<h2>หลังจากเกิดข่าวด้านลบกรณีนักแสดงชาวจีนหายตัวที่ชายแดนไทย-เมียนมา ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าอาจส่งผลให้กลุ่มจีนเที่ยวไทยลดลงถึง 17.5% ในช่วงตรุษจีนปี 68 นี้ และภาพรวมทั้งปียังมีความท้าทายจาก 4 ประเด็น ‘ความปลอดภัย-กำลังซื้อจีนไม่ฟื้นตัว-การแข่งขันสูง-พฤติกรรมนักท่องเที่ยวเปลี่ยน’ แต่ยังคาดว่าปี 2568 นี้จะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยรวม 7.5 ล้านคน เดิบโต 11.4% จากปี 2567 โดยมีสัดส่วน 68% ของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยในปี 2562</h2> ย้อนรอย ‘จีนเที่ยวไทยลดลง’ หลังเกิดเหตุการณ์ด้านลบ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ต้นปีนี้กระแสข่าวในโซเชียลมีเดียของจีน คงหนีไม่พ้นกรณีนักแสดงจีนหายตัวที่ชายแดนไทย-เมียนมา หลังจากเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย แม้ว่าหลังจากนั้นทางการไทยจะประสานงานและพาตัวนักแสดงจีนกลับสู่ประเทศจีนได้ แต่ในสังคมจีนยังมีกระแสความกังวลถึงการเดินทางมาท่องเที่ยวในไทย แต่เรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อไทยแค่ไหน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้คาดการณ์ไว้ว่า จากกรณีนักแสดงจีนฯ ที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบในระยะสั้น เบื้องต้นคาดว่านักท่องเที่ยวจีนมาไทยในช่วงตรุษจีนปี 2568 (28 ม.ค.-4 ก.พ. 2568) ที่จะลดลงเหลือ 175,000 คน ลดลง 17.5% เมื่อเทียบกับตรุษจีนปี 2567 (10-17 ก.พ. 67) ที่อยู่ราว 212,000 คน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังเปิดเผยสถิติในอดีต ทั้งกรณีเรือล่มนักท่องเที่ยวจีนที่ภูเก็ต เมื่อ 5 ก.ค. 2561 พบว่าส่งผลกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ปรับตัวลดลงเฉลี่ย 12% ต่อเดือน ในช่วงระยะเวลา 5 เดือนหลังจากนั้น ส่วนกรณีข่าวเหตุยิงที่ห้างสรรพสินค้าใจกลางกรุงย่านสยามเมื่อ 3 ต.ค. 2566 พบว่าส่งผลกระทบประมาณ 1 เดือน โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงเฉลี่ย 13% ต่อสัปดาห์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้ว่าข้อมูลในอดีตจะสะท้อนถึงผลกระทบในระยะสั้น แต่ตลาดนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยในระยะข้างหน้ายังมีความไม่แน่นอนสูงเช่นกัน<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/chy9cDuD7Bb3MMmRJqz7.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="chy9cDuD7Bb3MMmRJqz7.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,338" style="" data-index="0"><figcaption><div>ที่มา&nbsp;ศูนย์วิจัยกสิกรไทย</div></figcaption></figure></div> นักท่องเที่ยวจีนเปลี่ยนไป กับ 4 โจทย์ท้าทายที่ไทยต้องเผชิญ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ประเทศไทยถือเป็น 1 ใน 5 จุดหมายปลายทางที่คนจีนเดินทางท่องเที่ยวมากที่สุด ซึ่งถ้าย้อนไปดูช่วงก่อน COVID-19 อย่างปี 2562 ไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนกว่า 11.1 ล้านคน และสร้างรายได้ให้การท่องเที่ยวมากมาย แต่ปัจจุบันสถานการณ์ทั้งในไทย และจีนที่เปลี่ยนแปลงไปก็ทำให้การฟื้นตัวและการเติบโตของกลุ่มจีนเที่ยวไทย ไม่เหมือนเดิม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ฝั่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่ามี 4 ความท้าทายที่อาจทำให้การเติบโตของนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยในปี 2568 อาจยากกว่าในอดีต ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. ภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัย ผลสำรวจพฤติกรรมการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีนโดย Oliver Wyman มองว่าประเทศไทยซึ่งเป็นที่นิยมมายาวนาน กลับได้รับความนิยมลดลง เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนมีความกังวลด้านความปลอดภัยที่เพิ่มสูงขึ้น