<h2>KCG ประกาศผลการดำเนินงานครึ่งแรกปี 2568 ทำกำไรสุทธิ 221.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.1% โดยเป็นผลมาจากยอดขายที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ประกอบกับการบริหารต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ มั่นใจครึ่งปีหลังรายได้โตต่อเนื่อง </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดำรงชัย วิภาวัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG&nbsp;เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 มียอดขาย 1,896.2 ล้านบาท เติบโต 12.3% และมีกำไรสุทธิ 99.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และสำหรับรอบระยะเวลา 6 เดือน ปี 2568 บริษัทฯ มียอดขาย 3,932.7 ล้านบาท เติบโต 13.2% และมีกำไรสุทธิ 221.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ต้นทุนวัตถุดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยยอดขายเติบโตจากทุกช่องทางการจำหน่าย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มั่นใจครึ่งปีหลังยังสามารถรักษาโมเมนตัมการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง หลังราคาวัตถุดิบเริ่มทรงตัว และยังคงบริหารจัดการต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ&nbsp;หลังสหรัฐอเมริกาได้กำหนดอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) สำหรับสินค้าจากประเทศไทยในอัตรา 19% ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศอื่นในภูมิภาค จึงคาดว่าประเทศไทยจึงจะยังสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันไว้ได้ ทั้งนี้ แม้ยังมีความไม่แน่นอนจากมาตรการ Reciprocal Tariffs แต่คาดว่าผลกระทบต่อบริษัทฯ จะค่อนข้างจำกัด เนื่องจากบริษัทฯ ไม่มีการส่งออกสินค้าไปที่สหรัฐอเมริกา รวมถึงยังมีโอกาสในการนำเข้าวัตถุดิบหรือสินค้าสำเร็จรูปจากสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น ในกรณีที่อัตราภาษีนำเข้าลดลงจนต้นทุนการนำเข้ามีความเหมาะสมช่วยเพิ่มทางเลือกในการจัดหาวัตถุดิบและสินค้าที่สามารถแข่งขันในตลาดได้มากขึ้น&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/08/vYY2QPCLmBVudG6tWBW6.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="vYY2QPCLmBVudG6tWBW6.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> ภาพ : KCG เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/awc-shows-q-2-2025-net-profit-of-1404-million-baht" alt="AWC โชว์ Q2 ปี 68 กำไรสุทธิ 1,404 ล้านบาท เร่งเดินหน้าขยายพอร์ตโรงแรม-ธุรกิจคอมเมอร์เชียลดึงดูดนักท่องเที่ยว">AWC โชว์ Q2 ปี 68 กำไรสุทธิ 1,404 ล้านบาท เร่งเดินหน้าขยายพอร์ตโรงแรม-ธุรกิจคอมเมอร์เชียลดึงดูดนักท่องเที่ยว</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>
<div style="display:none;"><a href="https://www.baliwebs.com/portfolio/" rel="dofollow">wd808</a></div>
<div style="display:none;"><a href="https://www.baliwebs.com/portfolio" rel="dofollow">wd808</a></div>

KCG โชว์ผลงานครึ่งแรกปี 68 กำไรสุทธิ  221 ล้านบาท มั่นใจครึ่งปีหลังรายได้โตต่อเนื่อง

