<h2>3 จังหวัดกลุ่มภาคกลางตอนล่าง 1 ผสานพลังเปิดเกมรุกอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเมืองรองรอบกรุง(เทพฯ) เปิดประสบการณ์ “เที่ยวทริป..ไฮบริดทัวร์” ปลดล็อกการท่องเที่ยวในรูปแบบ Virtual Trip บนแพลตฟอร์ม Virtual Tour 360<sup>๐</sup> พร้อมเลือกซื้อผลิตภัณฑ์โอทอปผ่าน “Digital Eye” ในรูปแบบของ World of VR 360º</h2>
<img class="alignnone size-full wp-image-51087" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/09/MOTS_นายณัฐภัทร-สุวรรณประทีป-ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี.jpg" alt="" width="600" height="400" />

<strong>ณัฐภัทร สุวรรณประทีป </strong>ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี เปิดเผยว่า ท่ามกลางความกังวลใจต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผู้คนส่วนใหญ่ต่างมีความกังวลจึงไม่กล้าออกมาท่องเที่ยว ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวหยุดชะงักเป็นเวลานาน แม้กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 1 ซึ่งประกอบด้วย จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดราชบุรี และจังหวัดกาญจนบุรี จะมีแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย ทั้งการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตชุมชน แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวที่ถูกสร้างขึ้น แต่ที่ผ่านมายังขาดกิจกรรมที่จะมาช่วยกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวกันเพิ่มขึ้น จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศจึงลดลงอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภายใต้สถานการณ์นี้ กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 1 จึงมีแนวคิดพัฒนาการตลาดและการประชาสัมพันธ์ โดยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยมาสร้างสรรค์และพัฒนาเป็นสื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวในแบบ Virtual Tour 360<sup>๐ </sup>หรือทัวร์เสมือนจริงอย่างเต็มรูปแบบมาใช้ในการประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความน่าสนใจ ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้อยากกลับมาเที่ยวซ้ำ เมื่อสถานการณ์คลี่คลายขึ้น

สำหรับไฮไลต์ของ Virtual Tour 360<sup>๐</sup> ดังกล่าว เป็นการผสมผสานเทคโนโลยีสุดล้ำ VR 360º ทั้งภาคพื้นดิน และบนอากาศ การสร้างสรรค์แมสคอต และของดีประจำจังหวัดมาในแบบโมเดล 3 มิติที่สามารถดูได้รอบทิศ พร้อมสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ที่จะสร้างมิติแห่งการท่องเที่ยวที่ให้มุมมองแบบ 2 แสง ได้แก่ กลางวันและกลางคืน ซึ่งจะนำนักท่องเที่ยวก้าวข้ามผ่านมิติของแพลตฟอร์มไปสู่สถานที่ท่องเที่ยวจริง และสัมผัสความงดงามหรือตื่นตากับความหลากหลายของสถานที่และวัฒนธรรม รวมทั้งบริบทของการใช้ชีวิตของผู้คนในชุมชนในทุกแง่มุม ผ่านดิจิทัลอาย (Digital Eye) ในรูปแบบ World of VR 360º

<img class="alignnone size-full wp-image-51088" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/09/MOTS_นายวิสาห์-พูลศิริรัตน์-รองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี_1.jpg" alt="" width="600" height="370" />

ด้าน <strong>วิสาห์ พูลศิริรัตน์ </strong>รองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี กล่าวว่า นอกจากนักท่องเที่ยวจะประทับใจแหล่งท่องเที่ยว ยอดนิยมที่หลากหลายแล้วในมุมมองรอบทิศทางแล้ว ยังจะเพลิดเพลินกับการเลือกซื้อสินค้าโอทอปจากผู้ขายในชุมชนได้โดยตรงผ่านแชต Facebook และ Line

นอกจากนั้น นักท่องเที่ยวยังสามารถสัมผัสประสบการณ์ของ Virtual Tour 360<sup>๐ </sup>ในรูปแบบของ Hybrid Tour ร่วมด้วยได้ เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์และเข้าถึงช่องทางการสื่อสารของกลุ่มเป้าหมายยิ่งขึ้น ทั้งยังสามารถบันทึกภาพความประทับใจระหว่างการท่องเที่ยวได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการพาตนเองไปยังสถานที่นั้น ๆ หรือย้ายสิ่งของจากแหล่งท่องเที่ยวมาอยู่ใกล้ตัวเพื่อเซลฟี่ ก็สามารถทำได้ในคลิกเดียว

“ด้วยเทคโนโลยี VR 360º ที่ผสานกับ 3D AR จะสร้างมิติมุมมองให้ชวนติดตาม จะทำให้แหล่งท่องเที่ยวหลายแห่งของ 3 จังหวัดในกลุ่มการท่องเที่ยวภาคกลางตอนล่าง 1 กลับพลิกฟื้นมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ซึ่งการท่องเที่ยวในรูปแบบของ Virtual Tour นี้ นอกจากจะเป็นการกระตุ้นและเสริมภาพลักษณ์ที่ดีด้านการท่องเที่ยวแล้ว ยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม ช่วยกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวเมืองหลักสู่การท่องเที่ยวเมืองรอง และกระจายลงสู่พื้นที่ชุมชนในท้องถิ่นอย่างทั่วถึง สอดรับกับการท่องเที่ยวในวิถีใหม่ (New Normal) ได้อย่างลงตัว” <strong>กิรดา ลำโครัตน์ </strong>ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกาญจนบุรี กล่าวสรุป

<img class="alignnone size-full wp-image-51086" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/09/MOTS_นางสาวกิรดา-ลำโครัตน์-ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกาญจนบุรี_1.jpg" alt="" width="600" height="400" />

ทั้งนี้ จากการเก็บข้อมูลจากสื่อโซเชียลในช่วงการ ล็อกดาวน์ระหว่างเดือนมิถุนายน – สิงหาคมที่ผ่านมาพบว่า กิจกรรมที่ผู้คนต้องการทำและได้รับการพูดถึงมากที่สุดบนโลกออนไลน์ คือ การไปเที่ยว ซึ่งมีผู้คนเข้ามามีส่วนร่วมสูงถึง กว่า 3.7 ล้านเอ็นเกจเมนต์ เพราะโลกของการเดินทางต้องหยุดนิ่งมานาน อันเนื่องมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้นักเดินทางต่างโหยหาประสบการณ์จากการออกไปท่องเที่ยว

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/world/asia/%e0%b8%9a%e0%b8%b1%e0%b8%8d%e0%b8%8a%e0%b8%b2-%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%84%e0%b9%8c%e0%b9%82%e0%b8%86%e0%b8%a9%e0%b8%b4%e0%b8%95-%e0%b8%9c%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b8%81%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%95%e0%b8%b1.html">บัญชา องค์โฆษิต ผู้ก่อตั้งเคซีอี อีเลคโทรนิคส์ ก้าวเข้าสู่ทำเนียบมหาเศรษฐีโลกเป็นครั้งแรก</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

&nbsp;

“เที่ยวทริป..ไฮบริดทัวร์” ยุทธศาสตร์เที่ยวปลอดภัยยุคโควิด-19

“Standard International” แบรนด์ไลฟ์สไตล์บุกไทย เปิดทำเลหัวหิน-มหานครแฟล็กชิพ เอเชีย

<h2>Accor เปิดตัว V Villas Phuket – MGallery รีสอร์ทพูลวิลล่า 19 หลังที่ภูเก็ต ผสมผสานภูมิทัศน์ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ ความเป็นส่วนตัว และวิวทะเลอันดามันที่น่าหลงใหล พร้อมมอบประสบการณ์การพักผ่อนที่น่าจดจำ</h2>
การ์ธ ซิมมอนส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแอคคอร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวถึงการเปิดตัวบูติกรีสอร์ทระดับลักชัวรี่แห่งใหม่ล่าสุดในประเทศไทยที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะภูเก็ต โดยรีสอร์ทแห่งนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ที่อยู่รายล้อม เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่กำลังมองหาสถานที่พักผ่อนที่มอบความเป็นส่วนตัวสูงสุดและมีเสน่ห์เฉพาะตัว

<span style="color: #993300;">“การเปิดตัวโรงแรมภายใต้แบรนด์เอ็มแกลเลอรีแห่งที่สามในภูเก็ตนี้ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมั่นใจของแอคคอร์ว่านักเดินทางทั่วโลกจะยังคงแสวงหาประสบการณ์ที่แตกต่างและมีความหมายมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันมีโรงแรมภายใต้แบรนด์เอ็มแกลเลอรีอยู่กว่า 100 แห่งทั่วโลก แต่ละแห่งมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่พร้อมมอบประสบการณ์ที่แตกต่าง</span>

<span style="color: #993300;">แขกของโรงแรมเอ็มแกลเลอรีจะได้รับแรงบันดาลใจจากการพักผ่อนในโรงแรมที่มีสไตล์ เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าจดจำ และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เรามีความยินดีที่จะเปิดตัวจุดหมายปลายทางแห่งใหม่ในภูเก็ตสำหรับผู้ที่กำลังมองหาประสบการณ์การพักผ่อนอันเงียบสงบและเป็นส่วนตัว ท่ามกลางความสวยงามของธรรมชาติและทะเลอันดามัน วี วิลล่า ภูเก็ต – เอ็มแกลเลอรี จะดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเมื่อสามารถเดินทางได้อีกครั้ง” </span>

<img class="alignnone size-full wp-image-49966" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/08/V-Villa-Phuket-MGallery_003.jpg" alt="" width="600" height="377" />

