<h2>ธนาคารเกียรตินาคินภัทร เผยไตรมาส 1 ปี 68 มีกำไรฯ 1,062 ล้าน ลดลง 29.5%YoY ผลจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 15.4% หลังเน้นปล่อยสินเชื่อคุณภาพสูง ขณะที่พอร์ตหลักอย่างสินเชื่อรถ พบว่าผลขาดทุนการขายรถยึดปรับตัวดีข้ึนต่อเนื่อง ลดลงเหลือ 51.9% ไตรมาสนี้ยังคั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดข้ึนที่ 1,104 ล้านบาท</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธนาคารเกียรตินาคินภัทร หรือ KKP เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 68 (เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 67)&nbsp;มีรายละเอียดดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- กำไรสุทธิ (ส่วนที่เป็นของธนาคาร) อยู่ที่ 1,062 ล้านบาท ลดลง 29.5%YoY&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- รายได้ดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 4,446 ล้านบาท ลดลง 15.4%YoY เป็นผลจากการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารที่มุ่งเน้นการปล่อยสินเชื่อไปในประเภทที่มีคุณภาพสูง&nbsp;และผลจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ที่ 4.6% (ไตรมาส 1 ปี 2567 อยู่ที่ 4.9%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยอยู่ที่ 1,507 ล้านบาท ลดลง 4.6%YoY แม้รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิยังเพิ่มขึ้น 16.4% แต่กำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุนปรับลดลงตามภาวะตลาด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอยู่ที่ 3,515 ล้านบาท ลดลง 18.6% อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 46.8%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สินเชื่อรวมที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต หรือ หนี้เสีย (NPL)&nbsp;ณ สิ้นเดือน มี.ค. 68 อยู่ที่ 16,319 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จากสิ้นเดือน ธ.ค. 67 ที่อยู่ระดับ 15,975 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ 4.4%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม จากธุรกิจหลักด้านสินเชื่อรถยนต์พบว่า ผลขาดทุนจากการขายรถยึดปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องโดยปรับตัวลดลง 51.9% จากไตรมาส 1/2567 ธนาคารยังคงความระมัดระวังในการพิจารณาตั้งสำรอง โดยผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดข้ึนสำหรับไตรมาส 1/2568 จำนวน&nbsp;1,104 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.7% จากสิ้นปีก่อน (เพิ่มขึ้น 81.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน) สำหรับอัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต ณ สิ้นไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ 131.0% ภาพ: KKP เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/scb-q-1-68-apr-2025" alt="SCBX เปิดกำไรฯ ไตรมาส 1 ปี 68 แตะ 12,502 ล้านบาท พุ่ง 10.8%YoY แม้ยอดสินเชื่อรวมยังลดลง">SCBX เปิดกำไรฯ ไตรมาส 1 ปี 68 แตะ 12,502 ล้านบาท พุ่ง 10.8%YoY แม้ยอดสินเชื่อรวมยังลดลง</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ธ.เกียรตินาคินภัทร เผยไตรมาส 1 ปี 68 มีกำไรฯ 1,062 ล้าน ลดลง 29.5%YoY หลังเน้นปล่อยสินเชื่อคุณภาพสูง

