="https://www.cnbc.com/2024/09/30/is-bill-gates-too-rich-i-would-take-away-62-percent-of-what-i-have-he-says.html" alt="Is Bill Gates too rich? ‘I would take away 62% of what I have,’ he says">Is Bill Gates too rich? ‘I would take away 62% of what I have,’ he says</a>​​​<a href="https://observer.com/2024/09/bill-gates-bernie-sanders-tax-wealthy/" alt="Bill Gates Says Billionaires Like Him Should Be Taxed Two-Thirds of Their Fortunes">Bill Gates Says Billionaires Like Him Should Be Taxed Two-Thirds of Their Fortunes</a>​ ​​<a href="https://www.businessinsider.com/bill-gates-taxes-billionaires-wealth-inequality-american-dream-sanders-philanthropy-2024-10" alt="Bill Gates calls for higher taxes on the rich — but warns against crushing the American dream">Bill Gates calls for higher taxes on the rich — but warns against crushing the American dream</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/global-world/forbes-midas-list-2024" alt="10 นักลงทุนแนวหน้าแห่งธุรกิจเทคบนทำเนียบ Midas List 2024">10 นักลงทุนแนวหน้าแห่งธุรกิจเทคบนทำเนียบ Midas List 2024</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

Bill Gates เผยมหาเศรษฐีควร ‘ตอบแทนสังคม’ และ ‘จ่ายภาษี’ แนะควรเก็บภาษีคนรวยที่อัตรา 62% 

AI ไม่ใช่ Frankenstein, ประหารผู้เสียภาษีด้วยเก้าอี้ไฟฟ้า และ ธุรกิจพิซซ่าใน New York กำลังล่มสลาย

เจาะลึก “AEOI” กฎหมายภาษีเปลี่ยนโลก

<h2>สองสิ่งไม่ธรรมดาเห็นได้ชัดว่าหายไปจากการบังคับใช้ร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีอันซับซ้อนและยืดเยื้อของพรรครีพับลิกัน สิ่งหนึ่งค่อนข้างพิศวงหน่อย แต่สำคัญอย่างแท้จริงต่อนโยบายภาษีที่มีประสิทธิภาพ และอีกสิ่งนั้นน่าประหลาดใจเมื่อดูจากที่สมาชิกรีพับลิกันต่างคุยฟุ้งถึงความสำคัญของการลงทุน และความจำเป็นที่กล่าวอ้างไว้สำหรับ 'การชดเชยรายได้' จากการหั่นภาษีส่วนใหญ่</h2>
• อัตราภาษีส่วนเพิ่ม นี่เป็นอัตราภาษีที่คุณต้องจ่ายสำหรับรายได้ถัดไป หรือรายได้ที่ “เพิ่มเติม” ขึ้นมา Ronald Reagan, John Kennedy, Jack Kemp และนักหั่นภาษีผู้ชาญฉลาดอื่นๆ ในอดีตต่างรู้ซึ้งถึงความจริงสำคัญนี้ว่า อัตราภาษีส่วนเพิ่มคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับบุคคลทั่วไปและธุรกิจต่างๆ ในการตัดสินใจว่าจะทำงานหาเงินเพิ่มหรือลงทุนที่ไหนหรือไม่ ลองมาดูตัวอย่างสุดโต่งที่บ่งชี้ประเด็นนี้กัน สมมติว่าบางคนทำงานได้เงิน 50,000 เหรียญสหรัฐฯ และเสียภาษี 10% หากเธอทำงานหนักขึ้น เธอสามารถเพิ่มรายได้นั้นเป็น 60,000 เหรียญ อย่างไรก็ตาม ถ้าเงินที่เพิ่มมา 10,000 เหรียญจะต้องเสียภาษีที่ 98% แทนที่จะเป็น 10% บุคคลนั้นจะยอมละทิ้งรายได้พิเศษไปหรือไม่ก็ปรึกษาทนายด้านภาษีหรือนักบัญชีเพื่อหาทางปกปิดมัน เช่นเดียวกับภาคธุรกิจ การลงทุนมีความเสี่ยงมากพอแล้ว แต่หากผลกำไรพิเศษใดก็ตามจะต้องเสียภาษีสูงลิบลิ่ว บริษัทอาจจะไม่ลงทุนขยายกิจการ และจะโยกย้ายเงินไปยังเขตการปกครองที่ไม่ต้องเสียภาษีแทนการคืนภาษีมีผลเพียงเล็กน้อยต่อการขยายเศรษฐกิจ เพราะนั่นไม่เปลี่ยนแปลงอัตราภาษีส่วนเพิ่ม

การลดอัตราภาษีส่วนเพิ่มต่างหากที่จะมีผลเช่นเดียวกับความหมกมุ่นในขณะนี้ของพรรครีพับลิกันเรื่องการขยายเครดิตภาษีสำหรับเด็ก เพื่อแสดงให้เห็นว่าทางพรรครักครอบครัวชนชั้นกลางและคนรายได้น้อยมากเพียงใด ผู้ปกครอง 1 คนหรือหลายคนจะจ่ายภาษีลดลง แต่อัตราภาษีส่วนเพิ่มของพวกเขาจะไม่เปลี่ยนแปลงไป (เครดิตภาษีดังกล่าว “ขอคืนเงิน” ได้บางส่วน ซึ่งหมายความว่าทางครอบครัวอาจได้เงิน แม้ไม่ได้จ่ายภาษีเงินได้ก็ตาม)