วี วิลล่า ภูเก็ต – เอ็มแกลเลอรี มอบความเป็นส่วนตัวด้วยคอลเลกชั่นพูลวิลล่า 19 หลัง มีให้เลือกทั้งแบบ 1, 3 และ 4 ห้องนอน วิลลาแต่ละหลังตกแต่งอย่างมีเสน่ห์ด้วยโทนสีธรรมชาติ หน้าต่างสูงโปร่ง และชานไม้ขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อพื้นที่ภายในเข้ากับภายนอกอย่างลงตัวทำให้สามารถดื่มด่ำกับธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ นักเดินทาง ครอบครัวและคู่รักสามารถเพลินเพลินไปกับห้องนอนขนาดกว้างขวาง ห้องน้ำขนาดใหญ่พร้อมอ่างอาบน้ำสปาแบบคู่ สระว่ายน้ำอินฟินิตี้ส่วนตัว และบริการผู้ช่วยส่วนตัวหรือบัตเลอร์ตลอด 24 ชั่วโมง

บูติกรีสอร์ทแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาอ่าวยนท่ามกลางแมกไม้เขียวขจี สามารถดื่มด่ำกับวิวทิวทัศน์ของมหาสมุทรได้อย่างเต็มที่ การออกแบบของรีสอร์ทโอบรับภูมิทัศน์อย่างแท้จริง ด้วยวิลล่า ห้องอาหาร บาร์ และสปาที่เสมือนลอยอยู่กลางต้นไม้ กลมกลืนไปกับเนินเขา และเชื่อมต่อกับพื้นที่กลางแจ้งได้อย่างลงตัว วัสดุธรรมชาติ งานดีไซน์ที่สั่งทำพิเศษ และผลงานศิลปะสไตล์ท้องถิ่นถูกนำมาใช้ในการตกแต่งเพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่น่าจดจำ และเพื่อให้นักเดินทางได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ อันเป็นเสน่ห์ของแบรนด์เอ็มแกลเลอรี (MGallery)

ความเป็นเลิศด้านอาหารและวิวทะเลที่สวยงามจะทำให้ประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ วี วิลล่า ภูเก็ต – เอ็มแกลเลอรี เป็นที่น่าจดจำ Yon|Ocean House ให้บริการอาหารไทย อาหารท้องถิ่น และอาหารสไตล์ยุโรป ปรุงอย่างพิถีพิถันจากวัตถุดิบสดใหม่จากท้องถิ่น สามารถเลือกดื่มด่ำกับมื้ออาหารแบบอินดอร์ แบบเอาท์ดอร์ที่ระเบียงกลางแจ้งท่ามกลางธรรมชาติ หรือที่ห้องเก็บไวน์ที่มีตัวเลือกไวน์ที่มีชื่อเสียงจากทั่วโลกมากมาย AKOYA|Star Lounge คือรูฟท็อปบาร์ที่ตั้งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 55 เมตร เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงาม พร้อมวิวทะเล 360 องศาและวิวท้องฟ้ายามค่ำคืน เหมาะสำหรับการผ่อนคลายหรือการสังสรรค์กับคนรู้ใจ

<img class="alignnone size-full wp-image-49967" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/08/V-Villa-Phuket-MGallery_004.jpg" alt="" width="600" height="390" />

การดูสุขภาพแบบองค์รวมจะช่วยให้แขกรู้สึกสดชื่นตลอดการเข้าพัก ทรีตเมนต์ที่ วี วิลล่า สปา (V Villas Spa) ได้รับแรงบันดาลใจจากไข่มุกที่ถูกเพาะเลี้ยงโดยชาวท้องถิ่นและพลังงานแสงแดดและธรรมชาติที่จะช่วยฟื้นฟูพลังงาน ไข่มุกได้เติบโตภายใต้ทะเลสีฟ้าของอ่าวยนเป็นเวลาหลายปี และแขกจะได้ค้นพบเรื่องราวของอัญมณีล้ำค่านี้ทั่วทั้งรีสอร์ท ผู้ที่ชื่นชอบการว่ายน้ำหรืออาบแดดสามารถผ่อนคลายที่สระว่ายน้ำอินฟินิตี้หลักของรีสอร์ทที่ผสานเส้นขอบฟ้าและทะเลเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว รีสอร์ทยังให้บริการฟิตเนสพร้อมอุปกรณ์ออกกำลังกายทันสมัย โปรแกรมสุขภาพส่วนบุคคลและคลาสโยคะในวิลล่า

ทั้งนี้ วี วิลล่า ภูเก็ต – เอ็มแกลเลอรี ให้บริการสถานที่จัดงานแต่งงานที่โดดเด่นสามแห่ง ได้แก่ YON|Ocean House, AKOYA|Star Lounge และ วิลล่าส่วนตัว มอบประสบการณ์งานแต่งงานสุดหรูและโรแมนติกพร้อมวิวทะเลอันดามัน ผู้เชี่ยวชาญด้านงานแต่งงานของรีสอร์ทพร้อมช่วยจัดการในทุกรายละเอียด ตั้งแต่งานพรีเวดดิ้งไปจนถึงพิธีการต่างๆ

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/travel/%e0%b8%97%e0%b8%97%e0%b8%97-%e0%b8%9c%e0%b8%99%e0%b8%b6%e0%b8%81-%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%ab%e0%b8%b1%e0%b8%a7%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%b0-%e0%b8%88%e0%b9%88.html">ททท. ผนึก ‘ขายหัวเราะ’ จ่อฟื้นฟูท่องเที่ยวมิติใหม่โดยใช้การ์ตูน</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

&nbsp;

Accor เปิดตัว V Villas Phuket – MGallery รีสอร์ทพูลวิลล่า 19 หลังที่ภูเก็ต

ททท. ผนึก ‘ขายหัวเราะ’ จ่อฟื้นฟูท่องเที่ยวมิติใหม่โดยใช้การ์ตูน

<h2>ROH ระดมทุนผ่านกองทรัสต์โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน GROREIT - REIT Buy Back กองแรกของไทย เพื่อมีโอกาสกลับมาซื้อธุรกิจโรงแรมคืน เผยมูลค่ากองทรัสต์ 4,500 ล้านบาทยังน้อยกว่าศักยภาพการสร้างรายได้ของโรงแรม ยืนยันซื้อคืนโรงแรมภายใน 5 ปีข้างหน้าตามเงื่อนไข</h2>
<img class="alignnone size-full wp-image-48113" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/07/เชอราตัน_002.jpg" alt="" width="600" height="400" />

<strong>ศานิต อรรถญาณสกุล</strong> ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โรงแรม รอยัลออคิด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ROH เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการระดมทุนผ่านกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ แกรนด์ รอยัล ออคิด โฮสพีทาลิตี้ ที่มีข้อตกลงในการซื้อคืน (GROREIT) ทั้งนี้ GROREIT มีมูลค่า 4,500 ล้านบาท ซึ่งจะลงทุนซื้อกรรมสิทธิ์ (Freehold) ของโรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน ในราคาที่ต่ำกว่าราคาประเมินของโรงแรมถึง 718 ล้านบาท

โดยก่อนหน้านี้ บริษัทได้ทำการประเมินโรงแรมดังกล่าวมีมูลค่าสูงถึงกว่า 5,000 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีความจำเป็นต้องเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินเพื่อดำเนินธุรกิจในช่วงสถานการณ์การท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจากการปิดเมือง

ดังนั้น หากเปรียบเทียบมูลค่ากองทรัสต์ที่เสนอขายและโอกาสการสร้างรายได้ของโรงแรมในอนาคต ประเมินว่า โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน ยังเป็นโรงแรมที่มีศักยภาพสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทอีกมาก โดยบริษัทมีสัญญาที่จะกลับมาซื้อโรงแรมคืนภายในระยะเวลา 5 ปี

สำหรับกอง GROREIT มี <strong>บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด</strong> เป็นผู้จัดการกองทรัสต์และจัดจำหน่าย เป็น REIT ประเภทพิเศษลักษณะการลงทุนระยะสั้นกว่า REIT ปกติทั่วไป คือไม่เกิน 5 ปี ซึ่ง บลจ.วรรณ ได้ออกโครงสร้างการลงทุนที่น่าสนใจ โดยจะให้ผลตอบแทนรวมจากการลงทุนที่ประมาณร้อยละ 8 ต่อปี (IRR) เมื่อบริษัทกลับมาซื้อโรงแรมคืน โดยก่อนหน้านั้นระหว่างปีผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้ เงินปันผลประมาณร้อยละ 6 ต่อปี

“ทางเลือกของการระดมทุนรูปแบบ REIT Buy Back ถือเป็นโอกาสที่ดีของบริษัท ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์การระดมทุนรูปแบบใหม่ที่สำนักงาน ก.ล.ต. ได้มีออกมา เพื่อเป็นช่องทางในการระดมทุนสำหรับเสริมสภาพคล่องให้กับธุรกิจโรงแรม คือไม่ใช่การขายขาด โดยบริษัทยังมีโอกาสกลับมาซื้อที่ดินและโรงแรมคืนได้ เพียงแต่การระดมทุนแบบ REIT เป็นแผนระดมทุนระยะสั้นที่บริษัทจำเป็นต้องเร่งดำเนินการ แต่ในแผนระยะยาว บริษัทยังคงเตรียมการกลับมาซื้อโรงแรมคืนแน่นอน

เพราะเปรียบเทียบมูลค่าที่บริษัทระดมทุนผ่านกองทรัสต์กับอนาคตการสร้างรายได้ของโรงแรมนั้น การซื้อคืนย่อมดีกว่าในแง่ของการดำเนินธุรกิจ เพราะโรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน ยังสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินธุรกิจโรงแรมภายใต้แบรนด์ “เชอราตัน” ในเครือ Marriott International หรือดำเนินแผนการเจรจาขายหุ้นให้กับนักลงทุนต่อจากที่ได้เคยเจรจาไว้ก่อนหน้านี้ เพราะเพียงแค่เฉพาะมูลค่าที่ดินริมแม่น้ำเจ้าพระยา ณ ปัจจุบันก็อยู่ที่ประมาณ 3,000-3,200 ล้านบาท”

