<h2 class="p1">กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศว่า นับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2022 นี้เป็นต้นไป พลเมืองสหรัฐฯ ที่ไม่ต้องการระบุเพศของตน จะมีทางเลือกใหม่ในการระบุเครื่องหมาย X ในหนังสือเดินทาง</h2>
<img class="alignnone wp-image-60961" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/04/GettyImages-74633679.jpeg" alt="สหรัฐฯ อนุมัติหนังสือเดินทาง 'X'" width="720" height="405" />
เนื่องในโอกาส<a style="color: #008000;" href="https://www.state.gov/proposing-changes-to-the-departments-policies-on-gender-on-u-s-passports-and-consular-reports-of-birth-abroad/">วันสนับสนุนสิทธิของกลุ่มคนข้ามเพศสากล</a> ซึ่งตรงกับวันที่ 31 มีนาคม 2022 ฝ่ายบริหารภายใต้การนำของประธานาธิบดี Joe Biden ประกาศมาตรการใหม่หลายประการ เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ ไปจนถึงการกำจัดอุปสรรคต่างๆ ที่กลุ่มคนข้ามเพศต้องเผชิญโดยเฉพาะเมื่อต้องใช้บริการของรัฐ และการเพิ่มความตระหนักรู้ต่อกลุ่มคนข้ามเพศในฐานข้อมูลแห่งชาติ
นอกจากการเพิ่มเครื่องหมาย X ในหนังสือเดินทางแล้ว กระทรวงการต่างประเทศระบุว่า การเพิ่มตัวเลือกนี้จะสามารถใช้ได้ “สำหรับเอกสารรูปแบบอื่น” ในปีหน้า
เช่นเดียวกับออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และแคนาดา รวมถึงประเทศอื่นๆ ที่ได้เดินหน้าออกหนังสือเดินทางระบุเพศที่นอกเหนือไปจากชายและหญิงแล้วเช่นกัน
โดย Oregon นับเป็นรัฐแรกที่เริ่มเสนอเครื่องหมายที่เป็นกลางทางเพศบนบัตรประจำตัวของรัฐและใบขับขี่ โดยไม่ต้องขอใบรับรองจากแพทย์ตั้งแต่ปี 2017 ขณะที่อีกกว่า 20 รัฐเริ่มทยอยเพิ่มข้อเสนอเรื่องเครื่องหมาย X บนบัตรประจำตัวของรัฐ
ด้าน California เป็นรัฐแรกที่เสนอสูติบัตรที่ไม่ระบุเพศ (gender-neutral birth certificate) ในปี 2017 และในปีต่อมา Colorado ก็ได้มีการเสนอสูติบัตรระหว่างเพศ (intersex birth certificate) เป็นรัฐแรกซึ่งในที่นี้หมายถึงคนที่เกิดมามีลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างจากปกติจนไม่สามารถระบุเพศได้อย่างชัดเจนไม่ได้หมายถึงเพศสภาพหรือรสนิยมทางเพศแต่อย่างใด
ล่าสุด กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ประกาศใช้มาตรการต่างๆ เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การเดินทางสำหรับนักเดินทางข้ามเพศ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีการคัดกรองที่ปรับปรุงแล้วเพื่อลด “อัตราการเตือนภัยที่ผิดพลาด” ซึ่งในที่สุดจะถูกนำมาแทนที่ “ระบบปัจจุบันที่ใช้เทคโนโลยีที่ถูกกำหนดด้วยเพศสภาพ” 
ขณะที่หน่วยงานด้านความปอดภัยในการเดินทางของสหรัฐฯ (TSA) จะอัปเดตขั้นตอนแยกต่างหาก เพื่อลบการพิจารณาเรื่องเพศขณะตรวจสอบความถูกต้องของบัตรประจำตัวผู้เดินทาง ที่จุดตรวจรักษาความปลอดภัยสนามบิน
“พลเมืองสหรัฐฯ ข้ามเพศยังคงเผชิญกับการเลือกปฏิบัติ การล่วงละเมิด และอุปสรรคในการเข้าถึงโอกาสต่างๆ” ประธานาธิบดี Joe Biden ระบุในแถลงการณ์ “ในปีที่ผ่านมา มีการเสนอร่างกฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติทางเพศหลายร้อยฉบับในรัฐต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่มุ่งเป้าไปที่เด็กข้ามเพศ”
แปลและเรียบเรียงจากบทความ Gender-Neutral ‘X’ Passports Will Be Available In April — Here’s Which States Already Offer Gender-Neutral Identification โดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/asia/nongfu-spring-zhong-shanshan-%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%97%e0%b8%b1%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b9%81%e0%b8%a3%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b8%94%e0%b8%94%e0%b8%b1%e0%b8%99.html">“Nongfu Spring” ปรับทัพรับแรงกดดัน เหตุต้นทุนวัตถุดิบพุ่งสูงขึ้น</a>

