<h2>ลัมโบร์กินี (Lamborghini) เผยโฉม Temerario ซูเปอร์สปอร์ตคาร์ล่าสุดที่มาพร้อมระบบส่งกำลังไฮบริดรูปแบบใหม่ ซึ่งเกิดจากการผสานเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว มอบกำลังเครื่องยนต์รวมถึง 920 CV เป็นเครื่องยนต์ซูเปอร์สปอร์ตคาร์รุ่นแรกและรุ่นเดียวในการผลิตที่สามารถทำความเร็วรอบได้สูงถึง 10,000 รอบต่อนาที มีความเร็วสูงสุดมากกว่า 340 กิโลเมตร/ชั่วโมง สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ในเวลาเพียง 2.7 วินาที</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หัวใจสำคัญที่ลัมโบร์กินียึดมั่นมาโดยตลอดคือระบบขับเคลื่อน ซึ่งในรถยนต์รุ่นใหม่อย่าง Temerario ลัมโบร์กินีได้เปลี่ยนมาใช้แนวทางใหม่ทั้งหมดโดยผ่านการพัฒนากว่า 5 ปี เพื่อสร้างสรรค์ระบบส่งกำลังของซูเปอร์สปอร์ตคาร์ที่ไม่เคยมีมาก่อน จนได้ระบบส่งกำลังแบบใหม่ที่ประกอบด้วยคอนเซ็ปต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine) แบบเทอร์โบคู่ที่มีรอบการหมุนสูง ที่ผสานเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราต้องการพัฒนาเครื่องยนต์สปอร์ตคาร์สมรรถนะสูงที่ไร้คู่แข่ง โดยรวมสิ่งที่ดีที่สุดทั้งสองระบบเข้าด้วยกัน นั่นคือเครื่องยนต์สันดาปพร้อมเทอร์โบคู่ V8 และระบบพลังงานไฟฟ้า แนวคิดของเราในการผสานมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัวเข้ากับเครื่องยนต์สันดาปยังทำให้เรามั่นใจว่าจะสามารถสร้างอัตราการเร่ง และระบบชาร์จพลังงานกลับได้อย่างฉับไว การเปิดตัว Temerario จึงทำให้เรามอบนิยามใหม่ให้กับสุดยอดรถยนต์ในเซกเมนต์นี้” รูเว็น โมห์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิค ลัมโบร์กินี กล่าว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/GEHUQCJHfvkJf9t2CyTT.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="GEHUQCJHfvkJf9t2CyTT.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,405" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ระบบส่งกำลังรูปแบบใหม่ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของซูเปอร์สปอร์ตคาร์รุ่นที่สองในกลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง (HPEV) ของลัมโบร์กินี โดยเป้าหมายแรกคือการบรรลุถึงกำลังเครื่องยนต์และแรงบิดจำเพาะในระดับสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ขณะดียวกันก็ต้องมีการตอบสนองในแบบฉบับเครื่องยนต์ไร้ระบบอัดอากาศรอบสูงแบบดั้งเดิม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้น ทีมวิศวกรจึงคัดสรรเฉพาะองค์ประกอบประสิทธิภาพสูงสำหรับระบบขับเคลื่อนรูปแบบใหม่ ซึ่งได้แก่เครื่องยนต์เทอร์โบคู่ V8 ขนาด 4.0 ลิตรแบบใหม่ที่มีกำลังเครื่องจำเพาะที่ 200 แรงม้าต่อลิตร โดยทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบระบายความร้อนด้วยน้ำมันที่ผสานการทำงานได้อย่างสมบูรณ์กับตัวเครื่องยนต์ V8 พร้อมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวที่เพลาหน้าที่ช่วยส่งกำลังขับเคลื่อน เสียงเครื่องยนต์สุดกระหึ่ม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ลัมโบร์กินีได้ทุ่มเทและพยายามทางเทคนิคเป็นอย่างมาก เพื่อการพัฒนาประสบการณ์เสียงที่โดดเด่นอย่างมีเอกลักษณ์จากระบบขับเคลื่อนใหม่ใน Temerario เพื่อให้นักขับมั่นใจได้ถึงประสบการณ์เสียงและโสตสัมผัสอย่างเต็มเปี่ยมทุกอารมณ์ในแบบฉบับลัมโบร์กินีอย่างแท้จริง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การสร้างสรรค์คุณภาพของเสียงสุดพิเศษนี้จำเป็นต้องอาศัยความซับซ้อนทางเทคนิคอย่างมหาศาล และเพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อเร่งความเร็วสูงสุดที่ 10,000 รอบต่อนาที เครื่องยนต์จะให้เสียงกระหึ่มแบบสปอร์ตคาร์อย่างเต็มอารมณ์ ลัมโบร์กินีจึงได้ผสานวิธีการทางเทคนิคต่างๆ และยังเสริมคุณภาพด้วยเอฟเฟกต์เสียงความถี่สูงขั้นสุด <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/iLKju3npp2uXmTVUeJdH.