<h2>ผู้นำที่ประสบความสำเร็จไม่ได้มีเวลาในแต่ละวันมากไปกว่าเราทุกคน แต่พวกเขารู้วิธีใช้เวลาอย่างคุ้มค่า พวกเขาไม่ใช่แค่ยุ่งกับการทำงาน แต่การทำงานยังเต็มเปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ พวกเขาเหล่านี้ล้วนชำนาญศิลปะการบริหารเวลาเพื่อโฟกัสกับสิ่งสำคัญที่สุด ตัดสิ่งรบกวนและงานที่ไม่มีประโยชน์ออก</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หากคุณกำลังมองหาแนวทางใช้เวลาในแต่ละวันให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ลองนำวิธีการเหล่านี้ไปปรับใช้ และพึงระลึกไว้ว่าทุกนาทีมีค่า มาดูกันผู้นำที่ประสบความสำเร็จแต่ละคนบริการจัดการเวลากันอย่างไรบ้าง 1. จัดลำดับความสำคัญและโฟกัสให้ดี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คุณอาจรู้ลำดับความสำคัญของงานต่างๆ แต่คุณได้ลงมือปฏิบัติงานเหล่านี้อย่างเคร่งครัดแล้วหรือยัง? หรือกำลังปล่อยให้ตัวเองวอกแวกไปทำอย่างอื่น?&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้นำที่ประสบความสำเร็จรู้ว่างานไหนสำคัญและโฟกัสไปยังงานพวกนั้นก่อนเป็นอันดับแรก ไม่เสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมโดยไร้ข้ออ้าง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ยกตัวอย่าง Warren Buffett ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าใช้กลยุทธ์ “แบ่ง 2 รายการ” โดยเริ่มจากเขียนรายการเป้าหมาย 25 ข้อ จากนั้นเลือกวงที่สำคัญที่สุดเพียง 5 ข้อ และไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ให้หลีกเลี่ยงเป้าหมายที่เหลือทั้งหมด จดจ่อกับสิ่งที่สำคัญจริงๆ แทนที่จะถูกหันเหความสนใจด้วยงานเล็กๆ น้อยๆ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในการนำกลยุทธ์นี้มาปรับใช้ ให้เขียนรายการงานที่สำคัญที่สุดในแต่ละวันขึ้นมา 3 ข้อ งานเหล่านี้ควรจะส่งผลกระทบที่ใหญ่พอจะพาคุณไปสู่เป้าหมาย ตั้งใจทำงานเหล่านี้ให้เสร็จสิ้นเสียก่อนที่จะไปทำอย่างอื่น และอย่าลืมทำให้แน่ใจว่าเวลาของคุณจะไม่ถูกใช้ไปกับสิ่งที่คนอื่นคิดว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน 2. ขจัดการตัดสินใจที่ไม่จำเป็นออก &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความเหนื่อยล้าจากการตัดสินใจ (Decision Fatigue) มีอยู่จริง ผู้นำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จต่างลดความซับซ้อนของกิจวัตรเพื่อลดตัวเลือกต่างๆ ที่พวกเขาต้องตัดสินใจในแต่ละวัน ดังเช่นกรณีของ Mark Zuckerberg ที่สวมใส่เสื้อผ้าแบบเดิมๆ ทุกวัน จะได้ไม่ต้องเสียเวลาและพลังงานคิดว่าจะแต่งตัวอย่างไรดี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แนวคิดนี้ต่อยอดได้ไกลกว่าแค่การเลือกเสื้อผ้า ผู้นำชั้นยอดล้วนมองหาตัวช่วยหรือลดขั้นตอนในการทำกิจกรรมต่างๆ ให้ได้มากที่สุด เริ่มจากกิจวัตรประจำวันก่อนเป็นอันดับแรก ในส่วนของการทำงาน ให้สร้างเทมเพลต (Template) สำหรับงานที่ต้องทำซ้ำๆ นำระบบจัดตารางเวลาอัตโนมัติ (Automate Schedule) มาใช้ หรือไม่ก็ตั้งค่าการตอบคำถามโดยพื้นฐานเอาไว้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บางครั้งการจ่ายเงินเพื่อช่วยให้ชีวิตดีขึ้นก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ลองมองหาผู้ช่วยเสมือนออนไลน์ (Virtual Assistant) ให้มารับมือกับงานที่คุณต้องทำซ้ำๆ ทุกสัปดาห์ ยิ่งคุณใช้เวลาน้อยลงกับสิ่งไม่สำคัญ คุณก็จะยิ่งเหลือพลังงานไปใช้กับสิ่งสำคัญมากขึ้น เก็บสมองของคุณไว้ทำสิ่งที่จำเป็นดีกว่า 3. รักษาเวลาเยี่ยงชีพ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บรรดาผู้นำชั้นยอดต่างรักษาเวลายิ่งกว่าทรัพย์สินล้ำค่าชิ้นใด ยกตัวอย่าง Ingvar Kamprad ผู้ก่อตั้ง IKEA ที่แบ่งเวลาในแต่ละวันด้วย “กฎ 10 นาที” เขาจะใช้เวลาทุก 10 