<h2>ข่าวร้อนเช้าวันนี้ (21 มี.ค. 68) คงหนี้ไม่พ้น กระแสว่าธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) และธนาคารกรุงไทย (KTB) จะควบรวมกัน และนี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ช่วงเช้าวันนี้ราคาหุ้นทั้ง KTB และ TTB ต่างพุ่งขึ้น ทว่าล่าสุดช่วงเที่ยงวันเดียวกันนี้ TTB ก็ออกมาชี้แจงว่าไม่ได้อยู่ในกระบวนการควบรวมกิจการตามที่ปรากฏในสื่อ รวมทั้งไม่มีแผนควบรวมกิจการกับธนาคารอื่นอยู่ในแผน 5 ปี และช่วงบ่ายทางกรุงไทยก็ออกชี้แจงต่อ SET ตามมา</h2> เช้านี้ราคาหุ้น KTB - TTB พุ่ง!&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) พบว่า ตลาดหุ้นช่วงเช้าราคาหุ้นธนาคารกรุงไทย (KTB) ขึ้นไปสูงสุดในช่วง 11.12 น. สู่ 24.00 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้น 0.30 บาท/หุ้น จากเปิดตลาดที่ระดับ 23.70 บาท/หุ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้านราคาหุ้นธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) ในช่วง 10.00 น. ขึ้นไปสูงสุดที่ 2.02 บาท/หุ้น จากเปิดตลาดที่ระดับ 1.97 บาท/หุ้น ทั้งนี้ หลังจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นสูงสุดแล้วจึงทยอยปรับลดลงมาบางส่วน TTB-KTB ชี้แจงไม่ได้อยู่ระหว่างควบรวม&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในช่วงสายของวันนี้ภายในธนาคารทหารไทยธนชาต ได้มีการส่งสารจาก ปิติ ตันฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TTB ไปสู่พนักงานภายในแบงก์เช่นกัน โดยเนื้อหาสอดคล้องไปกับที่ชี้แจงต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เมื่อ 12.35 น. ที่ผ่านมา ซึ่งระบุว่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธนาคารทหารไทยธนชาต (ttb) ชี้แจงข้อมูลที่ปรากฏในสื่อต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ตามที่ได้มีการรายงานข่าว ณ วันที่ 21 มีนาคม 2568 เรื่องการควบรวมกิจการระหว่างธนาคารทหารไทยธนชาต และธนาคารกรุงไทยนั้น ไม่เป็นความจริงธนาคารไม่ได้อยู่ในกระบวนการควบรวมกิจการตามที่ปรากฏในสื่อ รวมทั้งไม่มีแผนควบรวมกิจการกับธนาคารอื่นอยู่ในแผน 5 ปีแต่อย่างใด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ธนาคารยังคงมุ่งเน้นพันธกิจสำคัญคือการ Make Real Change หรือการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายเพื่อให้ลูกค้าของธนาคารกว่า 10 ล้านคนมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นผ่านกลยุทธ์การสร้างการเติบโตแบบ Ecosystem Play และการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบและสอดคล้องกับแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) อีกทั้งยังเดินหน้า Transform องค์กรอย่างรอบด้านเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันเพื่อนำไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กรและสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นอย่างยั่งยืน&nbsp; &nbsp; ฝั่งธนาคารกรุงไทยระบุคำชี้แจงในแนวทางเดียวกันว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง และในขณะนี้คณะกรรมการธนาคารกรุงไทยไม่ได้มีดำริ หรือได้มอบหมายฝ่ายบริหารให้ดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับการควบรวมกิจการตามที่เป็นข่าว &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ภายในวันนี้คงต้องติดตามกันว่า ผลกระทบด้านตลาดหุ้นทั้งราคาหุ้น KTB และ TTB จะเป็นอย่างไร รวมถึงต้องจับตาว่าความเคลื่อนไหวหลังจากนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ภาพ: TTB, KTB เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/ttb-share-repurchase-program-jan-2025" alt="ttb ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนวงเงิน 21,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี ชูรอบแรก 7,000 ล้าน เริ่ม 3 ก.พ. - 1 ส.ค. 68 นี้">ttb ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนวงเงิน 21,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี ชูรอบแรก 7,000 ล้าน เริ่ม 3 ก.พ. - 1 ส.ค. 68 นี้</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ข่าว ‘ควบรวมกรุงไทย-TTB’ ทำราคาหุ้นพุ่ง! ล่าสุด 2 แบงก์ชี้แจงต่อตลท. ว่าไม่เป็นความจริง