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="iLKju3npp2uXmTVUeJdH.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,405" style="" data-index="1"></figure></div>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การเชื่อมต่อแบบพิเศษระหว่างแถวเครื่องยนต์จะช่วยเพิ่มเอฟเฟกต์เสียงของชุดส่งกำลังที่แปรผันตามความเร็ว ระบบเก็บเสียงและวาล์วไอเสียของเครื่องเทอร์โบคู่ V8 ยังทำงานในช่วงรอบต่ำ เพื่อปรับปรุงเรื่องเสียงรบกวนให้น้อยที่สุด โดยเมื่อเปลี่ยนโหมดการขับขี่ ก็จะสัมผัสได้ถึงการปรับจูนเสียงในรูปแบบที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ระบบไอเสียที่ทอดตัวจากท่อรวมไปยังท่อไอเสียจะช่วยขับเน้นเสียงของกระบวนการเผาไหม้ในเครื่องยนต์ โดยลัมโบร์กินีสร้างคุณภาพเสียงที่ชัดใสและสะอาดด้วยการเดินแนวท่ออย่างไหลลื่น การกำหนดระดับความสูงและตำแหน่งของปลายท่อไอเสียอย่างพิถีพิถันยิ่งขับเน้นเสียงความถี่สูงอันเฉียบคมของเครื่องยนต์อีกด้วย​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/Xcbsv9XjVHYAN8zpC2S2.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="Xcbsv9XjVHYAN8zpC2S2.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,405" style="" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ระบบเสียง Symposer ที่ติดตั้งเพิ่มเติมจะปล่อยคลื่นเสียงเข้าสู่ภายในรถ เพื่อสร้างประสบการณ์เสียงอันดื่มด่ำในทุกโหมดการขับขี่ ดีไซน์สุดไอคอนิก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้านการออกแบบ เมื่อมองแวบแรก Temerario สื่อถึง DNA ในแบบฉบับของลัมโบร์กินีได้อย่างเด่นชัดทั้งในแง่เส้นสายที่โฉบเฉียบ ไปจนถึงการผสมผสานของระบบอากาศพลศาสตร์ได้อย่างยอดเยี่ยม​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/QVAYHyeAbsuCQasRgawG.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="QVAYHyeAbsuCQasRgawG.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,576" style="" data-index="3"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ภายนอกสะดุดตาแม้มองจากกระยะไกลด้วยไฟส่องสว่างดีไซน์หกเหลี่ยม รูปทรงทางเรขาคณิตที่เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์อันโดดเด่นที่สุดของลัมโบร์กินีมาตั้งแต่ทศวรรษ 1960 ขณะที่ห้องโดยสารภายในหยิบเอาปรัชญาอย่าง “Feel like a pilot” มานำเสนอใหม่ได้อย่างน่าสนใจ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/qj3mpK8E1jexmfzKgB8t.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="qj3mpK8E1jexmfzKgB8t.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,412" style="" data-index="4"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ยิ่งไปกว่านั้น Temerario ยังมอบประสบการณ์ที่ล้ำสมัยที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ของลัมโบร์กินี ด้วยการเปิดตัวระบบ Lamborghini Vision Unit ซึ่งช่วยให้ผู้โดยสารสามารถเข้าถึงฟังก์ชันและแอปพลิเคชันใหม่ๆ ได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังทำให้ผู้ใช้สามารถย้อนดูและแบ่งปันประสบการณ์การขับขี่ที่ผ่านมา ทั้งในสนามแข่งขันและบนถนนของตนให้แก่คนอื่นได้ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/motoring/mercedes-benz-the-new-cle-coupe-2-models" alt="Mercedes Benz เปิดตัวรถสปอร์ต The new CLE Coupe ประเดิม 2 รุ่น เริ่มต้น 3.95 ล้านบาท">Mercedes Benz เปิดตัวรถสปอร์ต The new CLE Coupe ประเดิม 2 รุ่น เริ่มต้น 3.95 ล้านบาท</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ลัมโบร์กินีเผยโฉม Temerario ซูเปอร์คาร์ไฮบริดรูปแบบใหม่ ทำความเร็วรอบได้สูงถึง 10,000 รอบ/นาที

