<h2>ธรรมชาติชายทะเลเขาหลักสวยเกินบรรยาย หาดทรายละเอียดทอดตัวยาว ตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าสดใสของชายฝั่งอันดามัน เป็นดั่งมนตร์เสน่ห์ทำให้ผู้มาเยือนประทับใจไม่รู้ลืม เฉกเช่นเดียวกับ "เทวาศรม" รีสอร์ตที่เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ และคงวิถีชีวิตท้องถิ่น สร้างความรื่นรมย์ให้วันพักผ่อนของผู้มาเยือน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หาดเขาหลักตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาหลัก-ลำรู่ จังหวัดพังงา เป็นชายหาดที่มีทิวทัศน์สวยงาม บรรยากาศเงียบสงบ มีความเป็นส่วนตัว นี่คือคำบอกเล่าถึงเขาหลักจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดพังงา ฟังเพียงชื่อ “เขาหลัก” และทำเลซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในอุทยานแห่งชาติทางทะเล ทำให้นึกภาพตามถึงบรรยากาศที่สงบเงียบ โอบล้อมด้วยธรรมชาติของหาดทราย สายลม และแสงแดด สัมผัสได้ถึงความสงบ สดชื่น และผ่อนคลาย เปรียบดั่งแดนสวรรค์ในอุดมคติของหลายคน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ชื่อเทวาศรมมาจากภาษาสันสกฤต ซึ่งคําว่าเทวาก็คือเทวดา ส่วนอาศรมก็คือบ้าน” อิศร์ อติรักษ์ ผู้ก่อตั้งเทวาศรม รีสอร์ท กรุ๊ป บริษัท เทวาศรม เขาหลัก จำกัด เริ่มบทสนทนากับทีมงาน Forbes Thailand เมื่อถูกทักว่า ชื่อเทวาศรม (Devasom) นั้นคล้ายกับชื่อของเวลเนสรีสอร์ตเก่าแก่ชื่อดังของหัวหิน ซึ่งเขาตอบว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อิศร์อธิบายว่า เขาตั้งใจใช้ชื่อ “เทวาศรม” โดยมีนัยถึงที่พักของเหล่าเทวดาตามความหมายในภาษาสันสกฤต และเทวาศรม รีสอร์ท โครงการแรกของเขาก็อยู่ที่หัวหินเช่นกัน เปิดมานานกว่า 15 ปีแล้ว มีเอกลักษณ์เป็นเรือนไม้สีขาวสะอาดตา ริมหาดระหว่างชะอำ-หัวหิน มีเอกลักษ์เป็นที่จดจำโดยมีจำนวนห้องพักให้บริการเพียง 24 ยูนิตเท่านั้น​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/X1PxyNEsPmRK7FoDDAyr.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="X1PxyNEsPmRK7FoDDAyr.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนเทวาศรม เขาหลัก เป็นโครงการที่ 2 ในแบรนด์เทวาศรมซึ่งพัฒนาขึ้นโดยออกแบบให้กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่งดงาม พยายามรักษาธรรมชาติไว้มากที่สุด ออกแบบให้ใกล้เคียงและเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ มีอาคารที่เปิดโล่งเชื่อมโยงพื้นที่รีสอร์ตกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เทวาศรม เขาหลัก ตั้งอยู่บนพื้นที่ดิน 18 ไร่ ซึ่งเดิมเคยเป็นสวนมะพร้าวมาก่อน แปลงที่ดินด้านหน้าติดหาดกว้าง 120 เมตร ซึ่งตัวหาดเป็นหาดสาธารณะในอุทยานแห่งชาติเขาหลัก-ลำรู่ ที่มาจากชื่อของยอดเขาหลักและเขาลำรู่ มีชายหาดสาธารณะที่ทั้งสวยงามทอดตัวยาว และมีบรรยากาศที่สงบเงียบ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/pisrGpLwvBLAxX819NYW.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="pisrGpLwvBLAxX819NYW.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,486" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อิศร์เล่าความประทับใจว่า เมื่อได้เห็นพื้นที่ครั้งแรกเขาคิดเลยว่ารีสอร์ตที่นี่ต้องเป็นลักชัวรี่ที่ออกแบบกลมกลืนไปกับธรรมชาติและเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมท้องถิ่นให้มากที่สุด เพราะไม่อยากให้ธรรมชาติที่สวยงามและวิถีชีวิตของท้องถิ่นซึ่งเป็นเสน่ห์เฉพาะพื้นที่นี้เปลี่ยนไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“คอนเซ็ปต์ที่ตั้งใจแต่แรกเลยต้องการสร้างรีสอร์ตด้วยการนำเสนอประสบการณ์ที่แตกต่าง เป็นลักชัวรี่รีสอร์ตที่ไม่พลุกพล่าน และต้องเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตในท้องถิ่น” อิศร์บอกว่า นอกจากคิดคอนเซ็ปต์การออกแบบแล้ว เขายังได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของพื้นที่ซึ่งมีวัฒนธรรมโบราณ มีเรื่องราวถ่ายทอดจากอดีต บอกเล่าอารยธรรมของเมืองโบราณในย่านนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เขาพยายามกลั่นกรองเรื่องราวเหล่านี้นำมาถ่ายทอดในรูปแบบรีสอร์ตที่สวยงาม เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติ ขณะเดียวกันต้องสะดวกสบาย ตอบโจทย์วันพักผ่อนที่รื่นรมย์ไปกับธรรมชาติซึ่งสัมผัสได้อย่างเรียบง่าย​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/AksTdzbm9Putk5RVHeqW.