<img class="alignnone size-full wp-image-48114" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/07/เชอราตัน_003.jpg" alt="" width="600" height="477" />

ศานิต กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทเชื่อมั่นว่า ภาคท่องเที่ยวของไทยยังคงเป็นแผนระยะแรกที่รัฐบาลจะให้ความสำคัญ ประกอบกับความก้าวหน้าและการเร่งฉีดวัคซีนทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ได้ช่วยลดความกังวลว่าการระบาดจะรุนแรงได้ ขณะที่เศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วและมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่งผลดีต่อธุรกิจโรงแรมของไทย ให้มีแนวโน้มที่จะกลับมามีความน่าสนใจอีกครั้งหนึ่ง

“ในฐานะผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม มีความเชื่อมั่นว่าภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นรายได้ภาคบริการของประเทศจะสามารถกลับมาสู่ภาวะปกติได้เร็ว หากรัฐบาลเร่งนำเข้าวัคซีนประสิทธิภาพสูงปูพรมฉีดให้แก่ประชาชนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน​หมู่ ในระดับที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 เหมือนเช่นในต่างประเทศบางประเทศที่ธุรกิจท่องเที่ยวเริ่มฟื้นแล้ว

ซึ่งบริษัทพยายามหาแนวทางเพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ โดยโรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน มีจุดเด่นในเรื่องทำเลที่ตั้งที่ดีเยี่ยม อยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา และอยู่ตรงข้ามไอคอนสยาม

ย้อนหลังไป 4 ปีก่อนเกิดการระบาดของโรค คือปี 2559-2562 โรงแรมมีศักยภาพการสร้างรายได้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง อยู่ที่ประมาณ 863 ล้านบาท 893 ล้านบาท 1,030 ล้านบาท และ 1,075 ล้านบาท ตามลำดับโดยมีอัตราการเข้าพักของโรงแรมอยู่ในระดับเฉลี่ยเกิน 80% นั่นเป็นเหตุผลหลักๆ ที่ทำให้บริษัทมีแนวทางชัดเจนในการซื้อคืนโรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน ในระยะ 5 ปีข้างหน้านับจากนี้ ตามเงื่อนไขการระดมทุน”

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/other/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A7-%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1-4-5-%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99.html">กลุ่มคาราบาว ทุ่ม 4.5 หมื่นล้าน พลิกโฉมโชห่วย</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a><strong> </strong>

รอยัลออคิด เชอราตัน ระดมทุนเสริมสภาพคล่อง ROH เสนอขายกองทรัสต์ GROREIT - REIT Buy Back

<h2>Airbnb เปิดตัวเครื่องมือใหม่สำหรับเจ้าของที่พักหรือโฮสต์ ซึ่งจะช่วยคำนวณรายได้ต่อเดือนโดยประมาณจากการให้เช่าที่พัก</h2>
<ul>
 	<li>ปี 2021 นักเดินทางยินดีจ่ายเงินสำหรับท่องเที่ยวราว 5,000 – 15,000 บาท</li>
 	<li>ปี 2021 นักเดินทางอายุ 55 ปีขึ้นไปมีความยินดีที่จะใช้จ่ายมากกว่า 50,000 บาท</li>
 	<li>ปี 2019 Airbnbสร้างเม็ดเงินมูลค่า 4.37 หมื่นล้านบาทให้กับจีดีพีไทย เกิดการจ้างงานกว่า 113,300 ตำแหน่ง</li>
</ul>
เครื่องมือใหม่ล่าสุดจาก Airbnb นี้คือ เครื่องมือดูมูลค่าที่พัก ยกตัวอย่างสำหรับบ้านพักในกรุงเทพฯ โฮสต์สามารถสร้างรายได้กว่า 8,724 บาทต่อเดือน (รายได้โดยประมาณดังกล่าว เป็นการประเมินจากรายการที่พักสำหรับผู้เข้าพักจำนวน 4 คนในกรุงเทพฯ โดยอ้างอิงจากข้อมูลการจองที่พักในพื้นที่นั้นๆ ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา และคำนวณโดยการคูณราคาของที่พักต่อคืนกับจำนวนคืนที่มีการเข้าพัก)

<img class="alignnone size-full wp-image-43477" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/03/S__10043565-e1616994896280.jpg" alt="" width="649" height="284" />

การให้เช่าที่พักบนแพลตฟอร์มแห่งนี้ถือเป็นช่องทางหารายได้เสริมที่ดีที่จะช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางการเงินในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ สำหรับหลายๆ คน การให้เช่าที่พักบนแพลตฟอร์มของเราถือเป็นตัวช่วยสำคัญที่สามารถลงมือทำได้อย่างรวดเร็วเพื่อช่วยให้สามารถผ่านพ้นภาวะเศรษฐกิจในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนนี้ได้

ผู้ที่กำลังสนใจคิดอยากเปิดที่พักให้เช่าบนแพลตฟอร์มของเราช่วงนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากการท่องเที่ยวในประเทศกำลังกลับมาคึกคักอีกครั้ง นอกจากนั้น ผลสำรวจแนวโน้มการท่องเที่ยวของคนไทยที่ Airbnb จัดทำกับ YouGov ล่าสุดพบว่า ผู้คนมีความต้องการที่จะท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น

<img class="alignnone size-full wp-image-43475" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/03/messageImage_1616993200072.jpg" alt="" width="697" height="465" />

ผลสำรวจล่าสุดยังระบุด้วยว่า การเดินทางกับครอบครัวคือเหตุผลอันดับหนึ่งที่ทำให้คนไทยอยากเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ โดยปัจจัยสำคัญที่คนไทยจะพิจารณาเลือกจุดหมายปลายทางและที่พัก ได้แก่ ราคาที่ย่อมเยา ความปลอดภัย และการให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน นอกจากนั้นการเดินทางระยะสั้น 1-3 วันและการพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติยังเป็นความต้องการหลักในการท่องเที่ยวของคนไทยในปีนี้อีกด้วย

คนไทยยังมองหาการเดินทางที่มีราคาย่อมเยาและให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน โดยผู้ตอบแบบสอบถามเลือก ราคาย่อมเยาเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจในการเดินทางและเลือกที่พักในปีนี้ เช่นเดียวกับโปรโมชั่นและส่วนลดต่างๆ รวมถึงค่าเดินทางที่สมเหตุสมผล

ตามด้วย ที่พักที่ให้บริการดีและให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน ตลอดจน การจัดการเรื่องสุขอนามัยและความปลอดภัยเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่คนไทยนำมาพิจารณา (รวมถึงสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่ มาตรการด้านสุขอนามัยและความปลอดภัย และอื่นๆ) นอกจากนั้น ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ได้ระบุว่า มีความยินดีที่จะใช้จ่าย 5,000 – 15,000 บาท ในการเดินทางปีนี้ ขณะที่กลุ่มผู้ตอบคำถามอายุมากกว่า 55 ปีมีความยินดีที่จะใช้จ่ายมากกว่า 50,000 บาท

<img class="alignnone wp-image-43474" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/03/AIRBNB.jpg" alt="" width="640" height="341" />

นอกจากนั้น ผลสำรวจพบว่า ทริประยะสั้นและการไปพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติจะเป็นที่นิยมในปีนี้ เห็นได้จากที่ผลสำรวจระบุว่า 74% ของผู้ตอบแบบสอบถามต้องการเดินทางเป็นระยะเวลา 1-3 คืน โดยต้องการไปในจุดหมายปลายทางที่ได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติและมีอากาศดี ขณะที่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนถือเป็นเรื่องสำคัญของคนไทย เพราะผลสำรวจระบุว่า 73% ของคนไทยมักใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนเมื่อตัดสินใจเลือกที่พักและจุดหมายในการเดินทาง

นอกจากนั้น ในปีที่ผ่านมาได้มีรายงานผลกระทบของ Airbnb ต่อเศรษฐกิจในประเทศไทยโดยสถาบันวิจัยอ็อกซ์ฟอร์ด อีโคโนมิกส์ เปิดเผยว่าแพลตฟอร์มที่พักแห่งนี้เป็นหนึ่งในพลังขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทยในปี 2019 โดยสร้างเม็ดเงินมูลค่า 4.37 หมื่นล้านบาทให้กับจีดีพีไทยและทำให้เกิดการจ้างงานกว่า 113,300 ตำแหน่งในประเทศไทย และมีบทบาทสำคัญต่อการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในประเทศไทย รวมถึงการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นและช่วยสร้างงานกว่าแสนตำแหน่ง

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/commentaries/insights/%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B8.html">ปัจจัยเสี่ยงการลงทุนยุคหลังโควิด</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Airbnb เปิดตัวเครื่องมือใหม่หนุนเจ้าของที่พักประเมินรายได้เอง

<h2>กลุ่มดุสิตธานี เผยผลประกอบการปี 2563 ขาดทุน 1,011 ล้านบาท หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 มีความรุนแรงและยืดเยื้อกว่าที่คิด แม้ผลประกอบการรวมจะขาดทุน แต่มีสัญญาณดีขึ้นทุกไตรมาส ลุ้นครึ่งหลังของปีนี้ที่ธุรกิจท่องเที่ยวจะค่อยๆ ฟื้นตัว หลังประเทศไทยได้รับวัคซีนและการเดินทางเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น ผู้บริหารย้ำไม่ถอดใจ มั่นใจหลักการกระจายการลงทุนในธุรกิจที่หลากหลายช่วยกระจายความเสี่ยงและลดผลกระทบ</h2>
<img class="alignnone wp-image-42051" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/02/ศุภจี-สุธรรมพันธุ์_0001.jpg" alt="" width="600" height="320" />

<strong>ศุภจี สุธรรมพันธุ์ </strong>ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แม้ว่าผลประกอบการของดุสิตธานีในปี 2563 ที่ผ่านมา จะประสบภาวะขาดทุน แต่ก็เป็นไปตามที่ฝ่ายบริหารคาดการณ์ไว้ เนื่องจากธุรกิจท่องเที่ยวและบริการได้รับผลกระทบโดยตรงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งระลอกแรกในช่วงปี 2563 และระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นในช่วงปลายปีเดียวกัน ทำให้การเดินทางหยุดชะงักและจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง

อย่างไรก็ตาม ด้วยการประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบของดุสิตธานี ผนวกกับกลยุทธ์หลักของบริษัทฯ ที่เน้นการกระจายความเสี่ยงให้กับธุรกิจ ด้วยการกระจายการลงทุนที่หลากหลาย ทำให้สามารถลดผลกระทบที่เกิดขึ้นได้อย่างค่อนข้างมีประสิทธิภาพ

“ธุรกิจโรงแรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งในส่วนที่เราเป็นเจ้าของและรับเป็นผู้บริหารต่างก็ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โรงแรมต้องหยุดให้บริการในช่วงไตรมาสสองจากการแพร่ระบาดในระลอกแรก จนเมื่อการเดินทางผ่อนคลายได้บ้างในช่วงกลางปีที่แล้ว จึงเริ่มเห็นสัญญาณการค่อยๆ ฟื้นตัวของรายได้ในไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปี 2563 โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับไตรมาสต่อไตรมาสเพิ่มขึ้นร้อยละ 60.3 แม้จะได้รับผลกระทบจากการระบาดระลอกสองในปลายปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ เรายังเห็นความคืบหน้าในการแจกจ่ายวัคซีนทั่วโลกและในหลายประเทศ ซึ่งให้ความสำคัญกับบุคลากรที่อยู่ในธุรกิจท่องเที่ยวเป็นลำดับแรกๆ โดยทีมงานของดุสิตฯ ในประเทศต่างๆ ก็ได้รับการฉีดวัคซีนกันเป็นส่วนมากแล้ว ทำให้เราเริ่มมั่นใจว่า จะเห็นการท่องเที่ยวค่อยๆ ฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

<span style="color: #993300;">ซึ่งที่ผ่านมา ดุสิตธานีไม่ได้หยุดนิ่ง แต่ปรับโมเดลเดินหน้าสร้างรายได้ผ่าน non-room business และเตรียมการรองรับกับการกลับมาของการท่องเที่ยว โดยปรับรูปแบบการท่องเที่ยวให้น่าสนใจมากขึ้น อย่างกรณีของโรงแรมดุสิตธานี หัวหิน</span> ที่เราพัฒนาเป็นแหล่งกิจกรรมท่องเที่ยวในแนววิถีธรรมชาติ มีแปลงนาที่ปลูกข้าวและเก็บเกี่ยวแล้ว ซึ่งเราเชื่อว่าจะเป็นจุดขายที่มีความโดดเด่นในอนาคต และเราจะใช้โมเดลนี้ในโรงแรมต่างๆ ของกลุ่มดุสิตธานีด้วย” <strong>ศุภจี </strong>กล่าว

<img class="alignnone wp-image-40902" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/02/ดุสิตธานี_002.jpg" alt="" width="600" height="320" />

สำหรับธุรกิจอื่นๆ ของกลุ่มดุสิตธานี ยังคงมีแนวโน้มที่ดี โดยธุรกิจการศึกษา ในส่วนของวิทยาลัยดุสิตธานีสามารถรับนักศึกษาได้เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึงร้อยละ 17 โดยทางวิทยาลัยมีหลักสูตรที่ตอบรับกับความต้องการของผู้ที่ต้องการเรียนเพื่อหารายได้เสริมและไปประกอบวิชาชีพเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะขยายธุรกิจการศึกษาให้เติบโตต่อเนื่องด้วยการเปิดโครงการ Food School เพื่อเพิ่มทางเลือกสำหรับตลาดบน เช่นเดียวกับธุรกิจอาหารที่ยังมีแผนเติบโตต่อเนื่องจากปี 2563 ซึ่งปัจจุบันรายได้จากธุรกิจอาหารยังเป็นไปตามเป้าหมาย โดยรายได้หลักยังคงมาจาก Epicure Catering ซึ่งให้บริการจัดหาอาหาร (Catering) ให้แก่โรงเรียนนานาชาติ

ซึ่งปีที่ผ่านมาได้ขยายการลงทุนไปยังเวียดนาม และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในปี 2564 ในขณะที่ธุรกิจอาหารภายใต้แบรนด์ <strong>“คาวาอิ”</strong> ในปีที่ผ่านมา ได้เพิ่มจุด grab &amp; go ที่เวอร์จิน ฟิตเนส คลับ อีก 3 แห่ง ได้แก่ ห้างสรรพสินค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ ห้างสรรพสินค้าเอ็มควอเทียร์ และตึกเอ็มไพร์ ส่วนปีนี้จะเปิด flagship store เพิ่มในเดือนพฤษภาคม

ทางด้านธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มดุสิตธานีจะเริ่มเปิดการขายโครงการที่พักอาศัย “ดุสิต เรสซิเดนเซส” ในโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ให้กับลูกค้าในช่วงไตรมาสสองของปีนี้ หลังจากที่มียอดขายจาก Private sales ในปีที่ผ่านมาเป็นที่น่าพอใจ

“ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพในกลยุทธ์กระจายความเสี่ยงด้วยการกระจายการลงทุนในธุรกิจที่มีความหลากหลายของกลุ่มดุสิตธานี ทำให้เราสามารถสร้างสมดุลให้กับธุรกิจได้ แม้ว่ารายได้หลักจะมาจากธุรกิจโรงแรมที่ได้รับผลกระทบ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ภาพรวมของกลุ่มดุสิตธานีต้องหยุดชะงัก

และหลังจากนี้เราเชื่อว่า เราจะสามารถสร้างการเติบโตได้ภายใต้ฐานรากที่แน่นหนา เพราะบทเรียนตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ทำให้เราเรียนรู้ที่จะปรับตัว เราลดค่าใช้จ่ายอย่างเคร่งครัด และการแสวงหารายได้ก็เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเมื่อโลกปลดล็อคจากโควิด-19 เราเชื่อว่า ฐานรากที่เราวางไว้จะสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืน” <strong>ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มดุสิตธานีกล่าว</strong>

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/line-bank-preparatory-company-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80.html">LINE Bank Preparatory Company ปรับโครงสร้างต้องเป้าเป็น “ธนาคารหลัก” บนสมาร์ทโฟน</a>

&nbsp;
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Mag</a>

</div>
</div>

กลุ่มดุสิตธานี ลุ้นครึ่งหลังปี 64 ท่องเที่ยวฟื้น

การจัดอันดับ 10 ตลาดคริสต์มาสที่น่าไปเดินเล่นที่สุด ในปี 2021

<h2>เพิ่งเริ่มมีบรรยากาศด้านการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศกลับมา แต่ดูเหมือนสถานการณ์จะไม่เอื้ออำนวยเนื่องจากยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ก็เริ่มกลับมาเช่นเดียวกัน ผู้ประกอบการท่องเที่ยวต้องเผชิญปัญหาการชะลอตัวอีกครั้ง นอกจากต้องมีมาตรการป้องกันเข้มงวดแล้ว ยังฝากถึงรัฐบาลขอให้ดูแลรอบด้านทั้งดีมานด์-ซัพพลาย</h2>
กลางสัปดาห์ที่ผ่านมา <strong>ชีวาศรม อินเตอร์เนชั่นแนล เฮลท์ รีสอร์ท</strong> ได้จัดทริปเชิญสื่อมวลชนไปสัมผัสบรรยากาศการให้บริการของชีวาศรมฯ รีสอร์ทสุขภาพที่เปิดบริการมายาวนานถึง 25 ปีในปัจจุบัน ท่ามกลางบรรยากาศที่มีแขกคนไทยเข้าพักจำนวนหนึ่ง เป็นการฟื้นตัวของตลาดท่องเที่ยวภายในประเทศ แต่ดูเหมือนสถานการณ์จะไม่เอื้ออำนวยนัก เพราะช่วงนั้นเริ่มมีข่าวผู้ติดเชื้อโควิด -19 ในไทยกลับเข้ามาในพื้นที่ชายแดนและจังหวัดภาคเหนือของประเทศ ทำให้ผู้คนเริ่มกังกวลกับสถานการณ์โควิดอีกรอบ อาจทำให้ความเชื่อมั่นและอารมณ์ในการอยากเดินทางท่องเที่ยวลดลง

<img class="alignnone wp-image-39316" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/12/ชีวาศรม-001.jpg" alt="" width="600" height="320" />

ขณะที่ ประธานกรรมการ ขีวาศรมฯ <span style="color: #008000;">กฤป โรจนเสถียร</span> บอกว่าผู้ประกอบการท่องเที่ยวยังคงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ถึงแม้ว่าที่ผ่านมารัฐบาลได้ให้การช่วยเหลือเยียวยาในบางส่วน แต่ตลอดปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการท่องเที่ยวยังต้องรับผลกระทบหนัก จากการที่ต้องปิดดำเนินการไปหลายเดือน แม้ล่าสุดสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย มีการท่องเที่ยวในประเทศบ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่ายังไม่เหมือนเดิม ผู้ประกอบการยังต้องประคองกิจการให้รอด มีภาระค่าใช้จ่ายสูงบางรายรับภาระไม่ได้ ก็ต้องเลิกจ้างไปบ้าง