<h2>ธนาคารเกียรตินาคินภัทร เปิดตัว KKP Lifecare Saving บัญชีเงินฝากพร้อมประกันโรคร้ายแรง 40 โรคร้ายแรง ทุนประกันภัยสูงสุด 1,000,000 บาท ไม่ต้องจ่ายเบี้ยประกัน รับดอกเบี้ยเงินฝากสูงถึง 0.75% ต่อปี (วันที่ 26 ก.พ. - 31 พ.ค. 2568)</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายกัมพล จันทวิบูลย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า “ปัจจุบันอัตราการป่วยด้วยโรคร้ายแรงของคนไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นมะเร็ง โรคหัวใจ หรือโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งมีสาเหตุมาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ความเครียดและมลภาวะที่เพิ่มขึ้นในแต่ละวัน โดยเฉพาะคนวัยทำงานที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้ ธนาคารจึงได้ร่วมมือกับเจนเนอราลี่ ประกันชีวิต พัฒนาผลิตภัณฑ์ KKP Lifecare Saving ขึ้นมาเพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถบริหารจัดการด้านการเงินและลดภาระทางการเงินในกรณีที่เกิดโรคร้ายแรง”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บัญชีเงินฝากพร้อมประกันโรคร้ายแรง KKP Lifecare Saving ได้รับการออกแบบให้ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการทั้งการออมเงินและการคุ้มครองสุขภาพ โดยการผสานข้อดีของบัญชีเงินฝากและแผนประกันสุขภาพเข้าด้วยกัน ด้วยจุดเด่น ดังนี้&nbsp; &nbsp; - คุ้มครองการเสียชีวิตทุกกรณี ตลอด 24 ชั่วโมง จำนวนเงินเอาประกันภัย 50,000 บาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- คุ้มครอง 40 โรคร้ายแรง ครอบคลุมโรคที่พบบ่อย เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และภาวะไตวายเรื้อรัง วงเงินคุ้มครองสูงสุดถึง 1,000,000 บาท&nbsp; &nbsp; - รับดอกเบี้ยเงินฝากสูงถึง 0.75% ต่อปี (ระหว่างวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 – 31 พฤษภาคม 2568 )&nbsp; &nbsp; - ไม่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยรายปีเพิ่มเติม เพียงรักษายอดเงินฝากขั้นต่ำ 50,000 บาท&nbsp; &nbsp; - วงเงินเอาประกันภัยสูงถึง 125% ของยอดเงินฝากเฉลี่ย 2 เดือน ก่อนเดือนที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นโรคร้ายแรง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“KKP Lifecare Saving เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการเงินและต้องการเพิ่มหลักประกันด้านสุขภาพ โดยเฉพาะในยุคที่ค่ารักษาพยาบาลมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การมีบัญชีเงินฝากที่ให้ดอกเบี้ยดี พร้อมกับการคุ้มครองโรคร้ายแรง จะช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจขึ้น ปลอดภัย และไร้กังวล ทั้งในวันนี้และอนาคต” นายกัมพลกล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายอาร์ช คอลมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ กล่าวว่า “เจนเนอราลี่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยตามความต้องการและสามารถเข้าถึงได้ง่าย โดย KKP Lifecare Saving เป็นผลิตภัณฑ์ที่พัฒนามาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าธนาคารเกียรตินาคินภัทรที่ให้ความสำคัญในการวางแผนทางการเงินอย่างครอบคลุม ทั้งการออมทรัพย์และการป้องกันความเสี่ยงด้านสุขภาพ ธนาคารเกียตินาคินภัทรถือได้ว่าเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญของเจนเนอราลี่ เราจึงมุ่งมั่นที่จะเสริมความแข็งแกร่งด้วยการนำเสนอประกันภัยที่ตอบโจทย์ ผ่านการคัดสรรผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม โดดเด่น และให้ประโยชน์ที่คุ้มค่าสำหรับลูกค้า ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักของบริษัทฯ” นายอาร์ชกล่าว ภาพ: KKP เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/kampol-jantavibool-new-president-kkp" alt="KKP เปิดตัวผู้นำคนใหม่ แต่งตั้ง ‘กัมพล จันทวิบูลย์’ เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่">KKP เปิดตัวผู้นำคนใหม่ แต่งตั้ง ‘กัมพล จันทวิบูลย์’ เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

มีเงินฝาก ฟรีประกันโรคร้ายแรง! เกียรตินาคินภัทร เปิดตัว KKP Lifecare Saving บัญชีเงินฝากดอกเบี้ย 0.75%/ปี คุ้มครอง 40 โรคร้ายแรง