<h2>จากปีที่ผ่านมาข่าวใหญ่ในธุรกิจยานยนต์คือ ดีลควบรวมกิจการระหว่าง Honda และ Nissan ที่เบื้องต้นเปิดเผยว่าอาจจะตั้งเป็น Holding Company ร่วมกันเพื่อสู้กับตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ล่าสุดกลับมีกระแสข่าวว่าดีลนี้ไม่ราบรื่น สาเหตุเพราะหลังจาก Honda โยนหินถามทางไปว่า Nissan จะเข้ามาเป็นบริษัทย่อยในเครือแทนข้อเสนอเดิมได้ไหม สำนักข่าวญี่ปุ่นต่างอ้างถึงแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดออกมาบอกว่า Nissan อาจยกเลิกดีลควบรวมภายใต้ข้อเสนอล่าสุดนี้</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;KYODO NEWS รายงานว่า จากงานแถลงข่าวเมื่อเดือน ธ.ค. 2024 ทั้ง Honda และ Nissan แจ้งว่าอยู่ระหว่างการทำข้อตกลงในการควบรวมกิจการภายใต้ Holding Company ในปี 2026 โดยยังคงแบรนด์เดิมไว้ แต่ดีลนี้ส่อแววไม่ราบรื่นนัก เพราะ Nissan ยังไม่สามารถจูงใจให้ทาง Honda เชื่อมั่นในแผนงานการพลิกฟื้นธุรกิจขึ้นมาได้ แม้ว่าช่วงที่ผ่านมา (พ.ย. 2024) Nissan จะมีทั้งการสั่งลดตำแหน่งงานลงกว่า 9,000 ตำแหน่งทั่วโลก ตามกำไรสุทธิที่ลดลง รวมถึงกำลังวางแผนจะเสนอโปรแกรม Early Retirement ให้พนักงานในสหรัฐ และลดจำนวนพนักงานในไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่งผลให้ล่าสุด Honda และ Nissan ออกมาเลื่อนการประกาศรายละเอียดดีลควบรวมนี้ออกไปเป็นกลางเดือน ก.พ. 2025 แทนแผนเดิมที่ต้องเปิดเผยข้อมูลช่วงปลายเดือน ม.ค. 2025&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ฝั่งหนังสือพิมพ์ Asahi Shimbun ของญี่ปุ่นยังมีการรายงานว่าดีลนี้อาจถูกยกเลิกไป ส่วนข้อมูลจาก Reuters ยังอ้างอิงจากแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดว่า บอร์ดบริหารของ Nissan ได้เตรียมจัดการประชุมเร็วๆ นี้ เพื่อหารือเรื่องการยกเลิกดีลควบรวม ภายหลังจาก Honda ยื่นข้อเสนอการให้ Nissan เข้าเป็นบริษัทย่อยในเครือ ซึ่งแหล่งข่าวยังระบุว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขจากเจตนารมณ์เดิมที่เคยคุยกันไว้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมา Nissan เจอผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า และยังไม่ฟื้นตัวหลังจากเจอวิกฤตช่วงปี 2018 ที่มีข่าวการจับกุม และการปลดอดีตประธานกรรมการบริษัท Carlos Ghosn ออกจากตำแหน่ง ขณะที่ช่วงเกิดข่าวดีลควบรวมกับ Honda พบว่าราคาหุ้น Nissan&nbsp;ยังเพิ่มสูงขึ้น โดยนักลงทุนมองว่าเป็นแนวทางที่ดีที่จะพลิกฟื้นธุรกิจ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ฝั่ง Honda ซึ่งมีมูลค่าตลาดสูงกว่า Nissan เกือบ 5 เท่า ในช่วงแรกที่มีข่าวดีลควบรวมนี้พบว่าราคาหุ้นปรับตัวลงเล็กน้อย แต่นักวิเคราะห์ต่างมองว่า ดีลควบรวมเป็นอีกทางเลือกให้ Honda และ Nissan ในการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันท่ามกลางกระแส EV ที่เกิดขึ้น ซึ่งการควบรวมจะส่งผลให้ต้นทุนในการดำเนินการอาจลดลงได้ จากการใช้ทรัพยากรร่วมกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในส่วนของประเทศไทย ปี 2024 