<span style="color: #993300;">“ผลกระทบโควิดเป็นเรื่องที่เราทุกคนเข้าใจดี ทุกคนปรับตัวและสู้เท่าที่จะทำได้ แต่ที่ผ่านมามาตการส่งเสริมเราเห็นแต่รัฐบาลกระตุ้นดีมานด์ ส่งเสริมให้คนท่องเที่ยว ซึ่งหากสถานการณ์โลกคลี่คลายรัฐบาลก็คงดึงตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาล้วนเป็นฝั่งดีมานด์ ไม่เห็นรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นฝั่งซัพพลาย หรือมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการท่องเที่ยวเลย ถ้าปล่อยไปอย่างนี้เมื่อดีมานด์กลับมา ซัพพลายอาจไม่พอให้บริการ เพราะหลายรายอาจอยู่รอจนถึงวันนั้นไม่ไหว”</span> ประธานกรรมการ ชีวาศรมฯ กล่าวและว่า อยากให้รัฐบาลหันมามองและให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการท่องเที่ยวด้วย เพราะเป็นกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหนัก เนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติหายไป 100% ตลอดปีนับตั้งแต่ไตรมาส 2 ถึงปัจจุบัน

&nbsp;

<strong>จัดกาล่าดินเนอร์เคาน์ดาวน์ปีใหม่ </strong>

สำหรับการให้บริการของชีวาศรมฯ ล่าสุดเปิดบริการตามปกติด้วยมาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด และที่ผ่านมาได้เปิดบริการเน้นลูกค้าคนไทย พร้อมจัดแพคเกจดูแลสุขภาพแบบไม่ต้องเข้าพักในรูปแบบต่างๆ เพื่อดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีพอสมควร ภายใต้คอนเซ็ปท์การดูแลสุขภาพมาตรฐานชีวาศรมฯ ทั้งการนวดบำบัด ทรีตเมนท์ต่างๆ และการจัดโปรแกรมโภชนาการรายบุคคล ที่ได้การยอมรับจากรางวัลระดับสากลมากมาย

ในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ชีวาศรมฯ ได้เตรียมจัดงานกาล่าดินเนอร์พิเศษส่งท้ายปีเก่าในคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2563 และถือโอกาสนี้ในการจัดฉลองครบรอบ 25 ปี ที่เปิดให้บริการในฐานะรีสอร์ทเพื่อสุขภาพชั้นนำระดับโลก การจัดงานในปีนี้จะจัดขึ้นที่บริเวณห้องอาหารริมทะเล เทสท์ ออฟ สยาม ตั้งแต่เวลา 19.00 น. เป็นต้นไป แขกที่มาร่วมงานจะได้ดื่มด่ำและผ่อนคลายไปกับดนตรีสดและเสียงคลื่น

ภายในงานยังประกอบไปด้วยกิจรรมต่างๆ ที่นำเสนอเรื่องราวที่น่าสนใจของชีวาศรมตลอด 25 ปีที่ผ่านมาและความมุ่งมั่นที่จะมีส่วนรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในรูปแบบที่ยั่งยืนต่อไปในอนาคต ส่วนเมนูอาหารที่เสิร์ฟในงานกาล่านั้น จะเป็นเมนูเพื่อสุขภาพเลิศรสทั้งหมด 8 คอร์ส เพื่อคงคุณภาพที่ดีที่สุดตามแนวคิดเรื่องอาหารเพื่อสุขภาพในแบบของชีวาศรม

โดยทีมเชฟจะคัดสรรเฉพาะวัตถุดิบที่สดใหม่ จากผักส่วนใหญ่ที่นำมาใช้ในแต่ละเมนูมาจากสวนผักปลอดสารพิษของที่รีสอร์ท และในวาระพิเศษนี้ ทางห้องอาหารได้จับคู่แต่ละเมนูกับไวน์ชั้นเลิศจากไร่มอนซูน แวลลีย์ ไวน์ไทยที่ได้รับรางวัลระดับโลก เพื่อคืนสุดพิเศษของแขกที่มาร่วมงาน พร้อมช่วงเวลานับถอยหลังส่งท้ายปี 2563 ก้าวสู่ปี 2564 กับการจิบแชมเปญเฉลิมฉลอง ณ ริมทะเลอ่าวไทย ให้กับสิ่งดีๆ ที่จะมา

นอกจากนี้ เพื่อยืนหยัดพัฒนาชุมชนหัวหินตามความปณิธานของรีสอร์ท รายได้ส่วนหนึ่งจากการจัดงานครั้งนี้ จะนำไปมอบให้กับ ชมรมพิทักษ์หัวหิน ในพระราชูปถัมภ์ เพื่อพัฒนาและดูแลพื้นที่ป่าโกงกางในหัวหินเพิ่มเติมต่อไป

<img class="alignnone size-full wp-image-39319" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/12/ชีวาศรม-004.jpg" alt="" width="600" height="450" />

<img class="alignnone size-full wp-image-39318" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/12/ชีวาศรม-003.jpg" alt="" width="600" height="452" />

<span style="color: #008000;">ไวปัญญา คงขวัญยืน</span> ผู้จัดการทั่วไปของชีวาศรมกล่าวว่า <span style="color: #993300;">“ในปี 2563 นี้ ถือเป็นปีที่ท้าทายสำหรับทุกคน อย่างไรก็ตาม พวกเราต่างมีความยินดี และดีใจเป็นอย่างยิ่ง ที่จะได้นำเสนอความเป็นชีวาศรมให้กับแขกคนไทยผ่านการจัดงานกาล่าดินเนอร์ครั้งนี้ เนื่องในโอกาสที่ชีวาศรมครบรอบ 25 ปี พวกเราขอขอบคุณแขกทุกท่านที่ให้การสนับสนุนตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราเชื่อว่า การให้ความรู้และการดูแลสุขภาพที่เป็นเอกลักษณ์กับแขกที่มาพักของเรานับเป็นรากฐานสำคัญของความสำเร็จที่แท้จริงของชีวาศรม”</span>

ทั้งนี้ งานกาล่าดินเนอร์ส่งท้ายปีเก่าและฉลองครบรอบ 25 ปีของชีวาศรม จัดขึ้นในราคาสุทธิเริ่มต้นที่ 9,900 บาทต่อท่าน และ 11,900 บาทกับเมนูคอร์สจับคู่ไวน์ โดยแขกที่สำรองที่นั่งสามารถเข้าพักที่รีสอร์ทในช่วงคืนส่งท้ายปีเก่า ในราคาเริ่มต้นที่ 10,000 บาทต่อท่านต่อคืน ราคานี้รวมทรีทเมนต์เพื่อสุขภาพ 1 ครั้งต่อท่านต่อคืน การให้คำปรึกษาด้านสุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพ 3 มื้อ การตรวจและวิเคราะห์กายภาพ ชุดน้ำชาและของว่างยามบ่าย การเข้าใช้ห้องออกกำลังกาย สระว่ายน้ำกลางแจ้ง และสระว่ายน้ำในร่ม การเข้าใช้ Water Therapy Suites ที่บริการ จากุซซี่ ซาวน่า และห้องอบไอน้ำ

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/property/%e0%b9%84%e0%b8%a3%e0%b8%a1%e0%b8%ad%e0%b8%99-%e0%b9%81%e0%b8%a5%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b9%8c-%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%94%e0%b8%b4%e0%b8%a1%e0%b9%80%e0%b8%88%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b9%81.html">ไรมอน แลนด์ ประเดิมเจ้าแรกร่วมโครงการ “Elite Flexible One”</a>

&nbsp;
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>
&nbsp;

ชีวาศรม แนะรัฐดูแล “ฟื้นท่องเที่ยว” ควรกระตุ้นสองฝั่งดีมานด์-ซัพพลาย

ไรมอน แลนด์ ประเดิมเจ้าแรกร่วมโครงการ “Elite Flexible One”

<h2>Destination Capital ร่วมกับ KTBST SEC ในฐานะผู้ก่อตั้งทรัสต์และผู้จัดการทรัสต์ Private Equity Trust โดยมี บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC ในฐานะทรัสตี ในกรอบการลงทุนระยะเวลา 5 ปี คาดให้ผลตอบแทนร้อยละ 15 ต่อปี</h2>
“จากวิกฤตต่างๆ นับตั้งแต่วิกฤตต้มยำ ไล่เรียงจนกระทั่งโรคซาร์หรือการชุมนุมทางการเมือง อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยได้รับผลกระทบและฟื้นตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่กระจายโควิด-19 ถือเป็นวิกฤตระดับโลกและไม่ค่อยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ด้วยความเชื่อมั่นในธุรกิจอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย จุดแข็งด้านวัฒนธรรมและสถานที่ท่องเที่ยวและบริการที่พัก เราคาดการณ์อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยจะกลับมาในจุดเดิมราว 4 ปี ข้างหน้า” <strong>James caplen</strong> ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดซติเนชั่น แคปปิตอล พีทีอี จำกัด กล่าวและเสริมว่า