สะท้อนได้จากกรณีที่เกิดขึ้นกับดาราจีนในช่วงที่ผ่านมา ทำให้คนจีนมีการยกเลิกการเดินทางมาเที่ยวในไทย หรือมองหาจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวใหม่ ดังนั้นไทยควรเร่งฟื้นความเชื่อมั่นในกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบระยะยาว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. เศรษฐกิจจีนมีความเสี่ยงจากสงครามการค้า ทำให้กำลังซื้อชาวจีนบางกลุ่มยังไม่ฟื้นตัว ขณะเดียวกันค่าเงินหยวนที่ผันผวนในทิศทางอ่อนค่า ทำให้ในปี 2568 ทิศทางการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศของคนจีนอาจยังไม่กลับสู่ระดับก่อน COVID-19 ปี 2562 (จำนวน 155 ล้านทริป) และคนจีนจะมีการเปรียบเทียบจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวที่สอดคล้องกับงบประมาณ ซึ่งก็อาจมีผลต่อการเดินทางมาท่องเที่ยวที่ไทย โดยในช่วงที่ผ่านมา ประเทศที่มีค่าเงินที่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินหยวนมีอัตราการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนดีกว่าไทยที่มีค่าเงินแข็งค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินหยวน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3. การแข่งขันด้านการท่องเที่ยวที่สูง ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา หลายประเทศใช้นโยบายวีซ่าฟรีเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจีน โดยข้อมูลจาก VisaIndex พบว่า มี 44 ประเทศที่คนจีนสามารถเดินทางไปเที่ยวโดยไม่ต้องขอวีซ่า และ 36 ประเทศที่สามารถขอวีซ่าได้ที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ทำให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางสะดวกและมีทางเลือกในการเดินทางมากขึ้น จากนโยบายเหล่านี้ทำให้การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนในหลายประเทศดีกว่าไทย จนในปี 2567 ประเทศญี่ปุ่นมีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนสูงกว่าไทยแล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4. พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวจีนเปลี่ยนไป เช่น ท่องเที่ยวด้วยตนเอง, กรุ๊ปทัวร์ขนาดเล็ก มองหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ อย่างตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ ผลจากนโยบายฟรีวีซ่าของไทยอาจทำให้ชาวจีนวางแผนก่อนเดินทางเพียง 1 เดือน ฯลฯ ซึ่งเมื่อมีความต้องการที่หลากหลายอาจทำให้การเจาะตลาดนักท่องเที่ยวจีนอาจยากขึ้น&nbsp;<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/RmYJ5v1byhYhsQdrcCdv.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="RmYJ5v1byhYhsQdrcCdv.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,445" style="" data-index="1"></figure></div>​ คาดจีนเที่ยวไทยปี 68 แตะ 7.5 ล้านคน ยังโต 11.4% แต่ยังไม่ฟื้นตัวเท่าปี 62&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้จะมีความท้าทายเพิ่มขึ้น แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังคาดว่าปี 2568 นี้ นักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยจะมีจำนวน 7.5 ล้านคน เติบโต 11.4% จากปี 2567 หรือกลับมา 68% ของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยในปี 2562 (11.1 ล้านคน) โดยการเติบโตนี้ยังได้รับแรงหนุนจากมาตรการวีซ่าฟรี และค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวไทยไม่สูงเมื่อเทียบกับหลายประเทศ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ข้อมูลเบื้องต้นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในช่วงวันที่ 1-19 ม.ค. 2568 ชาวจีนเดินทางมาท่องเที่ยวมีจำนวนกว่า 3.5 แสนคน เติบโตประมาณ 14.2% (YoY)<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/YUgDeeHJx1aRTTkM6Kxz.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="YUgDeeHJx1aRTTkM6Kxz.