ที่ผ่านมา Nissan ได้ประกาศจะลดหรือโยกย้ายพนักงานราว 1,000 ตำแหน่ง โดย ณ ขณะนั้นมีโรงงานในไทย 2 แห่งตั้งอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ โรงงานแห่งที่ 1 มีกำลังการผลิตสูงสุดที่ 220,000 คัน ส่วนโรงงานแห่งที่ 2 มีกำลังการผลิตสูงสุดที่ 150,000 คัน ซึ่งถือว่าไทยเป็นฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดของ Nissan ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ฝั่ง Honda ในไทยปี 2024 ที่ผ่านมา มีการปรับแผนการผลิตโดยหยุดสายการผลิตรถยนต์ในโรงงานที่อยุธยา แต่จะย้ายฐานการผลิตไปรวมไว้ที่โรงงานในปราจีนบุรี ซึ่งสร้างไว้ตั้งแต่เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในไทยเมื่อปี 2011 แหล่งที่มา- <a href="https://www.reuters.com/markets/deals/nissan-honda-may-call-off-merger-talks-asahi-says-2025-02-04/?fbclid=IwY2xjawIPvfhleHRuA2FlbQIxMAABHereblMU4yr2gFVJLAbh7JZDIn7dml56L9zth6eSI1q2CXHXrGMAmQa0Lg_aem_BUcRPiWPhvWSVlor9OZjXg" alt="Nissan may call off merger talks with Honda, source says">Nissan may call off merger talks with Honda, source says</a>​- <a href="https://english.kyodonews.net/news/2025/02/643a872d10e7-urgent-honda-sounds-out-nissan-about-becoming-honda-unit.html" alt="Honda eyes making Nissan its unit amid slow progress in merger talks">Honda eyes making Nissan its unit amid slow progress in merger talks</a>​ -&nbsp;<a href="https://www.bangkokpost.com/business/motoring/2906772/nissan-to-cut-or-transfer-about-1-000-jobs-in-thailand-sources-say" alt="Nissan to cut or transfer about 1,000 jobs in Thailand, sources say">Nissan to cut or transfer about 1,000 jobs in Thailand, sources say</a>-&nbsp;<a href="https://www.bangkokpost.com/business/motoring/2825941/honda-to-end-vehicle-production-at-ayutthaya-auto-plant" alt="Honda to end vehicle production at Ayutthaya plant">Honda to end vehicle production at Ayutthaya plant</a>​ภาพ: Honda, Nissan,&nbsp;<a href="https://www.freepik.com/free-photo/low-angle-businessmen-shaking-hands_5617973.htm#fromView=search&amp;page=5&amp;position=29&amp;uuid=170221f4-b45f-4129-b253-f51c9021e66a&amp;query=partner%2C+greeting+Invest+in+stocks" style="font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">freepik</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/people/strategies/tgia-wasit-lamsam-jan-2025" alt="‘วาสิต ล่ำซำ’ เปิดมุมมอง TGIA ส่องเทรนด์เบี้ยประกันรถไฟฟ้าปี 68 ผ่าวิกฤตหั่นราคารถ EV - เคลมสูงเกิน 80%">‘วาสิต ล่ำซำ’ เปิดมุมมอง TGIA ส่องเทรนด์เบี้ยประกันรถไฟฟ้าปี 68 ผ่าวิกฤตหั่นราคารถ EV - เคลมสูงเกิน 80%</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ดีล Honda - Nissan ไม่ราบรื่น! สื่อญี่ปุ่นชี้ส่อล่มเหตุ Nissan ไม่รับเงื่อนไขเป็นบริษัทย่อย

<h2>หลังจากการประกาศเดินหน้าควบรวม GULF และ INTUCH ในช่วงกลางปี 2567 ที่ผ่านมา และเตรียมตั้งบริษัทใหม่ โดยความคืบหน้า ล่าสุด คือ สารัชถ์ รัตนาวะดี เปิดดีลจะเป็นผู้รับซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นที่คัดค้านฯ และจะดำเนินการรับซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นที่คัดค้านฯ ในระหว่างวันที่ 17 - 30 ตุลาคม 2567 นี้ที่ราคา 56.50 บาทต่อหุ้น</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตามที่ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เมื่อ 3 ตุลาคม 2567 เกี่ยวกับการจัดให้มีผู้รับซื้อหุ้นของ GULF จากผู้ถือหุ้นที่เข้าประชุมและออกเสียงลงคะแนนคัดค้านธุรกรรมการควบรวม GULF และ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2567 ซึ่งมีผู้ถือหุ้นที่ออกเสียงลงคะแนนคัดค้านธุรกรรมการควบบริษัทจำนวน 715,100 หุ้นคิดเป็น 0.0068 ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นของ GULF ซึ่งมาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ได้แสดงความประสงค์ที่จะเป็นผู้รับซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นที่คัดค้านฯ&nbsp;และจะดำเนินการรับซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นที่คัดค้านฯ ในระหว่างวันที่ 17 - 30 ตุลาคม 2567 จากเดิมที่กำหนดไว้เบื้องต้นว่าจะดำเนินการในช่วงไตรมาส 1 ของปี 2568 เนื่องจากผู้รับซื้อหุ้นมีความพร้อมในการรับซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นที่คัดค้านฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงกำหนดการซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นที่คัดค้านฯ ในครั้งนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อการควบรวมบริษัทตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด โดยนายสารัชถ์ รัตนาวะดี จะรับซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นที่คัดค้านฯ ในราคา 56.50 บาทต่อหุ้น (ราคาปิดตลาดของ GULF ณ 2 ตุลาคม 2567) เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/motoring/hyundai-announces-1-billion-baht-investment-to-establish-ev-factory-in-thailand" alt="‘ฮุนได’ ประกาศลงทุน 1,000 ล้านบาท ตั้งโรงงาน EV ในไทย ตั้งเป้าผลิตรถปีละ 5,000 คัน"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/gulf-intuch-thcom-july-2024" alt="GULF ปรับโครงสร้าง! ประกาศควบรวม INTUCH เตรียมตั้งบริษัทใหม่ไตรมาส 2/68">GULF ปรับโครงสร้าง! ประกาศควบรวม INTUCH เตรียมตั้งบริษัทใหม่ไตรมาส 2/68</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘สารัชถ์ รัตนาวะดี’ ประกาศรับซื้อหุ้น GULF คืน จากผู้ถือหุ้นที่คัดค้านกรณีควบรวม INTOUCH 