<h2>Lamborghini ผู้ผลิตยานยนต์หรูเผยขายรถซูเปอร์คาร์หมดยันปี 2026 เนื่องด้วยลูกค้าที่ร่ำรวยคล้ายจะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ยังเร็วเกินไปที่จะมั่นใจเรื่องของอนาคต แต่ ณ ตอนนี้เรายังไม่ได้รับสัญญาณที่ชี้ให้เห็นจุดอ่อนของเราในตลาด” Stephan Winkelmann ซีอีโอแห่ง Lamborghini บอกกับนักข่าว&nbsp; &nbsp;&nbsp;บริษัทรถซูเปอร์คาร์สัญชาติอิตาเลียนเผยรายงานยอดขายรถยนต์กว่า 10,000 คันตลอดปี 2023 โดยในปีที่ผ่านมานั้น พวกเขายังเปิดตัว Revuelto รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริดรุ่นแรกของแบรนด์ ก่อนจะมียอดสั่งจองเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทั้งยังมากเสียจนต้องใช้เวลากว่า 2 ปีในการผลิตและจัดส่งรถยนต์ถึงมือลูกค้าทั้งหมดกันเลยทีเดียว&nbsp; &nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ Lamborghini มีแผนการผลิตซูเปอร์คาร์ไฟฟ้าทั้งคัน แต่อยู่ในช่วงพัฒนาแบตเตอรี่ ซึ่งมีกำหนดการเปิดตัวในปี 2028 อย่างไรก็ตามบริษัทคู่แข่งอย่าง Ferrari NV มีกำหนดการเปิดตัวรถไฟฟ้ารุ่นแรกในปี 2025​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/AKfLyoKK5j63cp4HNT4s.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="AKfLyoKK5j63cp4HNT4s.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"><figcaption><div>Stephan Winkelmann</div></figcaption></figure></div> &nbsp; &nbsp;&nbsp;“เราไม่ได้ต้องการใช้เทคโนโลยีนี้เป็นคนแรก” Winkelmann โต้ตอบในประเด็นดังกล่าว “เราอยากก้าวเข้าสู่ตลาดเมื่อเรามั่นใจที่สุด ยามที่เทคโนโลยีนี้กำลังสุกงอมพร้อมใช้งาน”&nbsp; &nbsp;&nbsp;ตลาดซูเปอร์คาร์นั้นมีจุดยืนที่แตกต่างจากอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วไปโดยสิ้นเชิง ในขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์อย่าง Volkswagen AG ที่เป็นบริษัทแม่ของ Lamborghini เห็นว่าความต้องการรถ EV เป็นเรื่องสำคัญ ทำให้ต้องเพิ่มแรงกดดันแก่แผนการเปลี่ยนจากเครื่องยนต์สันดาปไปใช้ไฟฟ้าแทน&nbsp; &nbsp;&nbsp;ส่วน Lamborghini ที่มียอดจองเต็มนานนับปียังมีพื้นที่ให้เปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป Winkelmann กล่าวว่าสถานการณ์เช่นนี้จะเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ใช้เวลาพัฒนาเทคโยโลยีแบตเตอรี่อย่างเต็มที่สู้กับจีนที่เป็นเจ้าตลาดอยู่ ณ ปัจจุบัน&nbsp; &nbsp;&nbsp;“สิ่งที่เราจะนำมาใช้ในอนาคตจะมีประสิทธิภาพสูงกว่าของจีนในตอนนี้แน่นอน” ซีอีโอแห่ง Lamborghini เสริม “เราเก่งเรื่องการใส่ใจรายละเอียดเทคโนโลยีใหม่ๆ”&nbsp; &nbsp;&nbsp;กระนั้น แม้จะต้องเร่งดำเนินการเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานไฟฟ้า Lamborghini ก็ไม่ลืมกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนที่ได้รับการสนับสนุนโดย “แผนการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดตลอดระยะเวลา 60 ปีตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท” อ้างอิงจากรายงานอย่างเป็นทางการ ซึ่งยังรวมถึงการลดคาร์บอนในโรงงานของพวกเขาที่ Sant'Agata Bolognese อีกด้วย&nbsp; &nbsp;&nbsp;นอกเหนือจากนี้ Lamborghini กล่าวว่าจะมีการจ้างพนักงานเพิ่มอย่างน้อย 500 คนก่อนปี 2026 แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a href="https://economictimes.indiatimes.com/news/international/business/lamborghini-says-all-cars-sold-out-till-2026/articleshow/107271436.cms" alt="Lamborghini says all cars sold out till 2026">Lamborghini says all cars sold out till 2026</a>​ ​​​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/america/afresh-ai-technology-solve-food-waste-problem" alt="Afresh ผนึกกำลังเทคโนโลยี แก้ปัญหาขยะอาหาร">Afresh ผนึกกำลังเทคโนโลยี แก้ปัญหาขยะอาหาร</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เศรษฐกิจชะลอไม่กระทบคนรวย! Lamborghini อวดยอดซูเปอร์คาร์ ขายหมดถึงปี 2026 แล้ว