<h2>ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผย ปี 67 ผลการดำเนินงานบจ. ภาพรวมกำไรสุทธิลดลง 3.7%จากหมวดธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ แต่กลุ่มธุรกิจทั่วไปยังเพิ่มขึ้น มาจากการท่องเที่ยว ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภค บริการ และกลุ่มการเงินได้รับผลบวกจากอัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวในระดับสูง ส่วน mai งวดปี 2567 ยอดขายและกำไรสุทธิยังเพิ่มขึ้น </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) หรือ SET&nbsp;เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) จำนวน 807 บริษัท นำส่งผลการดำเนินงานปี 2567 คิดเป็น 98.9% จากทั้งหมด 816 บริษัท (รวม SET และ mai ที่มีกำหนดส่งงบการเงิน ณ สิ้นงวด 31 ธันวาคม 2567 และไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน) พบว่ามี บจ. รายงานกำไรสุทธิ 604 บริษัท คิดเป็น 74.8% ของ บจ. ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลการดำเนินงานปี 2567 เทียบกับปีก่อน บจ. ใน SET มียอดขาย 17,524,872 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.1% ขณะที่ต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายการขายและบริหารเพิ่มขึ้นสูงกว่าเล็กน้อย ทำให้ บจ. มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit) 1,559,270 ล้านบาท&nbsp;ลดลง 1.1% และกำไรสุทธิ 859,401 ล้านบาท ลดลง 3.7%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ หากพิจารณาในกลุ่มธุรกิจทั่วไป (ไม่รวมหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์) บจ. จะมียอดขาย กำไรจากการดำเนินงานหลัก และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น สำหรับฐานะการเงินของกิจการ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 บจ. ไทยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ratio (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ 1.49 เท่า ลดลงจาก 1.52 เท่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลบวกให้ บจ. ไทยที่ทำธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว การอุปโภคบริโภค และการบริการ มีผลประกอบการดีขึ้น เช่น หมวดอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค ค้าปลีก โรงแรม การบิน โรงพยาบาล โทรคมนาคม และพื้นที่เช่าการค้า นอกจากนี้ พบการเติบโตในกลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมจากอุปสงค์ในพื้นที่ EEC ที่เพิ่มขึ้นมาก สอดคล้องกับกระแสการย้ายฐานการผลิต (relocation) และจำนวนคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และธุรกิจการเงินซึ่งได้รับผลบวกจากอัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันและส่วนต่างค่าการกลั่นปรับลดลงในปี 2567 กดดันความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและปิโตรเคมีภัณฑ์ และภาพรวมของ บจ. ทั้งหมด” นายอัสสเดชกล่าว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/rfP4A6zaQzKPs3GHsNmJ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="720px,480px" data-align="center" data-index="1" data-file-name="rfP4A6zaQzKPs3GHsNmJ.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,480" data-origin="720px,480px" style="width: 720px; height: 480px;"></figure></div>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนใน mai จำนวน 215 บริษัท คิดเป็น 97% จากทั้งหมด 222 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่ปิดงบไม่ตรงงวด) นำส่งผลการดำเนินงาน โดยปี 2567 มี บจ. ที่รายงานกำไรสุทธิจำนวน 152 บริษัท คิดเป็น 71% ของบริษัทที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลการดำเนินงานประจำปี 2567 ของ บจ. mai เปรียบเทียบกับปีก่อน มียอดขายรวม 209,453 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.8% ต้นทุนขาย 155,577 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.9% ทำให้อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) เพิ่มขึ้นจาก 25.1% มาอยู่ที่ 25.7% อย่างไรก็ดี การที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มเพียง 0.1% ส่งผลให้ บจ. มีกำไรจากการดำเนินงาน 14,995 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.9% และมีกำไรสุทธิรวม 5,550 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.5%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ผลการดำเนินงาน บจ. ใน mai งวดปี 2567 พบว่า บจ. มีกำไรสุทธิเติบโตเพียง 5.5% ทั้งที่ผลการดำเนินงาน 9 เดือนปี 2567 ทำผลประกอบการสะสมมาได้ดี แต่เนื่องจากไตรมาส 4 มีรายการอื่นๆ เช่น การตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น การตั้งด้อยค่าเงินลงทุนหรือสินทรัพย์ ทั้งนี้หากไม่รวมรายการอื่นๆ ดังกล่าว กำไรสุทธิจะเติบโต 71.8% พบ 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังคงเติบโตทั้งยอดขาย และกำไรสุทธิ ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มบริการ และกลุ่มเทคโนโลยี” นายประพันธ์กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในส่วนของฐานะทางการเงิน บจ. mai มีสินทรัพย์รวม 328,946 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.3% จากสิ้นปี 2566 โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) อยู่ที่ 0.79 เท่า เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2566 ที่เท่ากับ 0.77 เท่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันมี บจ. ใน mai 222 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 12 มีนาคม 2568) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 246.45 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (market capitalization) อยู่ที่ 239,893.40 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 672.37 ล้านบาทต่อวัน ภาพ:&nbsp;ตลาดหลักทรัพย์ฯ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/mof-new-ltf-esg-thai-esgx-mar-2025" alt="รัฐหวังตลาดหุ้นไทยฟื้น! ครม. อนุมัติตั้งกองทุน Thai ESGX ลดหย่อนภาษี รับเงินโยกจาก LTF ได้">รัฐหวังตลาดหุ้นไทยฟื้น! ครม. อนุมัติตั้งกองทุน Thai ESGX ลดหย่อนภาษี รับเงินโยกจาก LTF ได้</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยปี 67 บจ. ในตลาดหุ้นไทย 'หุ้นท่องเที่ยว-บริโภค' โต แม้กำไรฯ ภาพรวมลดลง 3.7%