<h2>เมื่อต้องการวางแผนการเงิน สิ่งที่แรกที่ผู้เชี่ยวชาญต่างแนะนำคือการเก็บออมเงินฉุกเฉิน ไว้เพื่อรองรับสถานการณ์ไม่คาดฝัน ส่วนใหญ่จะแนะนำให้สำรองค่าใช้จ่ายราว 3-6 เดือนไว้ ซึ่งจะต้องเก็บไว้ในที่ที่สามารถฝากหรือเบิกถอนมาใช้ได้ตลอดเวลา หลายคนจึงเลือกเก็บในบัญชีออมทรัพย์ที่มีเงื่อนไขไม่ซับซ้อน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วันนี้ Forbes Thailand ชวนผู้อ่านมาเปรียบเทียบ 8 ผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์ ที่สามารถฝาก-ถอนได้ตลอด ไม่ต้องรอดอกเบี้ยโบนัส แถมยังได้รับอัตราดอกเบี้ยสูงตั้งแต่ 1.5-5.5% ต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เริ่มกันที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากสูงที่สุดใน 8 ผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์ ได้แก่ ออมทรัพย์ดิจิทัล บียู เวลท์ จากธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH Bank) จุดเด่นคือให้อัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่ 5.5% ต่อปี ในวงเงิน 100,000 บาทสุดท้ายของแต่ละล้าน สูงสุด 4 ล้านบาท มีขั้นต่ำในการเปิดบัญชี 500 บาท &nbsp; &nbsp; &nbsp;ตัวอย่างเช่น หากฝากเงินที่ 1,000,000 บาท ในเงินฝากส่วนที่ไม่เกิน 900,000 บาทจะได้รับอัตราดอกเบี้ย 1.5% ต่อปี ส่วนที่เกิน 900,000 ถึง 1,000,000 บาท จะได้รับอัตราดอกเบี้ย 5.5% ต่อปี ดังนั้นในเงินฝาก 1 ล้านบาทจะได้รับดอกเบี้ยฯ เฉลี่ย 1.91% ต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รองลงมา มี 2 ผลิตภัณฑ์ที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่ 3% ต่อปี เฉพาะยอดเงินฝากที่ไม่เกิน 10,000 บาท ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- KKP Dime! save จากธนาคารเกียรตินาคินภัทร โดยยอดเงินฝากที่ 30,001 - 1,000,000 บาท ได้รับอัตราดอกกเบี้ยที่ 1.50% ต่อปี และยอดเงินฝากที่มากกว่า 1,000,000 บาท ได้รับอัตราดอกกเบี้ยที่ 0.50% ต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ออมทรัพย์ดิจิทัล บียู แม็กซ์ จาก LH Bank โดยยอดเงินฝากส่วนที่เกิน 10,000 บาท ถึง 100 ล้านบาท ได้รับอัตราดอกกเบี้ยที่ 0.25% ต่อปี มีขั้นต่ำในการเปิดบัญชี 500 บาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ถัดมาคือ เงินฝากออมทรัพย์ชิลดี ซีไอเอ็มบี ไทย จากธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) ให้อัตราดอกเบี้ยสูงสุด 2.88% ต่อปี เฉพาะยอดเงินส่วนที่เกิน 50,000 ถึง 100,000 บาท โดยมีรายละเอียดอัตราดอกเบี้ยฯ ดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ยอดเงินที่ไม่เกิน 0 - 10,000 บาท ให้อัตราดอกเบี้ย 0.50% ต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ยอดเงินส่วนที่เกิน 10,000 - 50,000 บาท ให้อัตราดอกเบี้ย 1.80% ต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ยอดเงินส่วนที่เกิน 50,000 - 100,000 บาท ให้อัตราดอกเบี้ย 2.88% ต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ยอดเงินส่วนที่เกิน 100,000 บาทขึ้นไป ให้อัตราดอกเบี้ย 0.20% ต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จุดเด่นของเงินฝากออมทรัพย์ชิลดี ซีไอเอ็มบี ไทย คือ จะได้รับบัตรเดบิต ฟรีค่าธรรมเนียมแรกเข้าและปีแรก รวมถึงบัตรเดบิตนี้สามารถใช้ถอนเงินสดจากตู้ ATM จากต่างธนาคารและข้ามเขตได้ฟรีค่าธรรมเนียม (ทำรายการที่เครื่อง ATM ได้วันละ 8 ครั้ง)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ มี 3 ผลิตภัณฑ์เงินฝากที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงสุด 2% ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ออมทรัพย์อัลฟา (ไม่มีสมุดคู่ฝาก) จากธนาคารไทยเครดิต ผู้เขียนมองว่าเป็นบัญชีออมทรัพย์ที่เหมาะกับการฝากเงินฉุกเฉิน หรือเงินที่ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เพราะให้วงเงินฝากดอกสูงมากกว่าธนาคารอื่นๆ​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ยอดเงินฝากไม่เกิน 500,000 บาท ให้อัตราดอกเบี้ยที่ 2% ต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ยอดเงินฝากส่วนเกิน 500,000 บาท ให้อัตราดอกเบี้ย 0.7% ต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- KKP Start Saving จากธนาคารเกียรตินาคินภัทร ที่สามารถเปิดบัญชีผ่านแอปฯ TrueMoney Wallet&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ยอดเงินฝากไม่เกิน 50,000 บาท ให้อัตราดอกเบี้ยที่ 2% ต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ยอดเงินฝากที่ 50,001 ถึง 1,500,000 บาท ให้อัตราดอกเบี้ย 1.55% ต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ยอดเงินฝากที่ 1,500,000 บาท ให้อัตราดอกเบี้ย 0.50% ต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ออมทรัพย์ TISCO My Savings จากธนาคารทิสโก้ มีขั้นต่ำในการเปิดบัญชี 1,000 บาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ยอดเงินฝากไม่เกิน 70,000 บาท ให้อัตราดอกเบี้ยที่ 0.25% ต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ยอดเงินฝากส่วนที่เกิน 70,000 ถึง 100,000 บาท ให้อัตราดอกเบี้ยที่ 2% ต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ยอดเงินฝากส่วนที่เกิน 100,000 ถึง 1,000,000 บาท ให้อัตราดอกเบี้ยที่ 0.80% ต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เงินฝากออมทรัพย์เก็บออม จากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ยอดเงินฝากไม่เกิน 200,000 บาท ให้อัตราดอกเบี้ยที่ 1.85% ต่อปี ยอดเงินส่วนเกิน 200,000 บาท จะได้เรทอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ปกติของธนาคาร (มีการเปลี่ยนแปลงได้) โดยมีขั้นต่ำในการเปิดบัญชี 500 บาท <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/SAVHh7qeJit16TnPwu6p.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="SAVHh7qeJit16TnPwu6p.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ในส่วนของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ยังมีเงินฝากออมทรัพย์ ในรูปแบบดิจิทัลที่ใช้คู่กับ Mobile banking ของธนาคาร แต่ให้ดอกเบี้ยสูงที่ 1.5% ต่อปี ฝากถอนได้ทุกเมื่อ ไม่มีเงื่อนไขซับซ้อน ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- เงินฝากออมทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ (K-eSavings) ที่วงเงินไม่เกิน 500,000 บาท จะได้รับอัตราดอกเบี้ย 1.5% ต่อปี ยอดเงินฝากส่วนที่เกิน 500,000 บาท จะได้รับอัตราดอกเบี้ย 0.55% ต่อปี สามารถเปิดบัญชีได้โดยไม่มีเงินฝากขั้นต่ำ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- เงินฝากออมทรัพย์อีซี่ ในยอดเงินฝากไม่เกิน 2,000,000 บาท จะได้รับอัตราดอกเบี้ย 1.5% ต่อปี และยอดเงินฝากส่วน 2,000,001 - 3,000,000 บาท จะได้รับอัตราดอกเบี้ย 1.00% ต่อปี ทั้งนี้มีขั้นต่ำในการเปิดบัญชี 500 บาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- เงินฝากออมทรัพย์ Krungthai NEXT Savings เงินฝากส่วนที่ไม่เกิน 2,000,000 บาทจะได้รับอัตราดอกเบี้ย 1.5% ต่อปี เงินฝากส่วนที่เกิน 2,000,000 บาทขึ้นไป จะได้รับอัตราดอกเบี้ย 0.55% ต่อปี โดยไม่มีขั้นต่ำในการเปิดบัญชี&nbsp; &nbsp; ทั้ง 11 ผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์ เป็นส่วนหนึ่งของเงินฝากดอกเบี้ยสูงที่ธนาคารของไทยเปิดให้ประชาชนสามารถเปิดบัญชีได้ง่าย และเข้าถึงการออมเงินได้มากขึ้น แต่แนะนำว่าควรศึกษารายละเอียดเรื่องค่ารักษาบัญชี ยอดเงินฝากขั้นต่ำ รวมถึงค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมที่สาขา รวมถึงแบ่งการเก็บเงินฉุกเฉินมากกว่า 1 บัญชีเพื่อป้องกันความเสี่ยงในวันที่ระบบธนาคารแห่งนั้นอาจจะล่มหรือมีปัญหา ภาพ:&nbsp;ธัญวดี นิรุตติศาสตร์,<a href="https://www.freepik.com/free-ai-image/overflowing-piggy-bank-represents-both-savings-financial-education_65362232.htm#fromView=search&amp;page=1&amp;position=1&amp;uuid=07655ec4-5c98-4013-ab05-b81e6f041f8e&amp;query=overflowing-piggy-bank-represents-both-savings-financial-education" style="font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">&nbsp;rorozoa on Freepik</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/6-lotto-saving-sfis-bank-feb-2025" alt="มีเงิน 1,000,000 บาท ปี 2568 ซื้อสลากออมทรัพย์ที่ไหนดี">มีเงิน 1,000,000 บาท ปี 2568 ซื้อสลากออมทรัพย์ที่ไหนดี</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เปรียบเทียบ 8 บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ 'ดอกเบี้ยสูง ฝาก-ถอนได้ตลอด' ในปี 2568 