ในการกระตุ้นเศรษฐกิจอเมริกันอันซบเซา ทั้ง John Kennedy และ Ronald Reagan หั่นอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากระดับบนจนถึงระดับล่าง การลดภาษีดังกล่าวไม่ได้ผูกพันกับการลดการใช้จ่ายหรือการขจัด หรือการเรียกคืนเงินจากการลดหย่อนภาษี (สำหรับร่างกฎหมายภาษีใหญ่ครั้งที่ 2 ซึ่งเกิดขึ้นหลังร่างแรก 5 ปี Reagan กำจัดการหลบเลี่ยงภาษีจำนวนมากทิ้ง แต่เรื่องอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาถูกล้มพับไป)

แนวทางดังกล่าวตรงข้ามกับสิ่งที่รีพับลิกันทำครั้งนี้กับเรื่องภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รีพับลิกันตัดหรือหั่นการลดหย่อนภาษีมากมายแต่ไม่ได้ปรับลดอัตราภาษี ในความเป็นจริงแล้ว สำหรับผู้มีรายได้สูงบางราย บุคคลที่จัดแบ่งเงินเก็บจำเป็นไว้ไม่เท่ากันสำหรับการลงทุนซึ่งช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตนั้น อัตราภาษีส่วนเพิ่มจะปรับตัวขึ้นต่างจากความพยายามของ JFK และ Reagan งานของรีพับลิกันในเรื่องภาษีบุคคลธรรมดาช่างน่าอนาถใจ แทบไม่มีผลอะไรเลยในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่เคยมีครั้งไหนในรอบหลายปีแห่งประวัติศาสตร์

การปรับลดภาษี ที่ใช้ความพยายามอย่างมาก แต่ได้ผลเพียงน้อยนิด รีพับลิกันควรจะออกกฎหมายลดอัตราภาษี 10% สำหรับทุกคน ในการสร้างความมั่นใจว่าคนทำงานทั้งหมดจะได้รับเงินค่าจ้างสูงขึ้น รีพับลิกันควรทำสิ่งที่เคยทำเมื่อปี 2011-2012 และยกเลิกภาษีค่าจ้างส่วนกลางสองจุดแรก

• กำไรส่วนทุน นี่เป็นตัวสร้างความตะลึงจริงๆ สำหรับพรรคซึ่งควรจะเป็นแชมป์แห่งการส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ไม่มีสักครั้งเลยตลอดเวลาช่วงหลายเดือนแห่งการรวมร่างกฎหมายหั่นภาษี ที่แนวคิดลดภาษีกำไรจากการขายหลักทรัพย์ได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง การหั่นภาษีส่วนนี้เป็นการทำหนึ่งแต่ได้ถึงสองอันทรงพลังคือรายได้มักจะเพิ่มขึ้นอย่างทันที และการลงทุนที่มีประสิทธิผลได้รับการกระตุ้น เงินที่เพิ่มขึ้นทันทีนี้อาจใช้ “เติมเงิน” ในการลดภาษีเพิ่มเติม แล้วมีอะไรไม่น่าพอใจล่ะ เห็นได้ชัดว่ารีพับลิกันเหมือนสิงโตขี้ขลาดที่กลัวว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้ จะเปิดช่องให้โดนข้อหาว่าเอาใจ “คนรวย” เอาล่ะ

รีพับลิกันควรเรียนรู้มาตั้งนานแล้วว่าเดโมแครตจะขว้างข้อกล่าวหาปลอมนี้มาอยู่ดีไม่ว่าอย่างไรก็ตามถึงกระนั้น รีพับลิกันถือว่าโชคดี เศรษฐกิจกำลังเร่งเกียร์ขึ้นแค่จากความจริงที่ว่า วอชิงตันไม่ได้คิดค้นแผนการรายวันถึงหนทางใหม่ๆ ในการขัดขวางธุรกิจ แตกต่างจากช่วงหลายปีของ Obama มาตรการผลักดันการผ่อนคลายกฎระเบียบของประธานาธิบดี Trump กำลังออกผล และข้อดีของการเฆี่ยนอัตราภาษีนิติบุคคล และการหั่นภาษีอย่างมีนัยสำคัญของธุรกิจความเป็นหุ้นส่วนและอื่นๆ ที่เรียกว่าpass-throughs (ซึ่งผลกำไรส่งผ่านโดยตรงไปยังเจ้าของแต่ละรายในสถานะรายได้ส่วนบุคคล) จะเอาชนะจุดอ่อนอันเลวร้ายอื่นๆ หลายครั้งจากสิ่งที่รีพับลิกันหว่านเอาไว้

<figure><img style="width: 250px; height: 206px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/d2985bc45a303bf12c76eda93c0dc740.png" alt="" width="250" height="206" /><figcaption> STEVES FORBES,EDITOR-IN-CHIEF</figcaption></figure>

&nbsp;

เรียบเรียง: ชูแอตต์

<hr />

<a href="http://bit.ly/2HaFurN">คลิกอ่านบทความด้านการลงทุนและการบริหารธุรกิจ ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ มีนาคม 2561 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="http://bit.ly/2HaFurN"><img style="width: 250px; height: 328px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/b016375a9b6beb0537fe391ea3131a53.jpg" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events