<h2>แบรนด์ชื่อดังเหล่านี้มาจาก 16 ประเทศและจาก 19 ภาคธุรกิจ ไม่ผิดคาดเท่าไหร่นักที่บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ กวาดอันดับต้นๆ ไปครอง บริษัทที่มีอันดับเพิ่มขึ้นสูงสุดจากปีที่ผ่านมาคือ Facebook ซึ่งมูลค่าแบรนด์พุ่งสูงขึ้นถึง 44% ขณะที่ไอบีเอ็มมีผลงานไม่ดีนัก โดยมูลค่าแบรนด์ลดลง 17% จากรายชื่อแบรนด์ทั่วโลกมากกว่า200 แบรนด์เราจัดอันดับโดยประเมินจากตัวเลขกำไร อัตราส่วนทางการเงินต่างๆ และบทบาทของแบรนด์ในแต่ละภาคธุรกิจ (ตัวอย่างเช่น มีบทบาทสำคัญในธุรกิจสินค้าหรูแต่ไม่โดดเด่นในภาคอุตสาหกรรมการผลิต)</h2>

<hr />

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/eeb6760b1eebe98d64083424fed3c500.png" alt="" />
1. Apple
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 1.54 แสนล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 6%

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/cd8ce95643988393d26e4426f68c5642.png" alt="" />
2. Google (Alphabet)
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 8.25 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 26%

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/8a87b72d1d01ee0929c0a8d4026ac6de.png" alt="" />
3. Microsoft
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 7.52 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 9%

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/bb5860042c5cafb389673133ca18c950.png" alt="" />
4. Coca-Cola
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 5.85 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 4%

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/662a75d78aa3f2e939f26957c12874b6.png" alt="" />
5. Facebook
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 5.26 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 44%

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/e895fb9681e3191ce22f4bb7e09a4de8.png" alt="" />
6. Toyota
ญี่ปุ่น
มูลค่าแบรนด์: 4.21 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 11%

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/45313174b001c11c3f4286fca980a55b.png" alt="" />
7. IBM
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 4.14 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: –17%

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/535173ad6327ed42cfa66367a5c9a4df.png" alt="" />
8. Disney
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 3.95 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 14%

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/820f94dc3cdee03f050fd6af08ad9ea1.png" alt="" />
9. McDonald’s
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 3.91 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: –1%

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/bcee3f0ca4708093ccb07a57d1b76284.png" alt="" />
10. GE
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 3.67 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: –2%

11. SAMSUNG
เกาหลี
มูลค่าแบรนด์: 3.61 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: –5%

12. AMAZON
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 3.52 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 25%

13. AT&amp;T
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 3.26 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 12%

14.BMW
เยอรมนี
มูลค่าแบรนด์: 2.88 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 4%

15. CISCO
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 2.84 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 3%

16. ORACLE
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 2.8 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 4%

17. INTEL
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 2.77 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 7%

18. NIKE
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 2.75 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 5%

19. LOUIS VUITTON (คริสเตียน ดิออร์)
ฝรั่งเศส

มูลค่าแบรนด์: 2.73 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: –3%

20. Mercedes-Benz (Daimler)
เยอรมนี
มูลค่าแบรนด์: 2.6 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 16%

21. Verizon
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 2.58 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 5%

22. Wal-mart
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 2.54 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 3%

23. HONDA
ญี่ปุ่น
มูลค่าแบรนด์: 2.52 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 8%

24. American Express
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 2.43 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 4%

25. BUDWEISER
(Anheuser-Busch InBev)
เบลเยียม
มูลค่าแบรนด์: 2.34 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 5%

26. MARLBORO
(Philip Morris Int’l &amp; Altria)
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 2.19 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 11%

27. SAP
เยอรมนี
มูลค่าแบรนด์: 2.16 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 10%

28. GILLETTE
(Procter &amp; Gamble)
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 2.02 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: –1%

29. PEPSI
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 1.94 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 3%

30. VISA
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 1.92 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 2%

<hr />

<a href="http://goo.gl/fFO1hE">คลิ๊กอ่าน "100 แบรนด์มูลค่าสูงสุดของโลก" ฉบับเต็มได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ JULY 2016 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="http://goo.gl/fFO1hE"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/6ef061c9479ff04c8771ed25445ed78a.png" alt="" /></a>

แบรนด์มูลค่าสูงสุดของโลก

<div>
	29 มกราคม 2558 - Apple สร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง หลังรายงานผลประกอบการของไตรมาสสุดท้ายปี 2014 ด้วยตัวเลขอันน่าตื่นตาตื่นใจ เพราะเป็นการทำกำไรเฉพาะไตรมาสที่มากที่สุดเท่าที่เคยปรากฏ ด้วยรายได้สุทธิ 1.8 หมื่นล้านเหรียญ ทุบสถิติเดิมของบริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรัสเซีย Gazprom ที่ทำไว้ 1.62 หมื่นล้านเหรียญ เมื่อไตรมาสแรกของปี 2011 และของบริษัทน้ำมันเนเธอร์แลนด์ Royal Dutch Shell ที่มีกำไร 1.62 หมื่นล้านเหรียญ ในไตรมาสสองของปี 2008</div>
<div>
	 