<h2>กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) ฉลองวาระครบรอบ 50 ปีของการก่อตั้ง ตอบแทนองค์ความรู้คืนสู่สังคม ด้วยการจัดทำหนังสือ 50 Years: The Making of the Modern Thai Economy ฉายภาพพัฒนาการของเศรษฐกิจไทยตลอดระยะเวลาเกินกว่าห้าทศวรรษนับตั้งแต่ประเทศไทยเริ่มก้าวเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ ถอดรหัสบทเรียนจากบุคคลสำคัญและเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ตลอดจนชี้ความท้าทายและทางออกแห่งอนาคต</h2>
ทั้งนี้ เนื้อหาจัดทำโดยผู้เชี่ยวชาญของเกียรตินาคินภัทร ได้แก่ บรรยง พงษ์พานิช, ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ, ธีระพงษ์ วชิรพงศ์, ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย, ธนกร จ๋วงพานิช ร่วมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ ดร.พงศ์ศักดิ์ เหลืองอร่าม, ดร.กฤษฎ์เลิศ สัมพันธารักษ์, ดร.ณชา อนันต์โชติกุล, นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ และศรัณย์ กิจวศิน

นอกจากนี้ยังประกอบไปด้วยบทสัมภาษณ์ผู้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดเศรษฐกิจในแต่ละยุคสมัยอีกคับคั่ง อาทิ นายกรัฐมนตรี นักการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจ และนักวิชาการ สำหรับประชาชนผู้สนใจ เกียรตินาคินภัทรเปิดให้ดาวน์โหลดหนังสือในรูปแบบไฟล์ PDF ได้ฟรีแล้ววันนี้ ที่ <a href="https://link.kkpfg.com/vqLON">https://link.kkpfg.com/vqLON</a>

บรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เผยถึงที่มาของโครงการหนังสือ 50 Years: The Making of the Modern Thai Economy ว่า “ทุกวันนี้เราพูดถึงการเตรียมตัวเพื่อรับมือโลกที่มีความผันผวน ไม่แน่นอน ซับซ้อน และคลุมเครือ หรือที่เรียกว่าโลกของ ‘วูคา (VUCA)’ ตลอดเวลา แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้การคาดการณ์ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรก็คือการศึกษาอดีตว่าเรามาสู่จุดที่เป็นอยู่ได้อย่างไร เพื่อเข้าใจทั้งข้อจำกัดและศักยภาพของตัวเองและเลือกหนทางก้าวต่อไปได้อย่างเหมาะสมที่สุด

ด้วยเหตุนี้ในโอกาสครบรอบ 50 ปีของการก่อตั้ง กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทรคิดว่าการพยายามทำหนังสือรวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเศรษฐกิจไทย นอกเหนือไปจากประวัติศาสตร์ขององค์กร น่าจะให้ประโยชน์และมีความหมายที่สุดแก่สังคม โดยความพิเศษคือนอกจากบทวิเคราะห์บทเรียนจากประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย กลุ่มธุรกิจฯ ยังได้รับความกรุณาจากหลายท่านซึ่งได้รู้เห็นหรือมีส่วนสำคัญในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์มาร่วมให้สัมภาษณ์แก่หนังสือ ทำให้สามารถปะติดปะต่อและเห็นเรื่องราวในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของประเทศได้อย่างลึกซึ้งและรอบด้านมากขึ้น”