<h2>Lamborghini สร้างปรากฏการณ์ยอดสั่งซื้อพุ่งสูงต่อเนื่องตลอดไตรมาสแรกของปี 2565 ด้วยยอดการส่งมอบรถยนต์ทั่วโลกรวม 2,539 คัน ทุบสถิติยอดขายประจำไตรมาสแรกของปีสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท</h2>
Stephan Winkelmann ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี เปิดเผยว่า “เราสามารถเปิดศักราชใหม่ได้อย่างแข็งแกร่งซึ่งจะนำความท้าทายใหม่ๆ มาสู่วงการยานยนต์โลกต่อไป แม้สถานการณ์การเมืองโลกจะก่อให้เกิดความผันผวนในตลาดซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความวิตกกังวลอย่างมากเท่านั้น หากยังทำให้ยากต่อการคาดการณ์ใดๆ ในอนาคต

แต่เรายังเชื่อมั่นในความนิยมที่มีต่อแบรนด์ของเราจากทั่วโลกในปัจจุบัน เพราะยอดสั่งซื้อในแต่ละเดือนมีปริมาณสูงกว่ากำลังการผลิตของบริษัทมาโดยตลอด กล่าวได้ว่าเรามียอดสั่งจองรถยนต์ครอบคลุมการผลิตตลอด 12 เดือนข้างหน้าอย่างเกินความคาดหมาย

นอกจากนี้ เรากำลังเตรียมดำเนินงานขั้นต่อไปเพื่อนำเสนอบทพิสูจน์ใหม่แห่งการเดินทางของแบรนด์ลัมโบร์กินีในช่วงหนึ่งปีนี้ ซึ่งจะบอกเล่าถึงการเดินหน้าเปลี่ยนแปลงสู่รถยนต์ระบบไฟฟ้า ที่จะมาถึงพร้อมกับรถยนต์ไฮบริด V12 รุ่นใหม่ในปี 2566”

<img class="size-full wp-image-63006 aligncenter" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/Lamborghini_0503.jpg" alt="" width="650" height="433" />

โดยยอดขายของไตรมาสแรกประจำปี 2565 เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2564 ที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 31 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2563 สำหรับปี 2564 ลัมโบร์กินียังสามารถทำลายสถิติยอดขายสูงสุดมาแล้วที่ 8,405 คัน รวมผลประกอบการ 1.95 พันล้านยูโร และผลกำไรที่ร้อยละ 20.2