นาทีให้เกิดประโยชน์มากที่สุด เพื่อให้มั่นใจว่าทุกนาทีจะผ่านไปโดยไม่เสียเปล่า การปฏิบัติตามกฎนี้อย่างเคร่งครัดช่วยให้เขาสามารถโฟกัสกับงานสำคัญและหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่สิ้นเปลืองเวลาซึ่งอาจเบียดเบียนตารางงานของเขา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จัดการแต่ละนาทีอย่างแม่นยำ ล็อกตารางเวลาไว้สำหรับงานที่ต้องใช้สมาธิและการจดจ่อ แบ่งเวลาสำหรับการประชุม อีเมล และกิจกรรมอื่นๆ ที่มีแนวโน้มกินเวลาของคุณให้ชัดเจน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปฏิเสธสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับงานสำคัญของคุณ และอย่าลังเลที่จะขจัดสิ่งรบกวนออกไปให้หมด มีแค่ตัวคุณเองเท่านั้นที่รักษาเวลาของคุณได้ 4. แบ่งสรรงานต่างๆ ให้คนอื่นบ้าง &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไม่มีผู้นำคนไหนจะพิชิตเป้าหมายได้ด้วยตัวคนเดียว เจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จหลายคนแบ่งสรรงานแก่ทีมที่เชื่อใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้พวกเขาช่วยจัดการงานซึ่งผู้นำไม่จำเป็นต้องลงมือทำเอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Jeff Bezos เคยพูดถึงความสำคัญของการคิดเพื่อตัดสินใจอย่างมีคุณภาพในเวลาสั้นๆ และส่วนที่ขาดไม่ได้ในการจะทำเช่นนั้น คือต้องรู้ว่าควรปล่อยงานให้คนอื่นทำเมื่อไหร่ วัตถุประสงค์ของการเคลียร์ตารางเวลาก็เพื่อทำงานซึ่งมีเพียงแค่คุณเท่านั้นที่ทำได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Sara Blakely ผู้ก่อตั้ง Spanx กล่าวว่า “ถ้าคุณคิดว่าใครสักคนสามารถทำงานได้ถึง 80% เทียบการที่คุณลงมือทำเอง ก็ส่งต่อให้เขาทำเลย!”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เริ่มต้นอย่างแข็งแกร่ง มองหางานที่คนอื่นๆ สามารถรับมือได้ จากนั้นก็ปล่อยให้ทีมของคุณรับผิดชอบโดยที่คุณคอยสนับสนุนพวกเขา สร้างทักษะและความมั่นใจแก่ผู้คนรอบตัวคุณ เพื่อที่พวกเขาจะได้มีกำลังใจทำงานอย่างดีเยี่ยมแม้คุณไม่ได้อยู่คอยชี้แนะก็ตาม ฝึกฝนการบริหารจัดการเวลาให้เชี่ยวชาญ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่าเพียงแค่ยุ่งกับการทำงาน แต่จงทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลำดับความสำคัญและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออก รักษาเวลาอันมีค่าของคุณให้ดี และแบ่งงานให้คนอื่นทำบ้าง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดำเนินรอยตามแนวทางของบรรดาผู้นำที่ประสบความสำเร็จระดับโลก เพื่อทำงานและจดจ่อกับเป้าหมายให้ได้มากขึ้นโดยที่ไม่ต้องเคร่งเครียดมากนัก คอยดูแลทุกอย่างให้เรียบร้อย มีจุดมุ่งหมายชัดเจน และใช้เวลาในแต่ละสัปดาห์ให้คุ้มค่ากว่าเดิม แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a href="https://www.forbes.com/sites/jodiecook/2024/09/18/time-management-hacks-from-the-worlds-most-successful-leaders/" alt="Time Management Hacks From The World’s Most Successful Leaders">Time Management Hacks From The World’s Most Successful Leaders</a> โดย Jodie Cook​<a href="https://unsplash.com/photos/person-holding-notepad-and-pen-flat-lay-photography-flRm0z3MEoA" alt="Photo by Marissa Grootes">Photo by Marissa Grootes</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/hr/tips-to-make-new-year-s-resolutions-stick" alt="5 เคล็ดลับพิชิตเป้าหมาย เปลี่ยนตัวเองรับปีใหม่ ไม่ให้หมดกำลังใจระหว่างทาง">5 เคล็ดลับพิชิตเป้าหมาย เปลี่ยนตัวเองรับปีใหม่ ไม่ให้หมดกำลังใจระหว่างทาง</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘เวลา’ คือทรัพย์ล้ำค่า เปิด 4 วิธีบริหารเวลา แบบฉบับนักธุรกิจระดับโลก