“ในช่วงวิกฤตที่เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการระดมทุม ซึ่งในช่วงวิกฤตโควิด-19 ผู้ประกอบการบางรายต้องหยุดกิจการโรงแรมและบางรายขาดสภาพคล่องทางการเงิน ทั้งๆ ที่ธุรกิจของตนเองยังมีศักยภาพในการเติบโต จึงเป็นโอกาสในการก่อตั้ง ไพรเวท อิคลิปตี้ ทรัสต์ เดสแคป 1 เพื่อระดมทุมราว 2.5 พันล้านบาท โดยเน้นที่ผู้ลงทุนในกลุ่มสถาบัน หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ (HNWI) ไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาทต่อราย หากผู้ลงทุนไม่ถึงมูลค่าขั้นต่ำสามารถลงทุนผ่านกองทุนรวมได้ โดยในช่วงเวลานี้เดินสายไปยังกลุ่มนักลงทุนชาวไทยเป็นหลัก โดยคาดให้ผลตอบแทนร้อยละ 15 ต่อปี”

<strong>James Kaplan</strong> ประธานกรรมการบริหาร บริษัท Destination Capital PTE. เผยว่า เราเป็นบริษัทในฐานะบริษัทในกลุ่ม เดซติเนชั่น กรุ๊ป ทีมีเฮดควอเตอร์อยู่ที่สิงคโปร์ เป็นกลุ่มธุรกิจที่เข้าซื้อกิจการโรงแรมที่มีศักยภาพในการพัฒนา ปรับปรุงฟื้นฟู และบริหารโรงแรมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ รวมไปถึงการขายต่อกิจการ

ด้าน <strong>ศุภกิจ เอี่ยมสำอางค์</strong> รองประธานอาวุโส บริษัท เดซติเนชั่น แคปปิตอล จำกัด ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เดซติเนชั่น แคปปิตอล ในฐานะผู้บริหารจัดการสินทรัพย์ เราได้ตั้งทรัสต์กิจการร่วมลงทุน DESCAP1 โดยเป้าหมายการระดมทุมที่เป้าหมาย 2.5 พันล้านบาท โดยตั้งเป้าเข้าซื้อกิจการราว 8 แห่งในประเทศไทยเพื่อเข้ากองทุนดังกล่าว โดยปัจจุบัน ได้เข้าซื้อกิจการแล้ว 3 แห่ง ซึ่งกระจายอยู่ในพื้นที่เป้าหมายของบริษัทคือ กรุงเทพฯ พัทยา และภูเก็ต โดยมุ่งเป้าไปที่โรงแรมหรือรีสอร์ทที่มีมูลค่าราว 600-1,500 ล้านบาท ในการเข้าซื้อกิจการ

โดยกลยุทธ์หลักภายหลังการเข้าซื้อกิจการคือการพัฒนาและสร้างมูลค่าด้วยหลัก 5 R อันนี้ได้แก่  Renovate, Rebuild, Rebrand, Reposition, Recapitalize และ Asset Management รวมถึงการนำโปรแกรมความยั่งยืนที่ได้การรองรับจาก International Financial Corporation  หรือ IFC ที่เรียก EDGE ในการลดปริมาณ Carbon Footprint

<strong>James Kaplan</strong> กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลอดระยะเวลา 24 ปีในประเทศไทย เราได้สร้างผลงานทีโดดเด่นจากการเข้าซื้อกิจการในประเทศไทย ด้วยการปรับปรุงรูปลักษณ์ ปรับเปลี่ยนตำแหน่งทางการตลาดของธุรกิจโรงแรม รวมไปถึงการจัดหาเงินทุน และการบริหารจัดการสินทรัพย์ เห็นได้จากการเข้าซื้อโรงแรมระดับ 4 ดาว ในชื่อแบรนด์ Melia Hotel ที่ประสบปัญหาทางการเงินจากวิกฤตการเงินในปี 2540 และขายทรัพย์สินออกไปในปี 2557 ภายใต้แบรนด์ “ฮิลตัน หัวหิน รีสอร์ท แอนด์สปา"

ด้าน <strong>ฐิติพัฒน์ ทวีสิน</strong> ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่าย Corporate Finance Solutions &amp; REIT บล.เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) KTBST SEC ในฐานะผู้ก่อตั้งและผู้จัดการทรัสต์ กล่าวว่า จุดเด่นของทรัสต์เพื่อกิจการร่วมลงทุน เดสแคป วัน เด่นการเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์โรงแรม ที่ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวในราคาที่ต่ำโดยตั้งเป้าเข้าซื้อในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30 ของมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ในภาวะปกติ

<span style="color: #993300;">“ประสบการณ์ของบริษัท เดซติเดชั่น แคปปิตอลฯ เป็นผู้บริหารสินทรัพย์ที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้วด้วยวิธีการปรุงสินทรัพย์และเปลี่ยนภาพลักษณ์ทางการตลาด ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำ และมีโอกาสได้รับอัตราผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่สมเหตุผล ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนและฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทย”</span> <strong>ฐิติพัฒน์ ทวีสิน</strong> กล่าว

ด้านโครงการสร้างการลงทุนเริ่มต้น <strong>Destination Capital</strong> จะลงทุนซื้อหน่วยทรัสต์ด้วยมูลค่าร้อยละ 5 ขณะที่สัดส่วนการระดมทุนจากสถาบันการเงินและกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่อยู่ที่ราวร้อยละ 65 โดยในส่วนที่เหลือจะคาดจะเป็นเงินลงทุนจากสถาบันการเงินที่เป็นเงินกู้ (แบบมีประกัน) ของมูลค่า Private Equity Trust ที่มูลค่า 2.5 พันล้านบาท

ช่วงท้าย James caplen เผยว่าย้ายมาอยู่เหมือนไทย ตั้งปี 2521 ประเทศไทยผ่านวิกฤตการณ์มาหลากหลายไม่ว่าจะเป็นโรคระบาด น้ำท่วม การชุมนุมทางการเมือง การลอบวางระเบิดจากกลุ่มไม่ประสงค์ดี และล่าสุดกับสถานการณ์โควิด-19 ในทุกเหตุการณ์ที่ผ่านมาประเทศไทยสามารถผ่านพ้นวิกฤตต่างๆ และตนเองกลับมาอยู่ในสถานการณ์ปกติได้เสมอ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในทั่วโลกก็เช่นกัน

ผมคงไม่มาอยู่ในจุดของการลงทุนในครั้งนี้ถ้าไม่เชื่อมั่นในการท่องเที่ยวของประเทศไทย แต่สิ่งที่ต้องยอมรับคือการแพร่กระจายของสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบเป็นอย่างมากที่สุดในช่วงเวลา 30 ปี ที่ผ่านมาเป็นวิกฤตที่กระทบกับคนทั้งโลก สายการบินต่างได้รับผลกระทบอย่างหนักถึงขั้นล้มละลาย ธุรกิจโรงแรมไม่มีรายได้แม้แต่บาทเดียวซึ่งแตกต่างจากวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 ที่ยังพอดีรายได้เข้ามาบ้าง โดยสถานการณ์การแพร่กระจายของไวรัสยังมีทีท่ารากยาว และสุดท้ายผู้คนต่างกลัวการติดเชื้อไวรัสจากการเดินทาง แต่สุดท้ายแล้วพฤติกรรมของมนุษย์จะก้าวข้ามความหวาดระแวงในที่สุดแต่อาจจะใช้เวลาสักระยะ

<span style="color: #993300;">“โลกของการท่องเที่ยวหลังโควิดจะเปลี่ยนไป นักท่องเที่ยวจะเดินทางในรูปแบบครอบครัวมากขึ้น แต่ละทริปการเดินทางจะยาวนานมากขึ้น เพราะในช่วงของการเก็บอยู่กับบ้านใช้เวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้นและเรียนรู้กันมากขึ้น”</span>

<strong>James caplen</strong> กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า “ในประเทศไทย 7/11 มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง คุณสามารถทำหลายสิ่งได้ในร้านไม่ว่าจะจ่ายบิล ซื้ออาหาร พบปะผู้คน ในทฤษฎี 7/11 ของผมที่อยากจะแบ่งปัน ถ้าวันหนึ่งเราพบว่า ร้าน 7/11 ปิดนี้คือปัญหาใหญ่ที่สุด เราได้เห็นร้าน 7/11 ปิดในภูเก็ตเนื่องจากไม่มีความต้องการในสินค้าไม่มีผู้มีกำลังซื้อ ซึ่งนี้คือปัญหา และเมื่อใดที่ 7/11 เปิดทำการอีกนั่นหมายความว่าเศรษฐกิจกำลังกลับมา”

<em>*ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน*</em>

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/world/america/kasa-living-%e0%b8%aa%e0%b8%95%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%9e-%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%88%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%82%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%b2.html">Kasa Living สตาร์ทอัพ ที่จะเข้ามายกระดับ Airbnb ให้ดีกว่าเดิม</a>

<hr />

ไม่พลาดบทความด้านกลยุทธ์องค์กรและธุรกิจ ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>
และ <a href="https://twitter.com/Forbes_TH">ทวิตเตอร์ Forbes Thailand</a>

&nbsp;

Destination Capital จับมือพันธมิตร ตั้ง Private Equity Trust ระดมทุน 2.5 พันล้านบาท บริหารจัดการโรงแรมไทย

<h2>SiteMinder แพลตฟอร์มตัวกลางในการเข้าเชื่อมลูกค้าให้กับธุรกิจโรงแรม เผยผู้ให้บริการที่พักทั่วโลกที่มีกว่า 1 ล้านรายจะเผชิญกับ 5 ระยะการปรับตัวในวงจรการจองที่พัก ชี้พฤติกรรมนักท่องเที่ยวไทยท่ามกลางโควิด-19</h2>
ท่ามวิกฤตการแพร่ระบาดไวรัสโคโรน่า SiteMinder ได้รายงานการศึกษาพฤติกรรมและความชอบที่เปลี่ยนไปของนักท่องเที่ยวเป็นระยะเวลา 6 เดือน ภายใต้ชื่อ Booming to Privilege: The New Realities for a Hotel Industry in Need of a Reset