ปริมาณการจัดจำหน่ายในไตรมาสแรกของปีนี้สามารถกระจายยอดขายใน 3 ภูมิภาคหลักได้อย่างสมดุล ทั้งภูมิภาคยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (EMEA) ที่ร้อยละ 40, ภูมิภาคอเมริการ้อยละ 32 และภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกร้อยละ 28 โดยตลาดรถยนต์เกือบทุกแห่งมีอัตราการเติบโตอย่างชัดเจน ยกเว้นรัสเซียซึ่งบริษัทได้ระงับการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน

<img class="size-full wp-image-63007 aligncenter" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/Lamborghini_0504.jpg" alt="" width="650" height="488" />

ข้อมูลระบุว่าลูกค้าราวครึ่งหนึ่งให้ความนิยมรถยนต์รุ่น Urus Super SUV เนื่องจากชื่นชอบคุณสมบัติการใช้งานแบบอเนกประสงค์อันยอดเยี่ยม ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเลือกรถยนต์แนวสปอร์ตทั้งรุ่น Huracan และ Aventador แม้ว่ารถยนต์เครื่อง V12 จะหมดรอบการผลิตไปแล้วก็ตาม

ซึ่งทั้งรุ่น Urus และ Huracan มียอดขายเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับช่วงไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมา ด้วยยอดการส่งมอบรถยนต์ทั่วโลกที่ 1,547 และ 844 คันตามลำดับ สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ V10 ยังคงได้รับความนิยมต่อเนื่องในปีนี้ ทั้งยังได้แรงส่งจากการเปิดตัว Huracan Tecnica ยนตรกรรมเวอร์ชั่นล่าสุดของเครื่องยนต์รุ่นนี้เมื่อวันที่ 12 เมษายน ที่ผ่านมา

สำหรับช่วงครึ่งหลังของปีนี้ Lamborghini ยังมีแผนเปิดตัวสุดยอดยานยนต์ใหม่อีกถึง 3 รุ่น โดยเป็นตระกูล Urus สองรุ่นและตระกูล Huracan หนึ่งรุ่น

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/forbes-life/breguet-%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2%E0%B9%82%E0%B8%89%E0%B8%A1-tradition-quantieme-retrograde-%E0%B9%80%E0%B8%89%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88-%E0%B8%AA%E0%B8%B0.html">Breguet เผยโฉม Tradition Quantieme Retrograde เฉดสีใหม่ สะดุดตา</a>

<hr />
<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Lamborghini เผยยอดขายไตรมาสแรกสูงเป็นประวัติการณ์

<h2>การกลับมาของ โลตัส คาร์ ไทยแลนด์ ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายพรีเมียมสปอร์ตคาร์สัญชาติอังกฤษเดินหน้ากลยุทธ์ Driver to Driver ผ่านนวัตกรรมสปอร์ตหรูที่การันตีด้วย Racing Heritage เจ้าของแชมป์ F1 ถึง 7 สมัย พร้อมรุกสู่แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบใน 5 ปีข้างหน้า</h2>
<img class="alignnone size-full wp-image-55618" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/Lotus-Elise_5.jpg" alt="" width="600" height="400" />

ธีรพงศ์ รอดลอย ผู้จัดการส่วนภูมิภาค บริษัท เวิร์นส์ ออโตโมทีฟ ประเทศไทย เปิดเผยในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 38 Motor Expo 2021 ว่า ในฐานะตัวแทนจำหน่ายและให้บริการหลังการขายรถยนต์โลตัสอย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนแผนการตลาดและการบริการหลังการขายแบบครบวงจร ด้วยมาตรฐานของแบรนด์รถสปอร์ตหรู

รวมทั้งการชูกลยุทธ์ Driver to Driver รุกตลาดรถสปอร์ตผ่านการนำเสนอสุดยอดนวัตกรรมรถสปอร์ตหรูสมรรถนะเยี่ยมและน้ำหนักเบา ซึ่งการันตีได้จากการเป็น Racing Heritage เจ้าของแชมป์ F1 ถึง 7 สมัยที่ครองใจแฟนคลับทั่วโลกมายาวนานกว่า 73 ปี