<h2>คนส่วนใหญ่รู้จัก Ryan Reynolds ในฐานะดาราดังแห่ง Hollywood เจ้าของบทนำจากภาพยนตร์เรื่อง Deadpool และ Green Lantern แต่หากใครเคยดูรายการ Welcome to Wrexham ก็น่าจะพอรู้ว่าเขาประสบความสำเร็จในฐานะเจ้าของธุรกิจด้วยเช่นกัน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แล้วคุณรู้ไหมว่าเขาประสบความสำเร็จมากแค่ไหน?&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Forbes ประเมินมูลค่าธุรกิจทั้งหมดของ Ryan Reynolds รวมอยู่ที่ราว 1.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งมีทั้งสโมสรฟุตบอลสัญชาติอังกฤษ แบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เอเจนซีโฆษณา และอื่นๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ชัดเจนเลยว่าผู้ชายคนนี้ไม่เคยขาดไอเดียดีๆ เลย เขายกระดับความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองซึ่งนำไปสู่ความสำเร็จ และเมื่อเร็วๆ นี้เขาก็เพิ่งจะแบ่งปันคำแนะนำดีๆ ที่อาจฟังดูเหนือความคาดหมาย ทว่าก็มีประสิทธิภาพและใช้งานได้จริง การเป็นนักแสดงดังไม่ง่าย และมีวันที่เงินขาดมือเช่นกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลายคนอาจคิดว่าการเป็นนักแสดงแถวหน้าของ Hollywood จะช่วยเปิดโอกาสให้สามารถเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ ที่จำเป็นในการผลักดันแต่ละโปรเจ็กต์จนสำเร็จลุล่วงด้วยดี แต่ความคิดนั้นผิดถนัด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Reynolds เผยในการให้สัมภาษณ์เพื่อโปรโมตภาพยนตร์ Deadpool and Wolverine กับ New York Times ว่า การทำภาพยนตร์ Deadpool ภาคแรกนั้นเป็นไปอย่างยากลำบาก เขาสู้เพื่อโปรเจ็กต์นี้ถึง 10 ปีก่อนจะมีคนตกลงร่วมด้วย ซึ่งทุนที่ได้มาก็น้อยมาก และบรรดาโปรดิวเซอร์ก็ไม่เชื่อว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีเสียงตอบรับที่ดี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ผมยอมไม่รับค่าจ้างเพื่อทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้มีโอกาสฉายในโรงครับ พวกเขาไม่ยอมให้นักเขียนบทคู่ใจของผม Rhett Reese กับ Paul Wernick เข้าร่วม ผมก็เลยเอาเงินที่ผมได้มาไม่มากนักจ่ายให้พวกเขาได้มาร่วมทีมกับผม” Reynolds ย้อนรำลึกความหลัง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แทนที่ Reynolds จะมองว่าการที่คนอื่นๆ ไม่เชื่อมั่นเหมือนเขาและทุนที่มีไม่มากจะทำให้ภาพยนตร์ล้มเหลว เขากลับพบว่าการทำงานภายใต้ข้อจำกัดอันท้าทายช่วยเพิ่มระดับความคิดสร้างสรรค์ของเขา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“หนึ่งในศัตรูตัวฉกาจของความคิดสร้างสรรค์คือเวลาและเงินที่มากเกินไป” นักแสดงหนุ่มกล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การไม่มีเงินไปจ้างทีมสตันต์แมนและทำระเบิดสุดอลังการนับเป็นการบังคับให้ทีมงาน Deadpool ต้องทุ่มเทกับคาแรกเตอร์และเนื้อเรื่องอยู่กลายๆ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็เป็นปัจจัยสำคัญในการเอาชนะใจคนดู พาภาพยนตร์ Deadpool ดังเป็นพลุแตกกวาดรายได้ 782.8 ล้านเหรียญจากทุนสร้างเพียง 58 ล้านเหรียญ เงินเยอะเกินไป อาจดับไฟสร้างสรรค์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกเหนือจากธุรกิจภาพยนตร์แล้ว แนวคิดของ Reynolds ยังนำไปประยุกต์ใช้ในธุรกิจอื่นได้ด้วยเช่นกัน เพราะเป็นข้อเท็จจริงทั่วไปที่ใครอีกหลายๆ คนต่างเคยประสบมา ยกตัวอย่างกรณีที่เกิดขึ้นในปี 2016 ซึ่งเป็นปีที่เงินลงทุนไหลสะพัด Mark Suster นักลงทุนผู้เชี่ยวชาญออกมาเตือนบรรดาสตาร์ทอัพให้ระมัดระวังไม่ระดมทุนมากเกินไป เพราะการมีเงินมากจะทำให้วินัยทางการเงินหละหลวมและเพิ่มความคาดหวังที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงแก่บริษัท และความคิดสร้างสรรค์ในการทำงานก็ยังลดน้อยลงอีกด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“แน่นอนครับว่าผู้ก่อตั้งธุรกิจมักจะไม่รู้สึกแบบนี้กัน แต่ข้อจำกัดบีบคั้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์จริงๆ” Suster เขียนไว้ในบล็อก “ผมมองว่ามันเป็นการกระตุ้น เพราะมันก็เป็นวิธีหนึ่งในการย้ำเตือนตัวเองให้กระบวนการทำงานมีความคืบหน้าเสมอ” และเสริมว่า “เงินเยอะไป อาจดับไฟสร้างสรรค์”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เช่นเดียวกับ Gary Vaynerchuk นักธุรกิจชาวอเมริกันผู้เป็นเจ้าของกิจการอันหลากหลาย เขาเคยบอกว่าข้อจำกัดจะช่วยให้แน่วแน่กับเป้าหมายและเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ “การมีทรัพยากรจำกัดบังคับให้คุณต้องตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะทำอะไรและไม่ทำอะไร”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สอดคล้องกับกรณีของ Evan Williams ผู้ร่วมก่อตั้ง Twitter และ Medium ผู้เคยเล่าว่าหลัง Twitter ประสบความสำเร็จ เขาก็ได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนอย่างล้นหลามของที่หันมาทำ Medium จนเขาต้องสร้างข้อจำกัดขึ้นมาเพื่อกระตุ้นไฟสร้างสรรค์ของทีมงาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“กับ Medium เรามีทีมวิศวกรที่จะสร้างอะไรก็ได้ ตอบโจทย์เป้าหมายอันยิ่งใหญ่ และเงินทุนมหาศาล แต่เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเราจะไม่สร้างสิ่งที่ซับซ้อนจนเกินไปและคนอื่นๆ จะไม่เข้าใจ ด้วยการกำหนดเดดไลน์ครับ” Williams อธิบาย “เรามีสิ่งต้องทำในระยะเวลาสั้นๆ มากกว่าทีมอื่นๆ ที่ผมเคยเห็น มันทั้งวิเศษและสนุก บอกตามตรงครับ ก่อนกำหนดเดดไลน์ เราเถลไถลกันไปเรื่อยเลย”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แน่นอนว่ามีวิทยาศาสตร์รองรับแนวคิดของพวกเขา ผลการศึกษาหลายชิ้นเผยว่า แรงกดดันด้านเวลาอย่างต่อเนื่องและความยุ่งวุ่นวายไร้ที่สิ้นสุดอาจส่งผลเสียต่อความคิดสร้างสรรค์ก็จริง แต่การทำงานภายใต้ข้อจำกัดในระยะเวลาสั้นๆ ช่วยให้ไม่วอกแวกและตระหนักในหน้าที่ ซึ่งผลักดันให้ผู้คนสามารถตัดสิ่งรบกวนออกไป ทุ่มเทกับสิ่งสำคัญ และทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม ข้อจำกัดเท่ากับความคิดสร้างสรรค์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้ประกอบการฝีมือดีมากมายต่างก็หวังว่าจะมีปัญหาแบบเดียวกับ Evan Williams หรือ Ryan Reynolds ทว่าการขาดแคลนเวลาและเงินก็เป็นอุปสรรคของใครหลายคนด้วยเช่นกัน คงไม่มีใครออกมาต่อต้านการอัดฉีดเงินให้ผู้ประกอบการรายย่อยที่เข้าไม่ถึงโอกาสแต่คุ้มค่าที่จะลงทุนหรอก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กว่าจะไปถึงจุดที่ประสบความสำเร็จได้ ผู้คนมากมายต้องคอยพะวงว่าความฝันจะถูกฉุดรั้งไว้ด้วยปัจจัยด้านเวลาและเงิน หากสิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นกับคุณ ขอให้นึกถึงคำพูดของ Reynolds เอาไว้คอยย้ำเตือนตัวเองว่า เราสามารถมองมุมกลับและพลิกสถานการณ์จากร้ายให้กลายเป็นแรงผลักดันได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การมีทรัพยากรพร้อมสรรพเป็นเรื่องดี แต่อย่าลืมว่าข้อจำกัดก็ส่งผลเชิงบวกได้ด้วยเช่นกัน การมีเงินและเวลาน้อยทำให้คุณจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับสิ่งที่จำเป็นโดยมิอาจหลีกเลี่ยง พาให้คุณทำงานเร็วขึ้นและปลุกจิตวิญญาณนักสู้ คุณจะนึกไอเดียดีๆ ได้ซึ่งหากสถานการณ์ต่างออกไป ความคิดเหล่านั้นก็อาจไม่มีในหัวของคุณ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ท้ายที่สุดแล้ว ข้อจำกัดก็อาจทำให้คุณประสบความสำเร็จได้มากกว่าการมีอิสระเรื่องเงินและเวลาเสียอีก แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a href="https://www.inc.com/jessica-stillman/13-words-ryan-reynolds-exploded-huge-myth-creativity-success.html" alt="With 13 Words, Ryan Reynolds Just Exploded a Huge Myth About Creativity and Success">With 13 Words, Ryan Reynolds Just Exploded a Huge Myth About Creativity and Success</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/global-world/3-mothers-who-inspired-the-billionaires" alt="‘มหาเศรษฐีโลก’ เล่าเรื่องแม่ ผู้สร้างแรงบันดาลใจสู่ความยิ่งใหญ่ระดับสากล">‘มหาเศรษฐีโลก’ เล่าเรื่องแม่ ผู้สร้างแรงบันดาลใจสู่ความยิ่งใหญ่ระดับสากล</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เบื้องหลังความสำเร็จของ Ryan Reynolds ‘ใช้ข้อจำกัดปลุกพลังสร้างสรรค์’