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,397" style="" data-index="2"></figure></div>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุดท้ายนี้ นักท่องเที่ยวจีนยังคงเป็นส่วนสร้างรายได้สำคัญต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งทางการยังต้องให้ความสำคัญทั้งด้านความปลอดภัย และการปรับปรุงภาพรวมการท่องเที่ยวไทยให้ดึงดูด กลุ่มนักท่องเที่ยวที่หลากหลายมากขึ้นอีกด้วย ภาพ : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย,&nbsp;<a href="https://unsplash.com/@tricell1991?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash" style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">Waranont (Joe)</a> on <a href="https://unsplash.com/photos/people-walking-on-busy-street-s3E4flC32RE?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash" style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">Unsplash</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/btg-invest-eggriculture-singapore-jan-2025" alt="‘เบทาโกร’ รุกตลาดอาหารสิงคโปร์ เข้าซื้อกิจการ Eggriculture ผู้ผลิตไข่ไก่รายใหญ่ มูลค่า 1,900 ล้านบาท ปักธงเป็น Regional Player"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/travel/bangkok-ranks-4th-among-top-5-destinations-for-chinese-national-day" alt="กรุงเทพฯ ครองใจนักท่องเที่ยวจีน 2 ปีซ้อน! ติดอันดับ 4 ใน 5 จุดหมายปลายทางยอดฮิตช่วงวันชาติจีน">กรุงเทพฯ ครองใจนักท่องเที่ยวจีน 2 ปีซ้อน! ติดอันดับ 4 ใน 5 จุดหมายปลายทางยอดฮิตช่วงวันชาติจีน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

วิจัยกสิกรฯ ชี้ปี 68 จีนเที่ยวไทยช่วงตรุษจีนอาจลดลง 17.5% ผลนักแสดงจีนหายตัว แต่ทั้งปียังเติบโต 11.4%

<h2>อโกด้า แพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการท่องเที่ยว เผยการค้นหาที่พักในต่างประเทศของนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้น 137% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ในช่วงเทศกาลวันชาติจีนที่กำลังจะมาถึง ซึ่งเป็นวันหยุดยาวตั้งแต่วันที่ 1-7 ตุลาคม</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากข้อมูลการค้นหาที่พักของอโกด้า พบว่าจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวจีนชื่นชอบในช่วงวันชาติจีนหรือโกลเด้นวีค ซึ่งเป็นวันหยุดยาวประจำปีมีการเปลี่ยนแปลง โดยจุดหมายปลายทางยอดนิยม 5 อันดับแรกในปีที่แล้วของนักท่องเที่ยวจีนคือ โตเกียว โซล โอซาก้า เกียวโต และกรุงเทพฯ ตามลำดับ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม โซลได้ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งในปีนี้ แซงหน้าแชมป์เก่าอย่างโตเกียว ตามมาด้วยบาหลีที่ไม่เคยติดอันดับมาก่อน ส่วนกรุงเทพฯ และโอซาก้ายังคงอยู่ในกลุ่มจุดหมายปลายทางที่มีการค้นหามากที่สุด ครองอันดับ 4 และ 5 ตามลำดับ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วันชาติจีนหรือโกลเด้นวีคตรงกับวันที่ 1-7 ตุลาคมของทุกปี เป็นช่วงเวลาที่ครอบครัวชาวจีนจะออกเดินทางท่องเที่ยวเนื่องจากมีวันหยุดยาวติดต่อกัน 1 สัปดาห์ โกลเด้นวีคจะมีขึ้นปีละ 2 ครั้ง ซึ่งจะตรงกับช่วงเทศกาลตรุษจีนและวันชาติจีน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;5 อันดับจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจีนในช่วงโกลเด้นวีค อ้างอิงจากข้อมูลการค้นหาที่พักของอโกด้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1.โซล, ประเทศเกาหลีใต้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2.โตเกียว, ประเทศญี่ปุ่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3.บาหลี, ประเทศอินโดนีเซีย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4.กรุงเทพ, ประเทศไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;5.