“การกลับมาเปิดตัวแบรนด์ในงาน Motor Expo ครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี ที่โลตัส คาร์ ไทยแลนด์ ได้นำรถยนต์มาจัดแสดงสู่คนรักรถสปอร์ตชาวไทย ซึ่งผู้เข้าชมงานจะได้พบกับอัครยนตรกรรม Lotus Exige Sport 350 และ Lotus Elise Sport 220 ที่สุดแห่งยนตรกรรมพรีเมียมสปอร์ตระดับตำนาน ซึ่งเป็น 6 คันสุดท้าย ที่จะเผยให้ได้ยลโฉมและทำตลาดเป็นล็อตสุดท้าย และพิเศษสุดกับการเปิดจอง The New Lotus Emira V6 First Edition แบบ Full Option รถสปอร์ตพรีเมียมสายพันธุ์ใหม่ที่มียอดจองถล่มทลายจากทั่วโลก เปิดจองแบบเอ็กซ์คลูซีฟเพียง 6 คันเท่านั้น ด้วยราคาเริ่มต้น 11.9 ล้านบาท”

<img class="alignnone size-full wp-image-55619" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/Lotus-Elise_Interior_3.jpg" alt="" width="600" height="400" />

สำหรับ The New Lotus Emira V6 First Edition เป็นรถเครื่องยนต์สันดาปรุ่นสุดท้ายที่โลตัสประกาศผลิตจากโรงงาน Hethel ในสหราชอาณาจักร ก่อนที่แบรนด์จะเปลี่ยนมาผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 เปอร์เซ็นต์ ในอนาคตด้วย Design Language และการออกแบบใหม่ที่มีหน้าตาสวยสะดุดตาเหมือนรถ Supercar ขนาดเล็ก โดยยังคงรักษาดีเอ็นเอในแบบฉบับโลตัสที่เน้นสัมผัสในการขับขี่ตามสโลแกน “For The Drivers”

ส่วนซีรี่ส์ Elise และ Exige ถือเป็น Bread &amp; Butter ของแบรนด์โลตัสที่สร้างชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ด้วยการออกแบบและสมรรถนะการขับขี่ที่เหมือนกับรถแข่ง อย่างไรก็ตาม โลตัสได้ประกาศกำหนดเลิกการผลิตรถ 2 รุ่นนี้ในปี 2021 ทำให้ซีรี่ส์ Elise และ Exige จะกลายเป็น “THE LAST OF ITS KIND” และทำให้รถยนต์ 2 รุ่นนี้เป็นรถสะสมในกลุ่มคนเล่นรถ Future Collectibles ในอีกไม่ช้า

นอกจากนั้น โลตัสยังเร่งพัฒนานวัตกรรมใหม่ในการผลิตไลฟ์สไตล์โมเดลอย่างรถยนต์พลังงานไฟฟ้าใหม่ 4 รุ่นในอีก 5 ปีข้างหน้า เพื่อรุกตลาดรถยนต์เกรดพรีเมียมเต็มตัว ได้แก่ Type 132 รถ E-Segment SUV, Type 133 รถ E-Segment 4-door Coupe, Type 134 รถ D-Segment SUV และ Type 135 รถ Sport Coupe

<img class="alignnone size-full wp-image-55620" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/Lotus-Exige_3.jpg" alt="" width="600" height="400" />

“โลตัสกำลังลงทุนเปิด LOTUS TECHNOLOGY HQ แห่งใหม่ในประเทศจีน รวมถึงโรงงานผลิตรถไฟฟ้าในจีนเพื่อส่งจำหน่ายไปทั่วโลก สำหรับรถยนต์โลตัสรุ่นต่อไปที่จะเปิดตัวในปี 2023 จะเป็นเอสยูวีรุ่นแรกของแบรนด์และเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ภายใต้โค้ดเนม [Type132] โดยเอสยูวีรุ่นนี้มีเป้าหมายที่จะบุกตลาดรถพรีเมียม ด้วยข้อได้เปรียบด้านฐานภาษีรถไฟฟ้าที่น้อยกว่ารถเครื่องยนต์สันดาป อีกทั้งรถยนต์ไฟฟ้าของโลตัสจะประกอบขึ้นที่โรงงานแห่งใหม่ในจีน ทำให้ภาษีอากรขาเข้าเป็น 0% ส่งผลให้การตั้งราคาขายจะสามารถดึงดูดใจผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ได้อย่างแน่นอน”