สหรัฐฯ อนุมัติหนังสือเดินทาง ‘X’ เป็นกลางทางเพศ 11 เมษายนนี้

<h2>เป็นการยากที่จะบอกว่าใครไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 เพราะดูเหมือนว่า ภาวะการแพร่ระบาดที่รุนแรงแทบทุกประเทศทั่วโลกส่งผลกระทบต่อผู้คน เศรษฐกิจ และสังคมอย่างมากมาย ถึงแม้ปัจจุบันหลายพื้นที่เริ่มคลี่คลาย แต่ผลกระทบเหล่านั้นยังคงมีพลังอย่างต่อเนื่อง</h2>
เดือนแห่งผู้หญิง สิงหาคม วันแม่แห่งชาติ และในโอกาสที่ Forbes Thailand นำเสนอธีมเนื้อหาฉบับเดือนสิงหาคมเกี่ยวกับ Power Woman ทีมงานจึงรวบรวมรายงานพิเศษชิ้นนี้ที่ว่าด้วยเรื่อง “สถานการณ์ผู้หญิงทั่วโลกเกี่ยวกับภาระความเสี่ยง และผลกระทบจากโควิด-19” มานำเสนอเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งเนื้อหาส่วนหนึ่งรวบรวมมาจากบทความของ UN Global Compact ที่ตั้งหัวข้อไว้ในเรื่อง “ภาคธุรกิจสามารถสนับสนุนและเคารพสิทธิสตรีและเด็กผู้หญิงในสถานการณ์โควิด-19 ได้อย่างไร”

ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการกล่าวถึง "บทบาท หน้าที่ ภารกิจ และภาระของผู้หญิงท่ามกลางสถานการณ์โควิด" ซึ่งจะทำให้เห็นภาพชัดขึ้นว่า ผู้หญิงได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้อย่างไร พวกเธอต้องเผชิญกับอะไรบ้าง ท่ามกลางภาวะที่เกิดโรคระบาดร้ายแรงซึ่งคร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกไปเกือบ 4 ล้านรายจากผู้ติดเชื้อกว่า 180 ล้านคน (ข้อมูล ณ วันที่ 27 มิถุนายน ปี 2564)

รายงานฉบับดังกล่าวขึ้นต้นการนำเสนอด้วยคำถามที่ว่า “รู้หรือไม่ ผู้หญิงเสี่ยงในการทำงานแค่ไหน ในภาวะวิกฤตโควิด-19 และภาคธุรกิจจะสนับสนุนได้อย่างไรบ้าง” ในเมื่อผลกระทบจากการระบาดครั้งใหญ่ของโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อสตรีอย่างหนัก ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะทำงานโดยได้ค่าแรงต่ำขาดความปลอดภัย และทำงานนอกระบบมากกว่าผู้ชาย อีกทั้งผู้หญิงส่วนใหญ่ยังประกอบอาชีพด้านสาธารณสุขและงานที่ต้องอยู่แนวหน้าของการต่อสู้กับโควิด-19 ต้องเสี่ยงทั้งสุขภาพและความปลอดภัยของตัวเอง เช่นเดียวกับครอบครัวของพวกเธอ

เมื่อพูดถึงความเสมอภาคทางเพศเราไม่สามารถละเลยเรื่องนี้ได้ และมีความกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า ความไม่เท่าเทียมกันทางเพศทั่วทุกมุมโลกจะเพิ่มขึ้น และจะทำให้ความคืบหน้าในการผลักดันเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านความเสมอภาคทางเพศถดถอยลง เราทุกคนได้รับผลกระทบ แต่วิกฤตการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนี้จะส่งผลกระทบต่อผู้หญิงโดยตรง ซึ่งมักจะทำงานอยู่ในกลุ่มเสี่ยงมากที่สุด โดย 70% ของบุคลากรทางการแพทย์ที่เสี่ยงชีวิตเป็นผู้หญิงและ 60% ของการจ้างงานของผู้หญิงนั้นอยู่นอกระบบเศรษฐกิจ ซึ่งมีความคุ้มครองจากการเลิกจ้างและการเข้าถึงความคุ้มครองทางสังคมเพียงเล็กน้อยและมีข้อจำกัด