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="AksTdzbm9Putk5RVHeqW.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,540" style="" data-index="2"></figure></div> ดีไซน์เด่นเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เทวาศรม เขาหลัก เปิดบริการครั้งแรกเมื่อปี 2561 ก่อนหน้าเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 เพียง 1 ปี รีสอร์ตเปิดใหม่เพิ่งทำความรู้จักกับลูกค้า ซึ่งยังไม่ทันได้บอกต่อมากนักก็ต้องเผชิญกับการหยุดชะงักในเรื่องการเดินทางของทั้งโลกเพราะสถานการณ์แพร่ระบาดครั้งใหญ่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ช่วงนี้เองเป็นโอกาสในวิกฤตของ “เทวาศรม เขาหลัก” เพราะรัฐบาลกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเพื่อช่วยให้โรงแรม-รีสอร์ตในประเทศให้อยู่ได้ด้วยแคมเปญ “คนละครึ่ง-เราเที่ยวด้วยกัน” มีส่วนอย่างมากที่ทำให้ เทวาศรม เขาหลัก และรีสอร์ตอื่นๆ สามารถดำเนินธุรกิจได้โดยหันมาโฟกัสลูกค้าคนไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ถามว่า การตอบรับดีแค่ไหน อิศร์เล่าด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “Occupancy rate ตอนนั้นบางเดือนดีกว่าสถานการณ์ปกติก่อนโควิดด้วยซ้ำ” แต่ก็แน่นอนว่าหากดูจากรายได้ผลประกอบการยังคงเป็นสีแดง เพราะวิกฤตตลาดช่วงนั้นไม่ปกติ แต่การที่รีสอร์ตเปิดให้บริการมีลูกค้าเข้ามาเรื่อยๆ ช่วยให้รีสอร์ตมี cash flow มีรายได้เพื่อดูแลน้องๆ พนักงานอยู่ได้ ไม่ต้องเลิกจ้าง แต่ก็มีบางคนกลับบ้านไปทำไร่ทำนาซึ่งไม่นานพวกเขาก็ได้กลับมาทำงานต่อเพราะธุรกิจไปต่อได้​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/DQzXrGY6CH5mKLKd45kS.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="DQzXrGY6CH5mKLKd45kS.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="3"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เทวาศรม เขาหลัก มีจำนวนห้องพัก 71 ยูนิต มีทั้งห้องพักติดริมหาดและพื้นที่ถัดเข้ามาภายในซึ่งออกแบบได้อย่างกลมกลืน มีการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง หลังสถานการณ์โควิดคลี่คลายเทวาศรมยังคงได้รับความนิยมถูกกล่าวถึงและแนะนำต่อๆ กันไป ทำให้มีลูกค้าใหม่ๆ เข้ามาใช้บริการ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ลูกค้าเก่าที่เคยมาพักแล้วบางรายมาซ้ำถึง 10 ครั้งภายใน 1 ปี ยอดบุ๊กกิ้งมีมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้นักธุรกิจหนุ่มมองว่าถึงเวลาต้องขยายการพัฒนาในเฟส 2 ตามมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เทวาศรม เขาหลัก กำลังจะขยายเฟส 2 บนที่ดิน 19 ไร่ และเรากำลังมองหาสถานที่ที่ดีเหมือนอัญมณีมาพัฒนาต่อไปอีกด้วยแนวคิดเดียวกัน เป็นเรื่องราวที่ขยายออกไป” อิศร์เผยแผนงานที่เตรียมไว้ ​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/people/thriving-30s/chalakon-eakchaipatanakul-ohkajhu-a-billion-baht-vegetable-farm" alt="ชลากร เอกชัยพัฒนกุล “โอ้กะจู๋” พิชิตฝันฟาร์มผักพันล้าน">ชลากร เอกชัยพัฒนกุล “โอ้กะจู๋” พิชิตฝันฟาร์มผักพันล้าน</a>​ ​<a target="_blank" href="https://www.mebmarket.com/ebook-331408-Forbes-Thailand-November-2024" alt="อ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2567 ในรูปแบบ e-magazine">อ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2567 ในรูปแบบ e-magazine</a>​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/14vcsNetaoqJ9M7UwbvR.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="14vcsNetaoqJ9M7UwbvR.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-percentage="auto,auto" data-rotatex="" data-rotatey="" style="" data-index="4" origin-size="300,394"></figure></div>