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/hr/%e0%b9%81%e0%b8%9e%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%a1-%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%b8%e0%b9%8a%e0%b8%9b-%e0%b8%88%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%a1%e0%b8%b7%e0%b8%ad-skooldio.html">“แพคริม กรุ๊ป” จับมือ “Skooldio” เร่งทำ “Digital Transformation” องค์กรในไทย</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

&nbsp;

&nbsp;

โลตัส คาร์ รุกตลาดพรีเมียมสปอร์ตคาร์ชูกลยุทธ์ Driver to Driver

Stephan Winkelmann ขับเคลื่อนพลัง Lamborghini

อภิชาติ ลีนุตพงษ์ เปิดขุมพลังแรงมิดไมล์

<h2>“รถยนต์ที่แรงที่สุดบนถนน” ประโยคที่ผู้ผลิตไฮเปอร์คาร์จากทั่วโลกล้วนปรารถนา และปัจจุบัน Tuatara จาก ค่าย SSC North America ได้สร้างสถิติความเร็วใหม่อย่างเป็นทางการที่ความเร็ว 316.11 ไมล์ต่อชั่วโมง</h2>
นับตั้งแต่ปี 2017 Koenigsegg Agera RS ที่ครองตำแหน่งรถยนต์ที่เร็วที่สุดบนถนน ด้วยความเร็วสถิติที่ 277.9 ไมล์ต่อชั่วโมง (ขณะที่แหล่งข่าวบางสำนักยกตำแหน่งนี้ให้กับ Bugatti Chiron ที่ปรับจูนเครื่องจนสามารถทำความเร็วสถิติที่ 304.77 ไมล์ต่อชั่วโมง เมื่อปี 2019 ที่ประเทศเยอรมนี) โดยสถิติของ Koenigsegg เมื่อปี 2017 เป็นการทำลายสถิติที่ Bugatti ค่ายผู้ผลิตไฮเปอร์คาร์ ทำเอาไว้จากรถยนต์รุ่น Bugatti Veyron Super Sport ด้วยสถิติความเร็วที่ 267.9 ไมล์ต่อชั่วโมง

<img class="alignnone size-full wp-image-36318" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/10/TUATARA_0003.jpg" alt="" width="600" height="400" />

เช้าวันที่ 10 ตุลาคม 2020 ตามเวลาสหรัฐฯ ค่ายรถยนต์ SSC North America ได้นำ Tuatara ลงถนนเพื่อเตรียมทำลายสถิติโลกในประเทศรถยนต์ที่สามารถใช้งานบนถนนสาธารณะ โดยการทดสอบความเร็วทำต่อเนื่องสองครั้ง บนเส้นทางตรงและเป็นการทดสอบภายในหนึ่งชั่วโมง โดยรอบไป Tuatara ทำความเร็วที่ 301.07 ไมล์ต่อชั่วโมง ขณะที่ขากลับทำความเร็วที่ 331.15 ไมล์ต่อชั่วโมง สำหรับเวลาอย่างเป็นทางการที่ความเร็วสูงสุด 316.11 ไมล์ต่อชั่วโมง

การบันทึกสถิติครั้งนี้เกิดขึ้นบนถนนเส้นตรงในระยะ 7 ไมล์ ของเส้นทางหลวง 160 ไม่ห่างจากเมือง Pahrump, Nevada สหรัฐฯ โดยได้ Oliver Webb นักขับรถสูตรมืออาชีพเป็นผู้ทดสอบ และได้สร้างสถิติใหม่ ดังนี้

- 313.12 ไมล์ต่อชั่วโมง - เร็วที่สุดในการคำนวนแบบไมล์บนถนนสาธารณะ
- 503.9 กิโลเมตรต่อชั่วโมง - เร็วที่สุดในการคำนวนแบบกิโลเมตรบนถนนสาธารณะ
- 331.15 ไมล์ต่อชั่วโมง - เร็วที่สุดบนถนนสาธารณะ