ทั้งนี้ เนื้อหาของหนังสือ 50 Years: The Making of the Modern Thai Economy แบ่งออกเป็น 7 บท โดยแต่ละบทบอกเล่าถึงหมุดหมายสำคัญทางประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของประเทศไทย อาทิ สงครามเย็น วิกฤต Oil Shock ยุคโชติช่วงชัชวาล วิกฤตต้มยำกุ้ง วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ วิกฤตการเมือง ฯลฯ และถอดรหัสบทเรียนสำหรับการตอบสนองต่อคลื่นความเปลี่ยนแปลงที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน

นอกจากนั้น ตลอดเล่มยังสอดแทรกด้วยบทสัมภาษณ์ผู้มีบทบาทในทางเศรษฐกิจทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาควิชาการ อาทิ อดีตนายกรัฐมนตรี นายอานันท์ ปันยารชุน ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ดร.เสนาะ อูนากูล ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ที่ปรึกษาของรัฐบาล ดร.วีรพงษ์ รามางกูร และดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี นักวิชาการ ดร. ผาสุก พงษ์ไพจิตร และดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ตลอดจนนายคีรี กาญจนพาสน์ แห่งกลุ่มบีทีเอส นายสุทธิธรรม จิราธิวัฒน์ แห่งกลุ่มเซ็นทรัล และนายธนินท์ เจียรวนนท์ แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์

นอกจากนี้ เพื่อขยายผลองค์ความรู้ให้เป็นประโยชน์ในวงกว้างยิ่งขึ้น กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ยังได้ร่วมกับสำนักข่าว THE STANDARD จัดงานเสวนาเศรษฐกิจ ‘THIS IS THE END OF THE LINE สถานีต่อไปของเศรษฐกิจไทย สร้างใหม่อย่างไรดี’ ซึ่งจะหยิบยกเอาประเด็นสำคัญจากหนังสือมานำเสนอและอภิปรายต่อยอดในรูปแบบของงานเสวนาโดยมีวัตถุประสงค์มุ่งหาคำตอบสำหรับก้าวต่อไปของเศรษฐกิจไทย งานจัดขึ้นในรูปแบบ Virtual Conference ที่เปิดให้รับชมฟรี สำหรับผู้ลงทะเบียน วันเสาร์ที่ 2 เมษายน 2565 เวลา 13.00 น. ติดตามรายละเอียดได้ที่เพจ <a href="https://www.facebook.com/KiatnakinPhatra">https://www.facebook.com/KiatnakinPhatra</a>

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-60575" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/03/50-Years-The-Making-of-the-Modern-Thai-Economy_0304.jpg" alt="" width="650" height="487" />

<img class="alignnone size-full wp-image-60574" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/03/50-Years-The-Making-of-the-Modern-Thai-Economy_0303.jpg" alt="" width="650" height="487" />

<img class="alignnone size-full wp-image-60577" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/03/50-Years-The-Making-of-the-Modern-Thai-Economy_0306.jpg" alt="" width="650" height="487" />

<img class="alignnone size-full wp-image-60576" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/03/50-Years-The-Making-of-the-Modern-Thai-Economy_0305.jpg" alt="" width="650" height="487" />

<img class="alignnone size-full wp-image-60578" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/03/50-Years-The-Making-of-the-Modern-Thai-Economy_0307.jpg" alt="" width="650" height="487" />

<img class="alignnone size-full wp-image-60579" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/03/50-Years-The-Making-of-the-Modern-Thai-Economy_0308.jpg" alt="" width="650" height="487" />

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/other/%e0%b8%9e%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b9%82%e0%b8%8b%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b8%84-%e0%b9%82%e0%b8%8b%e0%b8%a5%e0%b8%b9%e0%b8%8a%e0%b8%b1%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b8%aa%e0%b9%8c-%e0%b8%81%e0%b8%b2.html">“พานาโซนิค โซลูชั่นส์” กางแผนธุรกิจควบรวม 3 บริษัท ดันยอดขาย 2.8 หมื่นล้าน ภายในปี 2573</a>

<hr />
<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>
&nbsp;

&nbsp;