จากรายงานได้สรุปเป็นระยะการปรับตัวในวงจรการจองที่พัก ได้ 5 ระดับ ได้แก่ ระยะเติบโตจากการท่องเที่ยวในประเทศ (Domestic Acceleration), ระยะคงที่ (Plateauing), ระยะอ่อนไหว (Flux), ระยะตอบรับกับความเปลี่ยนแปลง (Embracing), ระยะเติบโตจากการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ (International Acceleration)

ซึ่งจากการอ้างอิงจาก 5 ระยะการปรับตัวดังกล่าว <span style="color: #008000;">อุตสาหกรรมโรงแรมของประเทศไทยกำลังอยู่ในระยะคงที่ (Plateauing) หลังจากการจองที่พักในประเทศเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในเดือน พฤษภาคม และ มิถุนายน และค่อยๆ เข้าสู่ระยะคงที่ในอัตราร้อยละ 40 ของมูลค่าการจองที่พักของปี 2019</span>

โดยรายงานชิ้นล่าสุดนี้ได้ดึงข้อมูลการจองที่พักของโรงแรมกว่า 35,000 แห่ง แบบเรียลไทม์จาก World Hotel Index ของ SiteMinder และสำรวจความคิดเห็นจากนักท่องเที่ยวชาวไทย ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี เม็กซิโก สเปน อังกฤษ และอเมริกา กว่า 5,000 คน รวมถึงการพูดคุยกับผู้ให้บริการที่พัก 6 เดือนหลังจากยอดการจองทั่วโลกตกไปต่ำกว่าร้อยละ 9 ของอัตราการจองเดือนเมษายน ปี 2019 ซึ่งเป็นอัตราการจองที่ต่ำที่สุด

<span style="color: #993300;">“หลายๆ คนที่ทำงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวคงสงสัยว่าอุตสาหกรรมนี้จะมีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิมหรือไม่ ซึ่งเราคิดว่ามันจะต้องกลับไปอย่างแน่นอนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพียงแต่ว่าอาจมีหลายสิ่งที่จะเปลี่ยนไป ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแบบถาวร”</span> <strong>Brad Haines</strong> รองประธานกรรมการบริษัท SiteMinder ประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิค กล่าว

<figure><img class="wp-image-35741 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/10/Brad-Haines-001.jpg" alt="SiteMinder" width="600" height="400" /><figcaption> Brad Haines รองประธานกรรมการบริษัท SiteMinder ประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิค (Photo Credit: Bangkok Post)</figcaption></figure>

รายงานฉบับล่าสุดยังเผยว่ามีหลายเทรนด์ที่เกิดขึ้นในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นการจองทริปแบบกะทันหัน ความต้องการท่องเที่ยวเมืองชายฝั่งหรือภูมิภาคที่มีประชากรน้อย มากกว่าเมืองใหญ่อย่างเห็นได้ชัดเจน ตามรายงานของSiteMinder ที่ได้รายงานไปเมื่อเดือนพฤษภาคม อย่างในประเทศไทย ที่มีปริมาณการจองที่พักในกรุงเทพฯ เมื่อเทียบกับปีก่อนเพียงร้อยละ 29 แต่มีการจองที่พักบนเกาะสมุยมากกว่าปีที่แล้วสูงถึงร้อยละ 37

<span style="color: #993300;">แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงระดับมหภาคอื่นๆ ได้แก่การลดระยะเวลาการเดินทางที่สั้นลง ความต้องการความยืดหยุ่นสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การยกเลิก/แก้ไขการจองที่พักโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งกลายมาเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการตัดสินใจเลือกที่พักของนักท่องเที่ยวจำนวนเกือบ 1 ใน 3</span>

“COVID-19 เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล ทำให้เราเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจที่ทุกคนได้รับผลกระทบอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะเป็นผู้ให้บริการการท่องเที่ยวและที่พัก หรือตัวนักท่องเที่ยวเองที่ไม่มีใครสามารถควบคุมได้" <strong>Brad Haines</strong> กล่าวเสริม “การเดินทางท่องเที่ยวไม่ใช่สิ่งที่เราจะสามารถทำแบบทิ้งขว้าง หรือไม่เห็นความสำคัญได้อีกต่อไป ความสามารถในการเดินทางท่องเที่ยวอย่างเสรีกลายเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ใครก็ทำได้   ส่งผลให้ในอนาคต ลูกค้าจะมีความระมัดระวังในการเลือกมากขึ้น และใช้เวลาเตรียมตัวหรือจองที่พักสั้นลง ทำให้การคาดการณ์ยอดการจองที่พักในอุตสหากรรมโรงแรมทำได้ยากมากขึ้น”

ผลสำรวจของ SiteMInder ยังพบอีกว่า แม้ว่าการระบาดใหญ่ในครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของหลายๆ คน โดยมากกว่า 3 ใน 4 ของนักท่องเที่ยวได้รับผลกระทบ “มาก” หรือ “ค่อนข้างมาก” แต่มากกว่าร้อยละ 85 บอกว่าพวกเขามีแผนที่จะเดินทางท่องเที่ยวในประเทศอีกภายในสิ้นปี 2564

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/forbes-life/travel-forbes-life/san-miguel-de-allende-%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b9%87%e0%b8%81%e0%b9%86-%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%94%e0%b8%b5%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%aa.html">San Miguel De Allende เมืองเล็กๆ ที่ดีที่สุดในโลก</a>

<hr />

ไม่พลาดบทความด้านกลยุทธ์องค์กรและธุรกิจ ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>
และ <a href="https://twitter.com/Forbes_TH">ทวิตเตอร์ Forbes Thailand</a>

SiteMinder เผยผลสำรวจ การปรับยอดจองห้องพักในไทย

<h2>CommonPass หนึ่งในโครงการระหว่าง The World Economic Forum และ The Commons Project Foundation เปิดตัวการใช้งาน QR-CODE ในการตรวจเช็คนักเดินทางถึงสถานะการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าและเป็นตัวช่วยในการนับหนึ่งใหม่การท่องเที่ยวทั่วโลก</h2>
จากจำนวนตัวเลขที่ลดลงของการเดินทางท่องเที่ยวทางเครื่องบินเนื่องจากการแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19 บรรดาผู้บริหารสายการบินต่างได้พยายามหาทางให้ผู้โดยสารเดินทางอย่างปลอดภัยและให้ความรู้ข้อมูลสนับสนุนให้กับผู้โดยสารสายการบินกลับมาใช้การเดินทางทางอากาศ ธุรกิจสายการบินอย่าง Emirates, Etihad และ United Airlines ต่างมีความพร้อมและเริ่มทดสอบโปรแกรมการบินที่สนามบินต่างๆ และได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ CommonPass สายการบินได้เริ่มต้นทดสอบในอาทิตย์นี้เพื่อขยายเส้นทางในทั่วโลก

โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือของ The World Economic Forum และ The Commons Project Foundation องค์กรไม่หวังผลกำไรจากสวิตเซอร์แลนด์ รวมถึงความร่วมมือจากตัวแทน 37 ประเทศใน 6 ทวีป ได้เปิดตัวการยืนยันสถานะแห่งโรคโควิดในรูปแบบดิจิทัล ที่เรียกว่า <span style="color: #008000;">“CommonPass”</span> และเริ่มต้นทำการทดสอบในหลายประเทศ เพื่อเรียกแสดงสถานะเฉพาะโรคโควิด-19 ของผู้โดยสารแต่ละรายเท่านั้นไม่แสดงข้อมูลสุขภาพในด้านอื่นๆ

<img class="alignnone wp-image-35590" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/10/CommonPass-02.jpg" alt="CommonPass" width="600" height="362" />

ด้านสายการบิน Cathay Pacific ได้เริ่มดำเนินการทดสอบการใช้งานในเส้นทางการบินระหว่างสนามบินนานาชาติฮ่องกง กับ สนามบินนานาชาติ Changi ประเทศสิงคโปร์ โดยใช้ชุดทดสอบเร่งด่วนจากเทคโนโลยี Prenetics บริษัทด้านไบโอเทคโนโลยีระดับโลกที่ในเอเชียเป็นที่รู้จักในชื่อแบรนด์ <span style="color: #008000;">CircleDNA</span>

ด้าน สายการบิน United Airlines ถือเป็นสายบินแรกของสหรัฐฯ ในการใช้CommonPass ระหว่างสนามบิน Heathrow และ สนามบินนานาชาติ Newark Liberty รัฐ New Jersey สหรัฐฯ และเตรียมทดสอบเพิ่มเติมในสายการบินอื่นในเส้นทางการบินไปยังทวีปเอเชีย แอฟริกา อเมริกา ยุโรป และ ตะวันออกกลาง

<img class="alignnone wp-image-35588 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/10/CommonPass.jpg" alt="CommonPass" width="600" height="300" />

<span style="color: #993300;">“การเดินทางและการท่องเที่ยวระหว่างประเทศต่างปิดตัวระหว่างช่วงโควิด-19”</span> <strong>Diane Sabatino</strong> Deputy Executive Director, Office of Field Operations, U.S. Customs and Border Protection หรือ CBP กล่าวและเสริมว่า <span style="color: #993300;">"CBP ต้องการจะเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาเพื่อสสร้างความมั่นใจในการเดินทางสายการบิน และเรายินดีที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมการบินและพันธมิตร"</span>