<h2>"การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ" สร้างได้อย่างไร คำถามคลาสสิกของมนุษย์ออฟฟิศที่ได้ยินกันบ่อย ซึ่งคำตอบก็คงคลาสสิกพอกัน และเดาได้ไม่ยากว่าคนส่วนใหญ่คิดสิ่งใด</h2>
วันนี้จะชวนคุยเรื่อง PRODUCTIVITY (ผลลัพธ์) เพื่อต่อกรกับความยุ่งที่ถาโถมในแต่ละวันกันค่ะ ..เวลาพูดถึง Productivity เรามักนึกถึงการทำงานของเครื่องจักรในโรงงานใหญ่ๆ ที่มีสายพานการผลิตที่ซับซ้อน ซึ่งให้ภาพ Productivity ที่ชัดเจนมากในมุม input, output, defect แต่ครั้งนี้จะขอโฟกัส Productivity ที่ใกล้ตัวพวกเรามากขึ้น นั่นคือ Productivity ของมนุษย์ในการสร้าง การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

“เพราะมนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักร” มนุษย์จึงไม่สามารถกดปุ่มแล้วผลิตผลงานออกมาได้ทันทีแบบนันสต็อป 24/7 (24 ชั่วโมงตลอดเวลา 7 วัน) เหมือนที่เครื่องจักรทำได้ เรามีมิติของ “ร่างกาย” และ “จิตใจ” พ่วงเข้ามาในสมการนอกเหนือไปจากทักษะและความสามารถในการผลิตผลงาน

เรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร? หากคนคนหนึ่งมีศักยภาพและทักษะที่เต็มเปี่ยมเพียงพอที่จะทำงาน 1 ชิ้นให้สำเร็จด้วยดี แต่ถ้าเขาไม่มีใจ ไม่อยากทำหรือไม่พร้อมที่จะทำงานชิ้นนั้นก็อาจไม่มีวันสำเร็จก็เป็นได้ นี่เป็นตัวอย่างในมิติด้านจิตใจ

หรืออีกนัยหนึ่งหากคนคนนั้นมีใจอยากที่จะทำงานชิ้นนั้นมาก (ผนวกกับมีทักษะเป็นทุนเดิม) แต่หากคนคนนั้นอดนอนเป็นคืนที่ 3 ติดต่อกัน ต่อให้อยากทำงานหรือทำงานเก่งเพียงใด ก็เป็นการยากที่เขาจะทำงานนั้นให้สำเร็จลุล่วงตามใจปรารถนาได้ นี่คือตัวอย่างมิติด้านร่างกาย

ทำไมเราจึงชวนคุยเรื่องมิติด้านร่างกายและจิตใจ? เพราะอยากให้ทุกท่านลองใช้ช่วงเวลานี้ “หยุดสักครู่” (pause) เพื่อสำรวจตัวเองว่าที่เรายุ่งและหัวหมุนกับงานที่ต้องส่งและประชุมที่ประเดประดัง (แถมยังทยอยเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย..ซึ่งยังไม่รวมถึงวันที่ work from home ที่ต้องอยู่กับหน้าจอและออนไลน์ตั้งแต่เช้าตรู่จนดึกดื่น)

รู้สึกเหมือนว่า Productivity กำลังลดน้อยถอยลงไปทุกขณะ ใกล้หมดไฟเข้าไปทุกที..เรากำลังเผชิญความท้าทายในมิติใดเป็นพิเศษ? และเราจะวางแผนในการเติมพลังให้กับมิตินั้นๆ ด้วยวิธีหรือกิจกรรมใด? การที่เราได้มีเวลาหยุดชั่วครู่เพื่อตระหนักรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริง รวมถึงได้คิดและหาวิธีจัดการที่เหมาะสม เป็นอีกเคล็ดลับหนึ่งในการใช้สมองส่วนหน้า (ส่วนที่ใช้คิด วางแผน และตัดสินใจ) เพื่อเพิ่ม Productivity

ไม่ว่าสภาพแวดล้อมภายนอก (งานที่ต้องส่ง โปรเจ็กต์ ประชุม อีเมล ข้อความ โซเชียลมีเดีย ความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิด รวมถึง Netflix ฯลฯ)) จะถาโถมเข้ามาให้เรายุ่งเพียงใด หนึ่งสิ่งที่อยากให้ตระหนักและเตือนตัวเองบ่อยๆ คือ เราทุกคนเกิดมาพร้อม CHOICES! ทุกคนมี “ทางเลือก” มากกว่าที่คิด! เราสามารถเลือกบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ ผนวกเข้ากับความคิดสร้างสรรค์ (จากสมองส่วนหน้า) เพื่อเพิ่ม Productivity ได้

มาดูกันว่ามี Choices อะไรบ้างที่จะช่วยให้คุณบรรลุทุกผลลัพธ์ที่ต้องการไม่ว่าความยุ่งจะรุมเร้าซักเพียงใด