KKP ฉลองครบรอบ 50 ปี เปิดตัวหนังสือ 50 Years: The Making of the Modern Thai Economy

<h2>สำมิตร สกุลวิระ ประธานสายสินเชื่อธุรกิจธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) บริษัทในกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เผยปีที่ผ่านมาสายสินเชื่อธุรกิจทำวงเงินสินเชื่ออนุมัติใหม่ได้สูงสูงเท่าที่เคยที่ทำมา ด้านกลยุทธ์ปี 61 ชูกลยุทธ์การบริการทางการเงินอย่างครบวงจรด้วย Financial Solution Expert</h2>
ในปีที่ผ่านมา ธนาคารเกียรตินาคิน เริ่มขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ โดยที่ผ่านมาสายสินเชื่อธุรกิจ มุ่งเน้นทำตลาดในอุตสาหกรรมที่ธนาคารมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ ได้แก่ สินเชื่อกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายกลางรายเล็ก และสินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอี (สินเชื่อธุรกิจอพาร์ตเม้นต์และโรงแรม สินเชื่อธุรกิจขนส่ง สินเชื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม และสินเชื่อเพื่อเครื่องจักรและวัสดุก่อสร้าง)

โดย ปี 2560 ที่ผ่านมา สินเชื่อธุรกิจ มียอดสินเชื่อรวม 44,283 ล้านบาท ขยายตัวที่ 7% จากสิ้นปี 2559 แบ่งเป็น สินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 21,276 ล้านบาท สินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอี (สินเชื่อธุรกิจอพาร์ตเม้นต์และโรงแรม สินเชื่อธุรกิจขนส่ง สินเชื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม และสินเชื่อเพื่อเครื่องจักรและวัสดุก่อสร้าง) 23,007 ล้านบาท

สำหรับปี 2561 นั้น ด้วยทิศทางเศรษฐกิจและความต้องการของลูกค้า ธนาคารได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบและการทำงานเพื่อตอบความต้องการของลูกค้าและสนับสนุนความสำเร็จของธุรกิจด้วยแนวทางการดำเนินงาน 4 ด้าน คือ การเจาะกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในทุกเซกเมนต์ ส่วนกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีมุ่งขยายธุรกิจไปยังลูกค้ากลุ่มเดิม การขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มที่มีความมั่งคั่งสูง (high net worth) ในกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร การเป็นธนาคารที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ด้วยประสบการณ์ยาวนานของทีมงาน และ ชูแพลตฟอร์มการเป็น Financial Solution Expert โดยพัฒนาบุคลากร ผลิตภัณฑ์ และบริการที่ครอบคลุมความต้องการทางธุรกิจของลูกค้า ตลอดจนนำเสนอเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสมกับผู้ประกอบการและสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับกิจการ

“ปี 2561 สายสินเชื่อธุรกิจวางเป้าหมายสินเชื่ออนุมัติใหม่ที่ประมาณ 33,500 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ยอดสินเชื่อของสายสินเชื่อธุรกิจขยายตัวราว 5% คิดว่าการให้บริการลูกค้าด้วยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และมุ่งเน้นความสำเร็จของลูกค้าเป็นสำคัญ จะส่งผลให้การทำงานบรรลุเป้าหมายตามที่ได้วางไว้” สำมิตร กล่าว

สำมิตร อธิบายเพิ่มว่า ตามการประเมินของฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ธนาคารเกียรตินาคิน การขยายตัวของธุรกิจธนาคารพาณิชย์ในปี 2561 น่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ตามทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ที่มีปัจจัยสนับสนุนหลักจากภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวที่สามารถขยายตัวได้ต่อเนื่องตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงการลงทุนภาครัฐที่คาดว่าจะขยายตัว 9.0% ต่อปีจากมาตรการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ซึ่งจะช่วยผลักดันการฟื้นตัวของภาคการลงทุนและการบริโภคภายในประเทศ

สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย คาดว่าจะทรงตัวในระดับ 1.5% ต่อไปจนถึงสิ้นปี 2561 และดอกเบี้ยฝั่งธนาคารพาณิชย์ก็น่าจะยังไม่ปรับขึ้นมาก ทั้งดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ สำหรับเงินฝากแม้ว่าดอกเบี้ยในตลาดการเงินโลกอาจปรับขึ้น แต่ทิศทางค่าเงินบาทที่แข็งค่าลดแรงจูงใจของนักลงทุนไทยในการไปลงทุนในต่างประเทศ ทำให้ไม่กระทบกับสภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์ ดอกเบี้ยเงินฝากจึงน่าจะอยู่ใกล้เคียงระดับเดิม ส่วนดอกเบี้ยเงินกู้ (MLR) ก็ไม่น่าจะปรับขึ้นจากระดับปัจจุบันเช่นกัน

เนื่องจากสินเชื่อของทั้งระบบธนาคารพาณิชย์ในปีนี้ยังขยายตัวได้ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว ส่วนภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มที่จะทยอยดีขึ้นต่อเนื่องจากปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ ได้แก่ 1. การเริ่มกลับมาให้ความสำคัญในสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารพาณิชย์ 2. มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 3. ภาวะเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัว ทำให้รายได้ของประชาชนเริ่มปรับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางถึงบน 4. แนวโน้มดอกเบี้ยในตลาดการเงินยังอยู่ในระดับต่ำ  และ 5. การกลับมาเร่งประมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ส่งผลบวกต่อการกระตุ้นตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่รอบข้างของโครงการ

ธนาคารเกียรตินาคิน ปรับทัพ รุกสินเชื่อธุรกิจ ชูกลยุทธ์ Financial Solution Expert เสริมแกร่งทางการเงินให้ลูกค้า

ธนาคารเกียรตินาคินเปิดตัว “สินเชื่อ KK SME รถคูณสาม” คาดการตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อปี 2559 กว่า 4,000 ล้านบาท สินเชื่อสำหรับเอสเอ็มอีรายเล็ก ใช้รถยนต์เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันครั้งแรกในไทย ให้วงเงินสูงสุด 3 เท่า

"เราได้ทดลองตลาดผลิตภัณฑ์ KK SME รถคูณสามอย่างไม่เป็นทางการเมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับอย่างดี เชื่อว่าผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ลูกค้าเอสเอ็มอีได้ตรงจุด โดยธนาคารตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อในปี 2559 ไว้ที่ 4,000 ล้านบาท" อภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) บริษัทในกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร

การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ "สินเชื่อ KK SME รถคูณสาม" โดยใช้รถยนต์เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันสินเชื่อเอสเอ็มอีให้วงเงินสูงสุด 3 เท่าของมูลค่ารถ และสามารถยื่นขอสินเชื่อได้สูงสุด 3 คันต่อลูกค้าหนึ่งราย วงเงินสูงสุด 5 ล้านบาทต่อราย ตอบโจทย์เอสเอ็มอีส่วนใหญ่ที่มีรถไว้ใช้ในกิจการ พร้อมตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อปี 2559 ประมาณ 4,000 ล้านบาท

ด้าน ปพนธ์ มังคละธนะกุล ผู้ก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจ บริษัท ล้มยักษ์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาของธนาคารเกียรตินาคินในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อเอสเอ็มอี เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดเอสเอ็มอี

ทั้งนี้ภาพรวมตลาดเอสเอ็มอีของประเทศไทย จากข้อมูล กระทรวงพาณิชย์ มีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจดทะเบียนมากกว่า 2.7 ล้านราย ขณะที่ตลาดสินเชื่อเอสเอ็มอีทั้งระบบเมื่อสิ้นปี 2557 มีมูลค่ากว่า 2.3 ล้านล้านบาท โดยผู้ประกอบการขนาดเล็กที่มีรายได้ของกิจการระหว่าง 5-30 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 70% ของจำนวนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยทั้งหมด แต่ในภาวะที่เศรษฐกิจฟื้นตัวช้าอาจจะขาดสภาพคล่องหมุนเวียนบ้าง จึงเป็นช่องว่างที่ธนาคารจะเข้าไปมีส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มนี้ โดยข้อมูลย้อนหลัง 3 ปี ตั้งแต่ปี 2555-2557 ตลาดสินเชื่อเอสเอ็มอีขนาดเล็กเติบโตกว่า 12% เทียบกับเอสเอ็มอีขนาดใหญ่ที่เติบโต 1.5% และเอสเอ็มอีขนาดกลางที่เติบโต 5.5%

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events