อิศร์ อติรักษ์ เติมเสน่ห์เขาหลัก “เทวาศรม” รีสอร์ตหรูคู่วัฒนธรรมท้องถิ่น

<h2>การเปิดตัว Amanpuri ที่ภูเก็ตด้วยจำนวนห้องพักราวๆ 50 ห้องพัก เมื่อเปรียบเทียบเชนโรงแรมที่ต่างแข่งขันด้วยจำนวนห้องพักหลักร้อยห้องแล้วนั้นในขณะนั้น ทำให้เห็นถึงหลักการทำธุรกิจของกลุ่ม Aman ที่มอบให้กับแขกผู้เข้าพัก โดยมีปรัชญา 4 ข้อเปรียบเสมือนเสาหลักในการดำเนินธุรกิจที่สืบต่อมาจนกระทั่งปัจจุบันในยุค Vladislav Doronin ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม Aman</h2>
<img class="alignnone size-full wp-image-56525" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/Amanpuri-Thailand-Accommodation-Villa-5-4-Bedroom-Ocean-Villa-Dinner-Setup-Meetings_High-Res_12961.jpg" alt="" width="600" height="450" />

“สวรรค์บนดิน” นิยามติดปากจากผู้เข้าพัก Amanpuri ที่ ภูเก็ต รีสอร์ตแห่งแรกของ Aman Resorts ที่เริ่มให้บริการราวปี 1988 เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างประสบการณ์การเข้าพักแบบลักชัวรี ไฮเอนด์ ที่นำหลักคิดการดำรงชีวิตแห่งโลกตะวันออกผสมผสานการออกแบบด้านสถาปัตยกรรมบนสถานที่ตั้งสำหรับการพักผ่อนอย่างเป็นส่วนตัว

ปรัชญาดังกล่าวกลับเด่นชัดเป็นอย่างมาก หลังจากการระบาดโควิด-19 ที่สถานการณ์การระบาดทำให้บรรดาผู้ประกอบอุตสาหกรรมโรงแรมในทุกระดับต้องปรับมาตรฐานการบริการ สู่ฉากหน้าของการให้บริการรูปแบบใหม่ ขณะเดียวกันด้านนักท่องเที่ยวเอง ต่างเฝ้ารอโอกาส จังหวะ และโหยหาการเดินทางท่องเที่ยว พักผ่อนในบรรยากาศและประสบการณ์ต่างแดนใหม่ ภายใต้ความคาดหวังมาตรฐานบริการที่ถูกสุขลักษณะ

ซึ่งการมอบประสบการณ์สุดประทับใจเป็นไปตามแนวทางการดำเนินธุรกิจของ Aman ที่เรียกว่า “transformation experiences” บริการที่ถูกส่งมอบและได้รับความเชื่อมั่นจากแขกผู้เข้าพักเป็นประจำกับ Aman เป็นเวลายาวนาน

“Transformation experiences จะพบได้จากการเดินทางระหว่างประเทศในการเดินทางไปยังวัฒนธรรมที่แตกต่างและเป็นสิ่งที่ อมัน ให้ความสำคัญภายใต้แนวคิดการบริการที่เราได้นำเสนอ” Doronin กล่าว