นอกจากนี้ ยังพบว่าช่องว่างรายได้ระหว่างเพศชายและหญิงอยู่ที่ 16% ทำให้ผู้หญิงเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ อีกทั้งผลจากการปิดประเทศและการกักตัวทำให้การใช้ความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มขึ้นสูงกว่า 25% ทำให้ผู้ที่ประสบภัยนั้นไม่สามารถเข้าถึงความคุ้มครองได้ในช่วงการกักตัว

ทั้งนี้ผู้หญิงโดยปกติแล้วทำงานด้านการดูแลซึ่งไม่ได้ค่าจ้างหนักกว่าผู้ชายถึง 3 เท่า ในขณะที่มีการแพร่ระบาดของไวรัส เด็กกว่า 850 ล้านคนทั่วโลกหันมาเรียนที่บ้านแทน ซึ่งภาระหน้าที่เพิ่มเติมต่างๆ นั้นก็ตกเป็นของผู้หญิงเป็นหลัก

<img class="wp-image-52297 aligncenter" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/10/ผู้หญิงกับการรับมือโควิด-19-01.jpg" alt="" width="720" height="384" />

ดังนั้น เพื่อให้ภาคธุรกิจเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหานี้ จึงต้องคำนึงถึงผู้หญิง และเด็กผู้หญิงก่อนในระหว่างและหลังจากวิกฤตนี้ หลักการสร้างพลังให้ผู้หญิงจะช่วยให้ธุรกิจมีความเสมอภาคทางเพศในที่ทำงาน ในตลาด ในชุมชน และสามารถเป็นแนวทางให้บริษัทต่างๆ รับรู้และตอบสนองต่อผลกระทบที่มีต่อสตรีในช่วงโควิด-19 โดยแนวปฏิบัติที่บริษัทสามารถทำได้มีดังนี้

มั่นใจในบทบาทของสตรี รวมถึงสิทธิในการวางแผนและการตัดสินใจ การวิจัยแสดงให้เห็นว่า ทีมที่มีความหลากหลายทางเพศจะทำให้การตัดสินใจในการทำงานได้ดีขึ้นและยั่งยืนมากขึ้น ในยุคของโควิด-19 บริษัทควรนำแนวทางนี้ไปใช้กับหน่วยงานเฉพาะกิจและทีมที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์โดยตรง เพื่อให้มั่นใจว่าทั้งผู้หญิงและผู้ชายมีส่วนร่วมในกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โควิด-19 เป้าหมายความเสมอภาคทางเพศจะสนับสนุนบริษัทต่างๆ ในการกำหนดและบรรลุเป้าหมายขององค์กร ภายใต้บทบาทและความเป็นผู้นำของสตรีในช่วงวิกฤต

สนับสนุนงานของผู้ปกครองเด็ก และการคำนึงถึงงานด้านการดูแลที่ไม่ได้รับค่าจ้างที่ตกเป็นภาระของสตรี ซึ่งเหนือสิ่งอื่นใดบริษัทควรเสนอวิถีการทำงานที่ยืดหยุ่นสนับสนุนตัวเลือกการดูแลเด็กที่ปลอดภัยและเหมาะสม รวมถึงการลาป่วยและลาคลอดที่ได้รับค่าจ้างของผู้หญิง สถานการณ์ในปัจจุบันทำให้มุมมองเรื่องความไม่เท่าเทียมกันทางเพศเปลี่ยนไป มันแสดงให้เห็นว่า การเป็นผู้นำ การตัดสินใจ การทำงานบ้าน การดูแลและการสอนเด็กๆ ควรเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทั้งผู้ชายและผู้หญิงในการอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว

การช่วยแก้ไขผลที่ตามมาของการอยู่บ้าน รวมถึงการรายงานเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัว โดยบริษัทสามารถมีบทบาทในการช่วยเหลือพนักงานโดยตรงในการให้บริการที่จำเป็น เช่น โทรสายด่วนแจ้งความรุนแรงในครอบครัว การดูแลสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน รวมถึงการดูแลสุขภาพก่อนและหลังคลอดของสตรี