1.ทางเลือกในการเน้นทำสิ่งสำคัญที่ส่งผลต่อเป้าหมายที่ต้องการ มากกว่าคอยจัดการกับความความเร่งด่วนที่ประเดประดัง (Important, than Urgent)

2.ทางเลือกในการพุ่งเป้าสู่ผลลัพธ์ที่เหนือขีดจำกัด มากกว่าหยุดนิ่งอยู่กับที่ (Extraordinary, than Ordinary)

3.ทางเลือกในการจัดตารางเวลาให้กับงานสำคัญ มากกว่าวุ่นวายไปกับเรื่องหยุมหยิมเล็กน้อยที่เข้ามารบกวนตลอดเวลาระหว่างวัน (Schedule Big Rock, than sort Gravel)

4.ทางเลือกในการเป็นผู้ควบคุมเทคโนโลยี มากกว่าเป็นทาสที่ขาดเทคโนโลยีไม่ได้ (Rule Technology, than be Ruled)

5.ทางเลือกในการหมั่นเติมพลังชีวิตอย่างสม่ำเสมอ มากกว่าอยู่อย่างหมดไฟไปวันๆ (Renewal, than Burn Out)

(อ้างอิงจากหนังสือ “The 5 Choices, The Path to Extraordinary Productivity)

<img class="alignnone size-full wp-image-52854" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/10/4FB02DA9-AB1D-46E5-ABE5-3B02677016A9.png" alt="" width="334" height="492" />

Choices ทั้ง 5 เหล่านี้คือสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญด้าน Productivity และคุณหมอด้านสมองได้ทำการค้นคว้าวิจัย และแนะนำให้ฝึกบริหารจัดการอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ เพราะเรื่องใดๆ ก็ตามหากเรา “ไม่เลือก” ที่จะตัดสินใจและลงมือทำเสียก่อนตั้งแต่ต้นมือในกาลต่อมามักจะมีบุคคลอื่นเข้ามาทำหน้าที่ในการ “เลือกแทน” เราเสมอ และโดยมากแล้วทางเลือกที่คนอื่น “เลือกให้” มักไม่ใช่ทางเลือกที่เราต้องการเสียด้วย!

หากฝึกเลือกใช้ชีวิตตาม Choices ทั้ง 5 อย่างสม่ำเสมอจนกระทั่งเกิดเป็นนิสัยใหม่แล้ว มั่นใจได้เลยว่าคุณจะสามารถบรรลุ Productivity ที่เหนือขีดจำกัดทั้งในเรื่องงานและชีวิตส่วนตัวอย่างแน่นอน

<img class="alignnone size-full wp-image-52855" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/10/7F8415D0-43A2-46CA-8B54-246C35E13A2F.jpg" alt="" width="750" height="729" />

คนที่งานยุ่งทั้งวัน ไม่มีอะไรการันตีได้ว่าวันนั้นเขาจะบรรลุผลลัพธ์ที่ต้องการ... ในทางกลับกัน คนที่ไม่ยุ่งเลยในวันนั้นๆ อาจเป็นวันที่เขาบรรลุผลลัพธ์เหนือขีดจำกัดอย่างยิ่งยวดก็เป็นได้ .....เพราะ “Productivity is NOT Busyness!” ความยุ่งกับผลลัพธ์ที่ได้เป็นคนละเรื่องกันอย่างสิ้นเชิง

ขอให้วันนี้เป็นวันที่คุณไม่ยุ่ง..และเป็นวันที่บรรลุ Productivity ที่ต้องการค่ะ ++

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-52853 size-thumbnail" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/10/ฉัตรฤดี-บริภารัตน์_1001-150x150.jpg" alt="" width="150" height="150" />
บทความโดย
ฉัตรฤดี บริภารัตน์
Senior Consultant, Pacrim Group

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

สนใจรับทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักสูตร “The 5 Choices, The Path to Extraordinary Productivity” โดย แพคริม และ FranklinCovey ติดต่อคุณเบ็ญจวรรณ์  งามระลึก โทร. 083-495-6915 อีเมล: benjawan@pacrimgroup.com   หรือคลิกอ่านเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ <a href="https://www.pacrimgroup.com/program/the-5choices/">PacrimGroup</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events