<img class="alignnone size-full wp-image-56524" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/Amanpuri-Thailand-Wellness-Spa-Massage-Herbal-Compress-Massage_High-Res_22027.jpg" alt="" width="600" height="400" />

อีกหนึ่งจุดเด่นของอสังหาริมทรัพย์กลุ่ม Aman คือการออกแบบ การตกแต่ง และการจัดการพื้นที่ซึ่งเน้นความเป็นส่วนตัวของแขกผู้เข้าพัก และยังสอดคล้องเข้าสมัยกับมาตรการการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคลที่หน่วยงานรัฐในหลายประเทศได้กำหนดไว้ ทำให้โรงแรมและรีสอร์ตในกลุ่ม Aman แทบไม่ต้องปรับตัวและเป็นสิ่งที่ไม่ตั้งใจ

ทำให้ภาพรวมความต้องการในการเข้าพักในกลุ่มรีสอร์ตจึงมีความต้องการที่ต่อเนื่อง อย่าง Amanzoe กรีซ, Amanyara ที่หมู่เกาะเติกส์และเคคอส แขกที่พักได้รับบริการอย่างเต็มรูปแบบไม่ว่าเรื่อง การกินอยู่ หลับ นอน การเข้ารับการสปา ทรีตเม้นต์ ภายในวิลล่าส่วนตัว

“สิ่งที่ผมรู้สึก เราเปลี่ยนตัวเองด้านบริการน้อยมาก เพราะเดิมเรามีบริการเหล่านี้อยู่แล้ว มีพื้นที่ให้แขกเยอะ โอกาสที่แขกที่เข้าพักจะเจอกันค่อนข้างน้อย แต่เราก็ต้องปฏิบัติตามแนวทางของรัฐบาลในแต่ละประเทศ พนักงานทุกคนต้องเข้าถึงการรับวัคซีนให้เร็วที่สุด” Doronin กล่าว

แม้ Doronin จะกล่าวว่าถึงการปรับตัวในการให้บริการของโรงแรมค่อนข้างน้อยก็ตาม แต่ด้วยสถานการณ์การท่องเที่ยวที่หยุดชะงัก สั่งห้ามผู้คนเดินทางข้ามพรมแดนไปยังต่างแดน ทำให้อุตสาหกรรมโรงแรมและรีสอร์ต ต่างปรับโฟกัสกับกลุ่มนักท่องเที่ยวภายในประเทศ

ทั้งยังเป็นแนวทางของกลุ่ม Aman เช่นกันที่ต้องศึกษาและลงสำรวจเรื่องการท่องเที่ยวภายในประเทศต่างๆ ซึ่งทำให้ Aman ได้พบเรื่องราวท้องถิ่นและข้อมูลสดใหม่ และยังเสริมกลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อมุ่งเน้นการทำการตลาดกับกลุ่มเป้าหมายภายในประเทศ โดยเฉพาะ Amangiri สหรัฐฯ, Amanyara ที่หมู่เกาะเติกส์และเคคอส, Amanpulo ฟิลิปปินส์ โดย Aman ทำให้ทั้ง 3 แห่งนี้มีอัตราการเข้าพักที่ดีกว่าก่อนการเกิดโควิด-19

“อมันยังคงให้ความสำคัญกับการโฟกัสการท่องเที่ยวจากกลุ่มนักท่องเที่ยวภายในประเทศ แม้ว่าการท่องเที่ยวระหว่างประเทศจะกลับมาแล้วก็ตามที่ผ่านมา Amanpulo ฟิลิปปินส์, Amangiri สหรัฐฯ และ Aman Venice อิตาลี โรงแรมทั้ง 3 แห่งที่มีผลการดำเนินที่ดีที่สุดของกลุ่มโรงแรมในเครือประจำปี 2020-2021 เลยทีเดียว”

<figure><img class="wp-image-56528 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/amangiri.jpg" alt="" width="600" height="374" /><figcaption> หนึ่งในกิจกรรมของ Amangiri ที่รอต้อนรับแขกผู้มาเยือน</figcaption></figure>