สนับสนุนสตรีทั่วทั้งห่วงโซ่อุปทาน คู่ค้าของบริษัท และกลุ่มที่ธุรกิจของคุณดำเนินการอยู่ กรณีนี้หมายถึงการทำให้มั่นใจว่าคู่ค้าบริษัทที่ต้องพึ่งพาแรงงานผู้หญิงนั้นได้รับค่าจ้างและการสนับสนุนที่เหมาะสมเท่าที่เป็นไปได้ และอาจรวมถึงการผ่อนปรนแก่ผู้ประกอบการที่เป็นผู้หญิง พร้อมทั้งเสนอผลิตภัณฑ์ หรือตัวช่วยบริการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือพวกเขาให้ไม่ประสบปัญหาการล้มละลาย ทั้งนี้ยังเป็นการช่วยสร้างสัมพันธ์ในการทำธุรกิจ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการฟื้นฟูในอนาคต

การร่วมมือกันของภาครัฐและภาคส่วนอื่นๆ ในการแก้ไขปัญหาโควิด-19 และความพยายามในการสนับสนุนเรื่องการฟื้นฟู โดยหลักปฏิบัติสากลได้เน้นว่า ความรับผิดชอบในการเคารพและการสนับสนุนสิทธิของผู้หญิงไม่ได้สิ้นสุดแค่ภายในบริษัทเท่านั้น แต่ควรเน้นถึงความสำคัญของการร่วมมือกันของผู้มีส่วนได้เสีย และพยายามในการที่จะผลักดันให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมมากที่สุด

การเรียนรู้จากบทเรียนดังกล่าวได้ให้คำแนะนำในการปิดช่องว่างความไม่เสมอภาคทางเพศในระบบเศรษฐกิจ การแพร่ระบาดของไวรัสทำให้ความเป็นไปได้ที่บริษัทจำนวนมากจะนำนโยบายและแนวทางปฏิบัตินี้ไปใช้ให้เกิดความยืดหยุ่นในการทำงาน และทำให้เกิดความเท่าเทียมกันของผู้ชายและผู้หญิงในเรื่องความรับผิดชอบในการดูแลครอบครัวมากขึ้นประสบการณ์นี้จะช่วยผลักดันกระบวนการสนับสนุนความเท่าเทียมกันทางเพศมากยิ่งขึ้น มันจะเป็นกุญแจสำคัญในการรวบรวมข้อมูล โดยแยกตามเพศ อายุ และปัจจัยอื่นๆ เพื่อติดตามผลกระทบของความพยายามทั้งหมดที่เกิดขึ้น

&nbsp;

อ้างอิงที่มา: COVID-19: How Business Can Support Women in Times of Crisis

อ่านเพิ่มเติม:
<ul id="crumbs">
 	<li><a style="color: #008000;" href="https://forbesthailand.com/people/cover-story/%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%a5%e0%b8%a5%e0%b8%a0%e0%b8%b2-%e0%b9%84%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b9%82%e0%b8%aa%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%aa-%e0%b9%80%e0%b8%95%e0%b9%87%e0%b8%a1%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%97.html">วัลลภา ไตรโสรัส เต็มที่ทุกบทบาทของนายหญิงแห่ง “AWC”</a></li>
 	<li><a style="color: #008000;" href="https://forbesthailand.com/world/america/forbes-400-%e0%b8%a1%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a8%e0%b8%a3%e0%b8%a9%e0%b8%90%e0%b8%b5%e0%b8%8a%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%ad%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%97.html">FORBES 400 มหาเศรษฐีชาวอเมริกันที่มั่งคั่งที่สุด ประจำปี 2021</a></li>
 	<li><a style="color: #008000;" href="https://forbesthailand.com/world/asia/%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%9a%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%9c%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%ad%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%99-2.html">นักบริหารผู้รักการอ่าน: ระเฑียร ศรีมงคล แนะนำหนังสือ 5 เล่มประจำปี 2564</a></li>
</ul>

<hr />

<a href="https://bit.ly/3E3gZtA">คลิกอ่านฉบับเต็ม และบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนสิงหาคม 2564 ในรูปแบบ e-magazine</a>

<img class="lazy alignnone wp-image-50844 lazy-loaded" src="https://i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/09/230271316_2893994620815609_3125329285259993167_n.jpg" sizes="(max-width: 300px) 100vw, 300px" srcset="//i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/09/230271316_2893994620815609_3125329285259993167_n.jpg 750w, //i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/09/230271316_2893994620815609_3125329285259993167_n-229x300.jpg 229w" alt="" width="300" height="394" data-lazy-type="image" data-lazy-src="//i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/09/230271316_2893994620815609_3125329285259993167_n.jpg" data-lazy-srcset="//i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/09/230271316_2893994620815609_3125329285259993167_n.jpg 750w, //i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/09/230271316_2893994620815609_3125329285259993167_n-229x300.jpg 229w" data-lazy-sizes="(max-width: 300px) 100vw, 300px" />

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events