สำหรับการใช้งาน CommonPass นักเดินทางสามารถนำผลทดสอบโควิด-19 จากห้องวิจัยที่ได้รับการรับรอง อัพโหลดลงในสมาร์ทโฟน พร้อมกับส่งผลรับรองดังกล่าวและตอบคำถามด้านสุขภาพเพิ่มเติม โดยเป็นคำถามที่จำเป็นสำหรับประเทศปลายทาง โดยCommonPass จะเชื่อมคำตอบของผู้เดินทางกับหน่วยที่ดูแลการเข้าประเทศปลายทางนั้นๆ และสร้าง คิวอาร์ โค้ด เพื่อนำไปใช้สแกนต่อพนักงานของสายการบินและเจ้าหน้าที่สนามบินซึ่ง "คิวอาร์ โค้ด" ดังกล่าวสามารถสแกนเพื่อแสดงสถานะของการติดโรคโควิด-19 และยังสามารถสแกนเพื่อสั่งพิมพ์โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับโทรศัพท์

<em>เรียบเรียงจาก บทความ This COVID-19 Passport Could Help Restart International Travel ซึ่งเผยแพร่บน Forbes.com</em>

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/travel/%e0%b8%88%e0%b8%b8%e0%b8%ac%e0%b8%b2-%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%a2%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%99-%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b8%94%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%a2%e0%b9%88.html">จุฬา-สามย่าน ติดอันดับย่านสุดคูลทั่วโลก</a>

<article id="post-34018" class="post-34018 post type-post status-publish format-standard has-post-thumbnail hentry category-marketing category-news tag-891 tag-11994 tag-11992 tag-1970 tag-11993">
<div class="body-content post-content-wrap post-detail">
<div>

<hr />

ไม่พลาดบทความด้านกลยุทธ์องค์กรและธุรกิจ ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine </a>
และ <a href="https://twitter.com/Forbes_TH">ทวิตเตอร์ Forbes Thailand</a>

</div>
</div>
</article>&nbsp;

&nbsp;

&nbsp;

"CommonPass" โครงการที่ช่วยนับหนึ่งใหม่การท่องเที่ยวทั่วโลก

<h2>รัฐเร่งฟื้นฟู อุตสาหกรรมท่องเที่ยวหลังโควิด จับมือเอกชนจัดโครงการ “Workation Thailand ทำงานเที่ยวได้ รวมใจช่วยชาติ” จัด 5 แพคเกจเสนอเอกชนช่วยกระตุ้นท่องเที่ยวไตรมาสมาสสุดท้าย เตรียมเพิ่มสิทธิประโยชน์ ปลดล็อกโครงการเที่ยวด้วยกัน ผลักดันรายได้อุตสาหกรรมท่องเที่ยว 5 แสนล้านบาท</h2>
<strong>สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์</strong> รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวเปิดตัวโครงการ “Workation Thailand ทำงานเที่ยวได้ รวมใจช่วยชาติ” ภายใต้แนวคิด “Working Outing &amp; Meeting from Somewhere” ว่า ภาครัฐให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างมากจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา ผ่านโครงการเที่ยวด้วยกัน และมาตรการต่างๆ ที่ช่วยเหลือผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและโรงแรม ทำให้อัตราการเข้าพักจากร้อยละ 3 ในช่วงที่มีการล็อกดาวน์ ปัจจุบันอัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 30

ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสสุดท้าย ซึ่งโดยปกติจะเป็นช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว ภาครัฐโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับภาคเอกชน และหน่วยงานต่างๆ จัดโครงการ “Workation Thailand ทำงานเที่ยวได้ รวมใจช่วยชาติ” เปลี่ยนทุกที่ของประเทศไทยให้กลายเป็นที่ทำงาน พบปะ พูดคุย สังสรรค์ และจัดประชุม พร้อมเชิญชวนบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ องค์กร และหน่วยงาน ซื้อแพคเกจจัดประชุม สัมนา ในราคาพิเศษ ซึ่งขณะนี้มีบริษัทขนาดใหญ่ตอบรับเข้าร่วมโครงการแล้ว เช่น กลุ่มปตท. และ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่มีการซื้อห้องพักสำหรับการจัดประชุม สัมนา รวมกว่า 1 หมื่นห้อง

<figure><img class="wp-image-35404 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/10/การท่องเที่ยวไทย-03.jpg" alt="" width="600" height="450" /><figcaption> สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน</figcaption></figure>

<span style="color: #993300;">
“การฟื้นฟูอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ต้องอาศัยความร่วมมือกันทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนที่มีการเดินทางท่องเที่ยว เพื่อช่วยกันประคับประคองให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของเราเดินหน้า และแข็งแรง ควบคู่กับการเปิดประเทศอย่างระมัดระวัง เพื่อดึงนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพให้เข้ามา”</span> <strong>สุพัฒนพงษ์ </strong>กล่าว

นอกจากนี้ ภาครัฐยังเตรียมเสนอมาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง โดยให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมแก่บริษัทเอกชนที่เข้าร่วมโครงการ รวมถึงแผนการเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างระมัดระวัง เพื่อดึงนักท่องเที่ยวคุณภาพให้กลับมา และทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง โดยจะเสนอเข้าสู่การพิจารณาของศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 (ศบศ.) โดยเร็วที่สุด

&nbsp;

<strong>เปิด </strong><strong>5</strong><strong> แพคเกจกระตุ้นท่องเที่ยว</strong>

<strong>ยุทธศักดิ์ สุภสร</strong> ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า มีบริษัทที่สนใจเข้าร่วมโครงการ “Workation Thailand ทำงานเที่ยวได้ รวมใจช่วยชาติ” เกือบ 100 หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน เป็นรูปแบบการเดินทางท่องเที่ยวเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โรงแรม โดยที่บริษัทเอกชนสามารถซื้อแพคเกจห้องพักโรงแรมคุณภาพดี ในราคาถูก ผ่านรูปแบบการเดินทางท่องเที่ยวเส้นทางการท่องเที่ยว 5 ประเภท คือ
<ol>
 	<li>CSR Outing ทำงานแบบสุขกาย สุขใจ ได้ตอบแทนสังคมและรักสิ่งแวดล้อม</li>
 	<li>Special Interest ท่องเที่ยวไปกับความสนใจพิเศษที่คุณเลือกได้ เรียนรู้ควบคู่ไปกับการทำงาน สัมผัสเสน่ห์วัฒนธรรมและโบราณสถานทั่วไทย ผ่อนคลายได้สุขภาพ สนุกกับการค้นพบประสบการณ์ใหม่</li>
 	<li>Community สร้างทีมเวิร์ค ความผูกพันของบุคลากรในหน่วยงาน ด้วยกิจกรรมท่องเที่ยววิถีชุมชน</li>
 	<li>Luxury &amp; Gastronomy พบปะหารือ ประชุมบนเรือยอร์ช แบบ Exclusive เสิร์ฟอาหารแบบ Farm to Table วัตถุดิบคุณภาพ สดจากฟาร์มถึงมือคุณ</li>
 	<li>Special Deal ดีลพิเศษเฉพาะ Workation Thailand เสนอส่วนลดพิเศษสุด พร้อมสิทธิพิเศษอื่น ๆ มากมาย เช่น แพคเกจทัวร์ Vouchers ต่าง ๆ มากมาย</li>
</ol>
ยุทธศักดิ์ คาดว่า โครงการดังกล่าวจะช่วยผลักดันเป้าหมายการเดินทางท่องเที่ยวไทยของคนไทยให้ถึง 80–100 ล้านคน/ครั้ง หรือมีรายได้ราว 5 แสนล้านบาท ซึ่งแนวโน้มอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเริ่มกระเตื้องขึ้นจากโครงการเที่ยวด้วยกัน รวมถึงการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวีซ่าพิเศษ (STV) จำนวน 1,200 คน ที่จะเป็นโครงการนำร่อง โดย ททท.จะนำเสนอความคิดเห็น ข้อกังวลต่างๆ เข้าสู่การพิจารณาของ ศบศ. เพื่อปรับมาตรการให้สมดุลระหว่างมาตรการด้านสาธารณสุขและการฟื้นฟูการท่องเที่ยว รวมถึงการลดข้อจำกัดของโครงการเที่ยวด้วยกัน เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิประโยชน์ของโครงการมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ หลักการสำคัญของการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวีซ่าพิเศษ จะต้องปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด มีการกักตัวเช่นเดียว 14 วัน เช่นเดียวกับในสถานกักกันของรัฐ และจะต้องอยู่ในประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำในการระบาดของไวรัสโควิด-19 เช่น กลุ่มนักท่องเที่ยวจากกวางโจว และสแกนดินีเวีย ที่ขอเดินทางเข้ามา อยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีการระบาดแล้วอย่างน้อย 28 วัน เป็นต้น

<span style="color: #993300;">“ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในหลายประเทศ เริ่มมีการเปิดให้เดินทาง เช่น ญี่ปุ่น เป็นต้น สำหรับประเทศไทย หากโครงการ STV ประสบความสำเร็จ จะช่วยให้การเปิดประเทศในช่วงปลายปีสามารถดำเนินการได้ และทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวในปี 2564”</span> ยุทธศักดิ์กล่าว

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/commentaries/insights/transformation-are-you-ok.html">Transformation …..Are you OK?</a>

&nbsp;

<article id="post-34018" class="post-34018 post type-post status-publish format-standard has-post-thumbnail hentry category-marketing category-news tag-891 tag-11994 tag-11992 tag-1970 tag-11993">
<div class="body-content post-content-wrap post-detail">
<div>

<hr />

ไม่พลาดบทความด้านกลยุทธ์องค์กรและธุรกิจ ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine </a>
และ <a href="https://twitter.com/Forbes_TH">ทวิตเตอร์ Forbes Thailand</a>

</div>
</div>
</article>&nbsp;

&nbsp;

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events