Doronin เปิดเผยด้วยว่า รอยัลตี้โปรแกรมของกลุ่ม Aman ถือว่ามีความแข็งแกร่งที่สุดในอุตสาหกรรมการโรงแรมซึ่งสะท้อนได้จากจำนวนแขกที่กลับมาเข้ามาใช้บริการ อย่าง Amanpuri ภูเก็ต มีความต้องการของผู้เข้าพักเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะแขกเดิมที่ต้องการกลับมาเยี่ยมรีสอร์ตที่เปรียบเสมือนบ้านหลังของ Aman ที่ภูเก็ตและยังเป็นโรงแรมเรือธง ซึ่งโดยปกติในทุกซีซั่นจะมีการเปิดตัว เพรชทีช โปรแกรมแพลน ในทุกๆ ปีในการต้อนรับผู้เข้าพักและยังเป็นโปรแกรมที่แขกคนสำคัญของ Aman รอคอย

นอกจากนี้ระหว่างช่วงเวลาโควิดทีมของ Aman ไม่ได้หยุดนิ่ง คิดและสร้างผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมต่อแฟนคลับของ Aman ระหว่างการล็อกดาวน์ ด้วยการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มดูแลผิวพรรณให้คลายความคิดถึงไม่ว่าจะเป็นการออกกลุ่มผลิตภัณฑ์ อาทิ อาหารเสริม SVA จากสมุนไพร กลุ่มสกินแคร์ น้ำหอม เครื่องหอม และเสื้อผ้า เพื่อให้บรรดาแฟนคลับสัมผัสกลิ่นอายของ Aman ได้ที่บ้านของตัวเอง

<figure><img class="wp-image-56521 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/Aman-New-York.jpg" alt="" width="600" height="600" /><figcaption> Aman New York</figcaption></figure>

สำหรับการลงทุนและขยายสาขาของกลุ่ม Aman นั้น Doronin เปิดเผยว่าใกล้จะถึงช่วงเวลาสำคัญและไฮไลท์ของกลุ่ม Aman ที่เรียกว่าเป็นโครงการที่จะเกิดขึ้นครั้งเดียวในชีวิต ด้วยการเปิดตัว Aman New York ตั้งอยู่บนถนนหมายเลย 5 ซึ่งเป็นหนึ่งในทำเลที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก  เป็นการปรับปรุงอาคาร Crown Building ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ใจกลางเมืองนิวยอร์ก มาทำเป็นโรงแรมสุดหรูให้บริการห้องสวีทจำนวน 83 ห้อง มีเรสสิเด้นท์ 22 หลัง

“อมัน นิวยอร์ก เป็นโครงการพิเศษมาก ถือได้ว่าเป็นโครงการที่จะเกิดเพียงครั้งหนึ่งในชีวิต ด้วยการออกแบบนำแรงบันดาลใจในการสร้างอสังหาริมทรัพย์ของอามานแห่งโลกตะวันออก มาผสมผสานความศิวิไล แห่งเมืองแมนฮัดตัน”

Doronin ตั้งเป้า Aman New York จะเป็น Holistic Wellness Center แห่งแรกของฝั่งตะวันตก ซึ่งเป็นศูนย์สุขภาพแบบครบวงจร ขณะที่ Holistic Wellness Center ฝั่งตะวันออกอยู่ที่ Amanpuri ภูเก็ต เป็นสถานที่แห่งแรก นอกจาก Aman New York อีกหนึ่งไฮไลท์คือการเปิดตัว Aman Nai Lert Bangkok ในปี 2566 โดยโครงการนี้ประกอบด้วยส่วนของโรงแรม ที่จะห้บริการชั้นสูงจากบริการ สปา และ Aman Club นอกจากนี้ยังมีในส่วนที่เป็นเรสสิเด้นท์ ภายในบริเวณปาร์คนายเลิศ

“ธุรกิจเรากำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีโครงการที่จะเปิดตัวในอนาคตอีก 5 ปีข้างหน้า” Doronin กล่าว

<figure><img class="wp-image-56523 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/Aman-Venice.jpg" alt="" width="453" height="280" /><figcaption> Aman Venice อิตาลี</figcaption></figure>

สำหรับวัฒนธรรมการทำงานและหลักการเชิงธุรกิจของ Aman ของเขานั้น Doronin เผยว่า เขาเองมีความมั่นใจว่าถ้าเรามีความเข้าใจและมองมุมที่ชัดเจน เราจะประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจระหว่างประเทศ และการมีมุมมางธุรกิจเดียวกันจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจที่ Aman ต้องการ

โดยตัวเขาเองปัจจุบันยังคงทำงานหนัก และว่าความตั้งใจในการทำงานของเขาจะช่วยในธุรกิจมุ่งไปสู่ความสำคัญ “ถ้าเราใส่ใจในความสำเร็จและใส่ใจในองค์ประกอบกับสิ่งที่ทำผลงานจะออกมาดีและมีประสิทธิภาพ”