<img class="alignnone size-full wp-image-36319" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/10/TUATARA_0004.jpg" alt="" width="600" height="400" />

<img class="alignnone size-full wp-image-36320" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/10/TUATARA_0005.jpg" alt="" width="600" height="400" />

SSC North America ได้เตรียมวางแผนการผลิตไฮเปอร์คาร์คันนี้ จำนวน 100 คัน คาดว่าราคาขายอยู่ที่ราว 1.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ด้านขุมพลังความแรงมาจากเครื่องยนต์ 5.9 ลิตร V8 ติดตั้งพร้อมเทอร์โบ 2 ลูก 1,750 แรงม้า

“เราต้องการเห็นเราเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์และหวังว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นทลายสิ่งที่เราได้ทำไว้” Jerod Shelby ผู้ก่อตั้ง SSC North America แถลงผ่านสื่อ “มีเพียงสิ่งเดียวที่พาเราข้ามอดีต นั่นคือความสำเร็จของวิศวกรรมยนตรกรรมได้พาเราก้าวผ่านขีดจำกัดความเร็วของรถยนต์นำมาวิ่งบนถนนสาธารณะอย่างได้ถูกต้อง เป็นความสำเร็จครั้งสำคัญที่ทั้งตื่นเต้น เกินคาด แม้กระทั่งตัวผมเอง"

Tuatara ถูกออกแบบด้วยความร่วมมือกับ Jason Castriota แห่ง Castriota Design ออกแบบไฮเปอร์คาร์ให้มีค่าเสียดทานด้านพลศาสตร์เพียง 0.279 โครงสร้างของรถสร้างจาก คาร์บอน ไฟเบอร์ ที่มีน้ำหนักเบาและแข็งแรงเพื่อความปลอดภัยของผู้ขับ และลดชิ้นส่วนที่ไม่จำเป็นออกทั่วทั้งคัน

“เราจัดเต็มด้านวิศวกรรมยานยนต์โดยต้องการสร้างรถยนต์ที่ทำความเร็วไปถึง 330 ไมล์ต่อชั่วโมง” Shelby กล่าวและเสริมว่า “แลพเราต้องมั่นใจว่า Oliver จะต้องปลอดภัยที่สุดนี้คือความตั้งใจสูงสุดของการทดสอบในครั้งนี้”

<img class="alignnone size-full wp-image-36321" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/10/TUATARA_0006.jpg" alt="" width="600" height="400" />

Jerod Shelby ก่อตั้ง Shelby SuperCarsในปี 1998 โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมือง Richland, Washington สร้างชื่อไปทั่วโลกด้วยการเปิดตัวซูเปอร์คาร์ "Ultimate Aero" ที่ลบสถิติสูงสุดด้านรถยนต์ของ Bugatti Veyron เจ้าของสถิติความเร็วที่ 256.18 ไมล์ต่อชั่วโมง

เพื่อป้องกันความสับสน Shelby รีบเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น SSC North America เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนกับบริษัทรถยนต์ในตำนาน Carroll Shelby ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขาแต่อย่างใด ทั้งนี้ระหว่างการทดสอบ Tuatara ยังได้บันทึกการถ่ายทำสารคดีที่เกี่ยวข้องกับการผลิตรถยนต์ไฮเปอร์คาร์โดย Driven Studios

แปลและเรียบเรียงจากบทความ There’s A New Fastest Production Car – And It’s Not A Bugatti ที่แผยแพร่บน forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4-%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%9E%E0%B8%87%E0%B8%A9%E0%B9%8C-%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1.html">อภิชาติ ลีนุตพงษ์ เตรียมเปิดตัว “เคอนิกเส็กก์” ไฮเปอร์คาร์สัญชาติสวีเดน</a>

<hr />

ไม่พลาดบทความน่าสนใจจากทั่วโลก ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>
และ <a href="https://twitter.com/Forbes_TH">ทวิตเตอร์ Forbes Thailand</a>

&nbsp;

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events