	&nbsp;</div>
<div>
	ผลประกอบการอันน่าทึ่งครั้งนี้ แม้แต่ Tim Cook ซีอีโอของบริษัท ยังแสดงอาการแปลกประหลาดใจ ระหว่างการพูดคุยกับนักวิเคราะห์เมื่ออังคารที่ผ่านมา&nbsp;</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	"วันนี้เรากำลังพูดถึงไตรมาสที่เป็นประวัติศาสตร์ของบริษัท" Cook กล่าวผ่านทางโทรศัพท์ "ความสนใจในผลิตภัณฑ์ของ Apple พุ่งสูงสุด ความต้องการ iPhone มีเป็นจำนวนมาก เหนือเกินประมาณการระดับสูงสุดของเราเสียอีก นั่นเพราะความนิยม iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ที่มากเป็นประวัติการณ์ ในปริมาณที่ยากจะอธิบายได้"</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	Cook สรุปว่า ในไตรมาสที่ผ่านมา Apple ขาย iPhone ได้เฉลี่ยชั่วโมงละ 34,000 เครื่อง</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	ยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยีไอทีของโลกสร้างสถิติขาย iPhone ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2014 ได้กว่า 74.5 ล้านเครื่อง เหนือเกินคำพยากรณ์ของบรรดานักวิเคราะห์ ที่ประเมินไว้ในทางบวกว่าจะมียอดขายระหว่าง 60 ถึง 71 ล้านเครื่อง</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	ด้วยยอดจำหน่าย iPhone นี่เอง ช่วยดันให้รายได้ของบริษัทพุ่งถึง 60% &nbsp;นอกจากนั้นแล้ว ยอดขายในประเทศจีนยังเป็นหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนบริษัทมาถึงหลักกิโลเมตรแห่งประวัติศาสตร์</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	ในจีนแผ่นดินใหญ่ ยอดขายพุ่งทะยานถึง 70% ที่ 1.61 หมื่นล้านเหรียญ แม้ว่าทาง Apple จะไม่ได้แยกชัดว่าเป็นจำนวนกี่เครื่อง แต่ตัวเลขสถิติระบุว่าเป็นสัดส่วนรายได้ 21.6% ของรายได้ทั้งไตรมาส เพิ่มขึ้นกว่าปีกลายซึ่งอยู่ที่ 16.5%&nbsp;</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	ปัจจัยสำคัญทำให้ iPhone มีอนาคตสดใสในประเทศจีน คือการมอบหมายให้ China Mobile เป็นผู้จัดจำหน่าย &nbsp;China Mobile คือผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือรายใหญ่สุดในจีน มีลูกค้ามากกว่า 800 ล้านราย และมีถึง 335 ล้านรายใช้งานบนเครือข่าย 3G หรือ 4G &nbsp;เขาเหล่านี้เป้าหมายของ iPhone &nbsp;และตัว Cook เองเป็นตัวจักรสำคัญในความสำเร็จของดีลนี้</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	Apple เริ่มเจรจากับ China Mobile มาตั้งแต่ปี 2008 ในยุคของ Steve Jobs แต่ตัวเขาไม่มีโอกาสเดินทางเข้าประเทศจีนในฐานะซีอีโอ &nbsp;หลังจาก Cook เข้ารับตำแหน่งเมื่อปี 2011 ได้ไปเยือนจีนถึงสามครั้งในรอบปี เพื่อพบกับ Xi Guohua ประธาน China Mobile &nbsp;เขาได้มอบ iPhone สีทองให้กับ Guohua หลังจรดปากกาลงนามร่วมมือทางธุรกิจ&nbsp;</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	หลังจากนั้น หน้าใหม่ของประวัติศาสตร์ Apple ก็ได้เริ่มต้นขึ้น 
	&nbsp;</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	<hr />
	
		เรียบเรียงจาก <a href="http://www.forbes.com/sites/parmyolson/2015/01/28/apple-posted-the-biggest-quarterly-profit-in-history/?utm_campaign=Forbes&amp;utm_source=TWITTER&amp;utm_medium=social&amp;utm_channel=Technology&amp;linkId=12011300">Apple Posted The Biggest Quarterly Profit In History</a> โดย Parmy Olson 
		 
		 
		&nbsp;
</div>
<div>
	&nbsp;</div>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events