Doronin ทิ้งท้ายด้วยว่า นอกจากนี้ความสมดุลระหว่างการทำงานและการพักผ่อนเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง เพราะว่าถ้าสุขภาพดี จะส่งผลให้ทุกอย่างดี “ที่ อมัน เราสนับสนุนให้พนักงานของอมันใส่ใจในสุขภาพ ผมออกกำลังทุกวันไม่ว่าจะเป็นการทำสมาธิ จี้กง โยคะ ทุกรีสอร์ตของอมันไม่พลาดที่จะเข้าไปเข้ากิจกรรมต่างๆ ที่ทางรีสอร์ตจัดขึ้นมา”

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/world/forbes-halo-100-%e0%b8%9a%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%a9%e0%b8%b1%e0%b8%97%e0%b8%9c%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b8%aa%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b9%81%e0%b8%9a%e0%b8%a3%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b9%8c.html">Forbes Halo 100: บริษัทผู้สร้างแบรนด์ขวัญใจมหาชน</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Vladislav Doronin เดินหน้า "AMAN" โลกการพักผ่อนยุคใหม่

<h2>หลังการเสียชีวิตของ Robert Oatley ดูเหมือนว่าตระกูล Oatley ซึ่งเป็นครอบครัวแรกในประเทศออสเตรเลียที่ทำธุรกิจแข่งขันเรือยอชต์จะหันไปให้ความสำคัญกับการขยายกิจการรีสอร์ต การกระจายการลงทุนไปในธุรกิจต่างๆ และการเตรียมตัวกลับมาคว้าชัยในการแข่งเรือรายการ Sydney-Hobart อีกครั้ง</h2>
ครอบครัว Oatley เป็นเจ้าของเรือยอชต์ที่ชื่อ Wild Oats XI ซึ่งนับเป็นเรือที่ทันสมัยที่สุดในทศวรรษก่อน แต่ด้วยเทคโนโลยีที่รุดหน้าทำให้ครอบครัว Oatley ต้องเร่งปรับปรุงเรือครั้งใหญ่ เรือ Wild Oats ที่ผ่านการปรับโฉมได้ฤกษ์เปิดตัวในวัน Boxing Day ของรายการแข่งเรือ Sydney-Hobart ปี 2015  แต่สภาพอากาศในวันนั้นไม่เอื้ออำนวยอย่างรุนแรง พายุที่พัดถล่มทำให้เรือยอชต์ราคาแพงระยับจำนวนมากเสียหายยับเยิน รวมถึงเรือ Wild Oats ที่หมดโอกาสได้สำแดงความเร็วและต้องรับความพ่ายแพ้

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/8cd7a347492c59d8524a38d6bf695150.png" alt="" />

อย่างไรก็ตามทั้งกัปตันเรือและลูกทีมต่างก็ได้รับแชมเปญต้อนรับอย่างอบอุ่นหลังเสร็จสิ้นการแข่งขัน เสียงตะโกนให้กำลังใจดังมาแต่ไกลจากหนุ่มใหญ่รูปร่างกำยำที่สวมหมวกเบสบอลปักคำว่า Wild Oats เขาตรงดิ่งเข้าไปสวมกอดและทักทายลูกเรือทุกคนที่กลับเข้าฝั่งมาอย่างปลอดภัย

ชายคนนั้น คือ Sandy Oatley บุตรชายของ Robert Oatley ซึ่งเข้ามารับช่วงบริหารกิจการของครอบครัวในฐานะซีอีโอต่อจากผู้เป็นบิดาตั้งแต่ปี 2001 และทำหน้าที่สานต่อเต็มตัวหลัง Robert จากไปอย่างไม่มีวันกลับเมื่อเดือนมกราคม 2016 ขณะเขามีอายุ 87 ปี ปัจจุบันอาณาจักรธุรกิจของ Oatley มีพนักงานรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,500 คน นับรวมถึงกิจการไร่องุ่นเพื่อผลิตไวน์ที่ชื่อ Robert Oatley Vineyards และเกาะ Hamilton รีสอร์ตส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก

แม้ Sandy จะได้รับคำชมเชยในการทำงาน แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ยอมรับคำชมนั้น “พ่อได้สร้างทุกอย่างไว้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วต่างหาก เขาได้ส่งมอบเพชรเม็ดงามให้กับผม ส่วนผมมีหน้าที่สานต่อนโยบายต่างๆ ที่พ่อได้ทำไว้ซึ่งเราเรียกสิ่งนี้ว่า การเจียระไนเพชร”

Sandy วัย 63 ปี เป็นบุตรชายคนโตของ Robert เขาได้เข้ามาเรียนรู้งานเพื่อเตรียมตัวรับช่วงกิจการต่อจากพ่อมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว พ่อของเขาเป็นกะลาสีเรือมาตลอดชีวิตจนได้รับการขนานนามว่า “ป๊อบอาย” ทั้งเขาและพ่อเป็นเหมือนส่วนที่เสริมส่งกันและกัน Robert ผู้พ่อจะมีบุคลิกแบบนักกีฬา เป็นคนกระฉับกระเฉง มีชีวิตชีวา โดยเขามักจะปรากฏตัวเป็นข่าวอยู่บ่อยๆ ในขณะที่ Sandy บุตรชายจะเป็นคนเก็บตัวไม่ค่อยให้สัมภาษณ์สื่อ แต่กระนั้นทีมงาน Forbes Asia สังเกตว่า Sandy เป็นคนที่มีไหวพริบปฏิภาณดีไม่แพ้ผู้เป็นพ่อ

สำหรับ “ป๊อบอาย” เขาเป็นนักธุรกิจที่เก่งฉกาจหาตัวจับยาก เขาเป็นผู้ประกอบการที่มีความสามารถพิเศษในการซื้อกิจการมาในราคาถูกและนำไปขายต่อในราคาแพง และเขายังมีความว่องไวในเกมธุรกิจ

Robert เกิดในปี 1928 ที่ย่าน Mosman ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากนคร Sydney เขาไม่เคยอายที่เกิดมาในครอบครัวชนชั้นแรงงาน ตัวเขาเองมีศักดิ์เป็นเหลนของ James Oatley นักโทษชาวอังกฤษที่ถูกจับและเนรเทศให้ไปอยู่ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งภายหลังได้กลายมาเป็นช่างทำนาฬิกาคนแรกของประเทศออสเตรเลีย

ในปี 1943 ขณะที่ Robert ย่างเข้าสู่วัยรุ่น เขาสมัครเป็นพนักงานฝึกหัดในบริษัทเทรดดิ้งแห่งหนึ่งชื่อ Colyer Watson ตามคำแนะนำของพ่อ และได้ถูกส่งตัวไปทำงานที่ประเทศปาปัวนิวกินีซึ่งบริษัทมีธุรกิจโกโก้และกาแฟอยู่ที่นั่น หลังจากทำงานอยู่ได้สักระยะ เขาได้เจรจาขอซื้อหน่วยปฏิบัติการดังกล่าวจากบริษัทก่อนจะขยายธุรกิจดังกล่าวออกไปอย่างใหญ่โต

<figure><img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/f11c13a43f4e53e0e6b8c458c89919dd.png" alt="" width="680" height="482" /><figcaption> Robert Oatley ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยเขาเสียชีวิตในเดือนมกราคม ปี 2016</figcaption></figure>

ความสำเร็จในชีวิตของเขาส่วนใหญ่มาจากการที่เขามีสายตาที่เฉียบคมในการมองเห็นโอกาส เขาเข้าไปลงทุนในธุรกิจกาแฟก่อนที่เครื่องดื่มชนิดนี้จะได้รับความนิยมในออสเตรเลีย หลังจากที่เขาขายกิจการกาแฟที่ปาปัวนิวกินี เขาก็หันไปทำธุรกิจโรงกลั่นไวน์ Rosemount แทน ซึ่งกลายเป็นโรงกลั่นไวน์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของออสเตรเลียในเวลาต่อมา

แต่เคล็ดลับที่สำคัญกว่านั้นในการทำธุรกิจ คือการรู้ว่าเมื่อไหร่ควรถอย Robert ตัดสินใจขายโรงกลั่นไวน์ที่ Rosemount ในปี 2001 เมื่อกระแสการบริโภคไวน์ได้รับความนิยมถึงขีดสุด เขาได้เงินจากการขายธุรกิจในครั้งนั้นประมาณ 1.2 พันล้านเหรียญ