<h2>Kantar ผู้ให้บริการด้านข้อมูลเชิงลึกและที่ปรึกษาทางการตลาดระดับโลก เผยข้อมูลเปรียบเทียบเมื่อ 12 สัปดาห์ที่ผ่านมา ชี้วัดพฤติกรรมผู้บริโภคที่สะท้อนการดีลที่ผ่านมา</h2>
ขณะที่ สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (OTCC) กำลังประเมินว่าการซื้อกิจการ Tesco ในเอเชียโดยเครือซีพี นั้นจะเป็นการผูกขาดตลาดหรือไม่ Kantar ได้เผยข้อมูลเชิงลึกถึงการผนึกรวมกันของการผนึกกันของ Tesco Lotus 7-eleven และ Makro ของเครือซีพีจะทำให้มีสัดส่วน 20% ของยอดขายของชำที่นำไปบริโภคที่บ้าน (Take Home Grocery)

“เมื่อเทียบช่วง 12 สัปดาห์ที่ผ่านมา Tesco ในประเทศไทยมีส่วนแบ่ง 19% ขณะที่ธุรกิจของ Tesco ครองส่วนแบ่ง 27% ของตลาดของชำในสหราชอาณาจักร” Howard Chang  กรรมการผู้จัดการ  Kantar (Worldpanel Division) ประเทศไทยและมาเลเซียกล่าวและชี้ว่า “ดังนั้นจากมุมมองขนาดตลาด การซื้อกิจการครั้งนี้ไม่ได้เป็นการผูกขาด”

อย่างไรก็ตามการค้าแบบดั้งเดิม (Traditional Trade) ยังมีความแข็งแกร่งในประเทศไทย ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 3 ของยอดขายของชำทั้งหมด แต่หากพิจารณาถึงส่วนแบ่งของกลุ่มซีพี ภายในโมเดิร์นเทรด (Modern Trade) ส่วนแบ่งทางการตลาดของเครือซีพีจะเป็น 45% ของยอดขายจากโมเดิร์นเทรด ซึ่งหมายความว่าเกือบ 1 ใน 2 บาท จะเข้าไปสู่กิจการเหล่านี้

แม้จะเป็นตัวเลขที่สูงแต่ยังไม่ส่งผลต่อการควบคุมตลาดค้าปลีกโดยบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ยิ่งกว่านั้นเมื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้ทางเลือกก็ไม่มีความแตกต่างกันมากนัก ซึ่งหาก TCC Group ซึ่งเป็นเจ้าของ BigC ควบกิจการ Tesco Lotus ไป จะกลายเป็น 40% ของยอดขายจากโมเดิร์นเทรด
|
การซื้อกิจการมีผลต่อทางเลือกของผู้บริโภค
|
ทางเลือกของผู้บริโภคเป็นตัวบ่งชี้สำคัญที่จะช่วยวัดผลกระทบของการซื้อกิจการในครั้งนี้ Howard Chang อธิบายว่า “ทุกคนมีทางเลือกว่าจะซื้อของที่ไหนและซื้ออะไร แต่การซื้อกิจการนี้จะกำจัดตัวเลือกเหล่านั้นและทำให้บริษัทใดบริษัทหนึ่งสามารถควบคุมอุปทานและราคาได้หรือไม่”

โดยวิธีการประเมินทางเลือกของผู้บริโภคคือผ่านการสังเกตว่าพวกเขาจับจ่ายที่ไหน จากการวิเคราะห์จำนวนครั้งการจับจ่ายที่สะท้อนว่าเครือซีพี จะมีอิทธิพลต่อทางเลือกผลิตภัณฑ์ของผู้บริโภคมากน้อยเพียงใด จากข้อมูลของ Kantar พบว่าในประเทศไทยมีประมาณ 25.8 ล้านครัวเรือน ซึ่ง 73% ของผู้บริโภคจับจ่ายอย่างน้อย 1 ครั้ง ที่ Tesco 7-Eleven และ/หรือ Makro ในช่วง 12 สัปดาห์ที่ผ่านมา มากกว่า 2 ใน 3 ครัวเรือนจะซื้อสินค้าในร้านค้าในเครือ CP Group

“เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการวัดอื่นๆ แล้ว เปอร์เซ็นต์เพรนิเทชันนี้ดูเหมือนจะแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลที่อยู่เหนือผู้บริโภค” Howard Chang กล่าว “การรวมกันของ BigC และ Tesco เพรนิเทชันจะเป็น 60% และการรวมกันของ Central Retail และ Tesco จะอยู่ที่ 53%”

เมื่อ 12 สัปดาห์ที่ผ่านมายังพบว่ามีจำนวนการจับจ่ายของชำถึง 1.06 พันล้านครั้ง โดยผู้บริโภค 16% จับจ่ายที่ Tesco 7-Eleven และ/หรือ Makro โดยก่อนการซื้อกิจการ 7-Eleven และ Makro ถือครองส่วนแบ่งจำนวนการจับจ่ายทั้งหมด 11% และหลังการซื้อกิจการ Tesco ทำให้เครือซีพีเพิ่มส่วนแบ่งจำนวนการจับจ่ายเกือบ 50%