โดยไม่รอช้าเขาเดินหน้าทำธุรกิจใหม่ที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมหลายเท่า ในครั้งนี้เขาเจรจาซื้อเกาะ Hamilton ที่อยู่ใกล้ๆ กับ The Great Barrier Reef นี่เป็นบทพิสูจน์อีกครั้งว่าเขาไม่ใช่คนแรกที่มองเห็นโอกาส แต่เขาเป็นคนแรกที่ลงมือทำความฝันให้กลายเป็นความจริง สงครามราคาดำเนินไปอย่างดุเดือด และ “ป๊อปอาย” ยอมเพิ่มราคาเพื่อปิดดีลการซื้อขายครั้งนั้นด้วยเงินจำนวน 200 ล้านเหรียญ

การซื้อเกาะครั้งนี้สร้างความร่ำรวยให้ “ป๊อบอาย” เป็นครั้งที่สาม Glenn Bourke ซึ่งเป็นซีอีโอคนปัจจุบันของเกาะ Hamilton แจกแจงความอัจฉริยะทางธุรกิจของ Robert ว่า “คิดดูสิ! เขาจับธุรกิจกาแฟในขณะที่ยังไม่มีใครในออสเตรเลียดื่มกาแฟด้วยซ้ำไป ตอนที่เขาเริ่มทำธุรกิจไวน์ก็เหมือนกัน คนออสเตรเลียสมัยก่อนดื่มไวน์ที่ไหนกัน ตามผับตามบาร์มีแต่คนที่ดื่มเบียร์ การซื้อเกาะแห่งนี้ก็ไม่ต่างจากการทำธุรกิจก่อนหน้า ผมคิดว่าเขาเห็นอะไรบางอย่างในเกาะนี้ และเขาทำมันได้สำเร็จ”  Forbes Asia คาดการณ์ว่า Robert มีสินทรัพย์สุทธิสูงถึง 850 ล้านเหรียญตอนที่เขาเสียชีวิตปัจจุบันสินทรัพย์ทั้งหมดของเขาอยู่ภายใต้การจัดการของกองทรัสต์ประจำตระกูล

&nbsp;

<iframe id="instagram-embed-0" class="instagram-media instagram-media-rendered" src="https://www.instagram.com/p/BQ0BNuuFIYO/embed/?cr=1&amp;v=7&amp;wp=450&amp;rd=http%3A%2F%2Fforbesthailand.com&amp;rp=%2Fworld-detail.php%3Fdid%3D1436#%7B%22ci%22%3A0%2C%22os%22%3A1051.3050000008661%7D" height="457" frameborder="0" scrolling="no" allowfullscreen="allowfullscreen" data-instgrm-payload-id="instagram-media-payload-0" data-mce-fragment="1"></iframe>

เกาะ Hamilton หนึ่งในเกาะส่วนตัวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

กุญแจความสำเร็จของเกาะ Hamilton มาจากการที่ Robert ลงทุนสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ถนน สายไฟ ทำให้มูลค่าบ้านพักริมทะเลบนเกาะ Hamilton มีราคาเพิ่มสูงขึ้นเป็นสองเท่าในช่วง 5-7 ปีที่ผ่านมา และให้ผลตอบแทนโดยรวมประมาณร้อยละ 4-7 ต่อปี

Sandy ทายาทธุรกิจกล่าวว่า เกาะ Dent อาจจะเป็นแหล่งทำเงินตัวต่อไป นอกจากนี้เขาต้องการพัฒนาและขยายการเติบโตไปในธุรกิจอื่นด้วย เช่น ฟาร์มเพาะพันธุ์สัตว์ใน Hunter Valley และธุรกิจเนอร์สซิ่งโฮม “เราเป็นพวกแสวงหาโอกาส แผนธุรกิจที่ทำไว้ก่อนหน้า เอาเข้าจริงก็ต้องปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ โอกาสผ่านเข้ามา คว้าอะไรได้ก็ต้องคว้าไว้ก่อน”

เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่า ทายาทรุ่นต่อไปของครอบครัว Oatley พร้อมที่จะนำเรือออกทะเลไม่ว่าลมจะเปลี่ยนทิศไปทางใด

<hr />

<a href="http://goo.gl/V6NfWh">คลิ๊กอ่านฉบับเต็ม "คลื่นลมแรงแค่ไหนใจยังสู้" ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ มกราคม 2560</a>
<a href="https://goo.gl/V6NfWh"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/1a9acb06eb9ce498d8300db402f5dc25.png" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events