“อย่างไรก็ตามยังห่างไกลจากการควบคุมผู้บริโภค” Howard Chang กล่าว “เพราะเราเห็นได้ว่าผู้บริโภคยังคงจับจ่ายที่อื่น 4 ใน 5 ครั้ง”
|
แบรนด์และซัพพลายเออร์ต่างได้รับผลกระทบ
|
ทั้งนี้จากการวิเคราะห์  Kantar ผลกระทบที่สำคัญที่สุดจากการซื้อกิจการครั้งนี้คือ แบรนด์และซัพพลายเออร์ที่มีต่อร้านค้าในเครือซีพี ด้วยความเป็นเจ้าของ Tesco จากการควบกิจการนี้จะเป็นเจ้าของไฮเปอร์มาร์เก็ตอันดับ 1 ร้านสะดวกซื้ออันดับ 1 และซูเปอร์มาร์เก็ตที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ

“สิ่งนี้ทำให้เครือซีพี อยู่ในตำแหน่งที่แข็งแกร่งมากในการเจรจาต่อรองและสามารถสร้างแรงกดดันอย่างมีนัยสำคัญต่อซัพพลายเออร์” Howard Chang กล่าว การควบกิจการนี้เพรนิเทชันครอบคลุมเกือบ 3 ใน 4 ของครัวเรือนไทย และได้รับ 1 จาก 5 บาท ทุกการจับจ่ายจากร้านขายของชำ

เมื่อพิจารณาถึงเครือซีพีที่ขยายขึ้นและมีความแข็งแกร่งในธุรกิจการเกษตร ทำให้กลุ่มธุรกิจของพวกเขาอยู่ในตำแหน่งที่น่าอิจฉาของการจัดการซัพพลายเชน แต่ “จากฟาร์มสู่ร้านค้า” ไม่น่าจะเป็นการผูกขาดหรือเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค เนื่องจากมีการแข่งขันที่เพียงพอในตลาดค้าปลีก และไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะบังคับให้ผู้บริโภคยอมจ่ายในราคาที่แพงขึ้น

การจับจ่ายออนไลน์เป็นธุรกิจค้าปลีกที่สำคัญในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาและยังคงมีศักยภาพในการเติบโต ปัจจุบัน 1 ใน 5 ของครัวเรือนซื้อของชำผ่านออนไลน์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยเป็นผลิตภัณฑ์ด้านความงามส่วนใหญ่ ในขณะที่แบรนด์ต่างๆ มองหาเส้นทางไปสู่ผู้บริโภคมากขึ้นนี่อาจเป็นตัวกระตุ้นในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล
|
โอกาสสำหรับนวัตกรรมทางธุรกิจ
|
ในอนาคตการเจรจาระหว่างผู้ผลิตและซัพพลายเออร์ต่อเครือซีพี จะมีความท้าทายมากขึ้น การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้อาจเป็นการส่งเสริมนวัตกรรมในธุรกิจให้มีมากขึ้น ธุรกิจจะต้องคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ไม่เหมือนใคร ในการเข้าถึงผู้บริโภคผ่านผลิตภัณฑ์และบริการ

จากข้อมูลของคันทาร์ (Kantar) เมื่อเราพิจารณาถึงวิธีที่ผู้คนจับจ่ายควบคู่ไปกับแนวโน้มของผู้บริโภคที่หลากหลายและมีความต้องการที่ซับซ้อนขึ้น Tesco 7-Eleven และ Makro มีรูปแบบร้านค้าที่หลากหลายรูปแบบ ซึ่งแตกต่างกันไปในขนาด ช่วงของผลิตภัณฑ์ สถานที่และบริการ จะเป็นการช่วยในการตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของผู้บริโภคและแรงจูงใจในการจับจ่าย

ความเชี่ยวชาญที่หลากหลายนี้จะทำให้เครือซีพี มีโอกาสเป็นศูนย์กลางความเป็นเลิศด้านกลยุทธ์การค้าปลีก การรวมกิจการจะสามารถขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อให้บริการและแนวทางใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งอาจเป็นผลดีต่อผู้บริโภคและเศรษฐกิจโดยรวม

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events