โอซาก้า, ประเทศญี่ปุ่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แอนดรูว์ สมิธ รองประธานอาวุโส ฝ่ายซัพพลายของอโกด้ากล่าวว่า การค้นหาที่พักในต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นในช่วงโกลเด้นวีคของนักท่องเที่ยวชาวจีน แสดงให้เห็นความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นของชาวจีนในการออกไปค้นพบโลกกว้างและสัมผัสวัฒนธรรมอื่น ๆ เป็นเรื่องดีที่เห็นจุดหมายปลายทางใกล้ชายฝั่งตะวันออกของจีน อย่างโซลและโอซาก้าติดอันดับจุดหมายปลายทางยอดนิยมในช่วงวันชาติจีน รวมถึงสถานที่ยอดนิยมสำหรับการพักผ่อนอย่างกรุงเทพฯ และบาหลีที่อยู่ทางใต้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เทรนด์การท่องเที่ยวนี้สะท้อนให้เห็นความสำคัญของการมีข้อเสนอที่ดสำหรับตัวเลือกการเดินทางที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของนักเดินทางบนแพลตฟอร์มอโกด้าได้อย่างดีที่สุด Photo by <a href="https://unsplash.com/@axpphotography?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash">AXP Photography</a> on <a href="https://unsplash.com/photos/a-large-building-with-pointy-towers-with-wat-arun-in-the-background-6JdMEc1aVv4?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash">Unsplash</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/travel/thai-people-visit-japan-repeatedly-the-most" alt="ญี่ปุ่นทั้งใจ! อโกด้าเผยญี่ปุ่นคือจุดหมายปลายทางที่ ‘ชาวไทย‘ กลับไปเที่ยวซ้ำมากสุด">ญี่ปุ่นทั้งใจ! อโกด้าเผยญี่ปุ่นคือจุดหมายปลายทางที่ ‘ชาวไทย‘ กลับไปเที่ยวซ้ำมากสุด</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

กรุงเทพฯ ครองใจนักท่องเที่ยวจีน 2 ปีซ้อน! ติดอันดับ 4 ใน 5 จุดหมายปลายทางยอดฮิตช่วงวันชาติจีน

<h2>การท่องเที่ยวของประเทศไทยจะถูกกระตุ้นโดย “นักท่องเที่ยวซ้ำ” โดยมากกว่าหนึ่งในสี่ (28%) ของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนประเทศไทยในช่วงปี 2566 บอกว่าพวกเขาตั้งใจจะกลับมาเที่ยวเมืองไทยอีกครั้งภายใน 12 เดือนข้างหน้า อ้างอิงจากผลสำรวจเกี่ยวกับแผนการท่องเที่ยวระดับโลก ฉบับล่าสุดประจำปี 2566 ของวีซ่า (Visa Global Travel Intentions Study 2023) ซึ่งเป็นผลสำรวจที่ทำการศึกษาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมและแผนการเดินทางของผู้บริโภคที่ใหญ่และจัดทำมายาวนานที่สุดโดยวีซ่า</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลสำรวจยังพบอีกว่า นักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มจะกลับมาเยือนประเทศไทยอีกครั้งในช่วง 12 เดือนต่อจากนี้ คือนักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย (42%) สิงคโปร์ (41%) ฟิลิปปินส์ (28%) สาธารณรัฐประชาชนจีน (25%) และเวียดนาม (22%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แรงจูงใจอันดับต้นๆ สำหรับการท่องเที่ยวในปีหน้า คือ การผ่อนคลาย ช้อปปิ้ง เปิดประสบการณ์ การผจญภัย และการพบปะครอบครัวและเพื่อนฝูง โดยจุดหมายปลายทางยอดนิยมสามอันดับแรกที่นักท่องเที่ยวในภูมิภาคตั้งใจจะไปเยือนมากที่สุด คือ กรุงเทพฯ ภูเก็ต และพัทยา ขณะที่หัวหิน เชียงใหม่ และกระบี่ เป็นเมืองยอดนิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีน มาเลเซีย และสิงคโปร์ ตามลำดับ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยมีบทบาทสำคัญอย่างมากที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เราหวังว่าข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้จะช่วยให้พันธมิตรของเราสามารถยกระดับประสบการณ์การเดินทางให้แก่นักท่องเที่ยว พร้อมๆ ไปกับการส่งเสริมให้ธุรกิจเติบโตต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ความพยายามร่วมกันของเรามีจุดหมายเดียวกันเพื่อต่อยอดอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและขับเคลื่อนให้ภาพรวมของระบบนิเวศการชำระเงินดียิ่งๆ ขึ้นไปอีกด้วย”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ จากผลการสำรวจในการศึกษาพฤติกรรมการเดินทางของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา พบว่าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มมิลเลนเนียล (51%) ตามด้วยกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังใช้จ่ายสูง (27%) ครอบครัวที่เดินทางกับเด็กเล็ก (18%) คนโสดวัยหนุ่มสาว (16%) เจน Z (15%) ครอบครัวที่เดินทางกับเด็กโต (14%) และกลุ่มวัยเกษียณ (11%) ตามลำดับ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หากมองลึกลงไปเกี่ยวกับระยะเวลาการท่องเที่ยวจะพบว่า นักท่องเที่ยวกลุ่มวัยเกษียณพำนักอยู่ในประเทศไทยนานที่สุดโดยเฉลี่ยมากถึง 12 คืน เมื่อเทียบกับจำนวนคืนโดยเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวในภาพรวมจะอยู่ที่ 8 คืน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และเมื่อแยกตามเชื้อชาติ พบว่านักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์จะใช้เวลาพำนักนานที่สุดที่ 7 คืน ตามมาด้วยนักท่องเที่ยวชาวจีน และชาวเวียดนาม ซึ่งใช้เวลาพำนักในประเทศไทยที่ 5 คืน และนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียและชาวฟิลิปปินส์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 4 คืน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยระหว่างท่องเที่ยวในประเทศไทยนั้น เกือบครึ่งของนักท่องเที่ยว (48%) ใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมต่างๆ ผ่านบัตรแทนเงินสด โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังใช้จ่ายสูง และครอบครัวที่เดินทางกับเด็ก เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักที่ใช้บัตรแทนเงินสดในการชำระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ช้อปปิ้ง (39%) รับประทานอาหาร (33%) และกิจกรรมต่างๆ (33%) โดยนักท่องเที่ยวเลือกใช้จ่ายผ่านบัตรแทนเงินสดมากที่สุดในช่วงวางแผนก่อนการเดินทางเพื่อชำระค่าใช้จ่ายในรายการหลักๆ อาทิ ค่าที่พัก (81%) และค่าเดินทาง (69%) เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในส่วนของการเลือกที่พักนั้น มากกว่าแปดในสิบ (83%) เลือกพักในโรงแรม โดยสิ่งสำคัญห้าอันดับแรกที่มีผลต่อการเลือกที่พัก คือ ความปลอดภัย (76%) ความสะอาด (63%) ตำแหน่งที่ตั้ง (54%) ความคุ้มค่า (52%) และสิ่งอำนวยความสะดวกในห้องพัก (41%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อพิจารณาตามเชื้อชาติของนักท่องเที่ยว ผลวิจัยชี้ให้เห็นว่า นักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นกลุ่มที่มีการใช้จ่ายสูงที่สุด (95,000 บาท) ตามมาด้วยสิงคโปร์ (58,000 บาท) ฟิลิปปินส์ (48,000 บาท) เวียดนาม (38,000 บาท) และมาเลเซีย (34,000 บาท)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ยอดใช้จ่ายทั้งหมดจะแตกต่างกันไปตามระยะเวลาของการเดินทาง โดยผู้ที่ใช้เวลาเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยตั้งแต่แปดวันขึ้นไปมีโอกาสจะใช้จ่ายมากกว่า 135,000 บาท ขณะที่นักท่องเที่ยวที่พักอยู่ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ (4-7 วัน) ใช้จ่ายอยู่ที่ราวๆ 65,000 บาท และนักท่องเที่ยวระยะสั้น (ไม่เกินสามคืน) ใช้จ่ายที่ราวๆ 40,000 บาทในระหว่างการท่องเที่ยว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เป็นเวลากว่าทศวรรษที่การศึกษาได้ช่วยให้วีซ่าและพันธมิตรของเรามีข้อมูลเชิงลึกที่ให้แง่มุมที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับภูมิทัศน์ด้านการท่องเที่ยวและพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้ทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการสามารถจ่ายและรับชำระเงินได้อย่างไร้รอยต่อและมีประสิทธิภาพสูงสุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“วีซ่า ในฐานะหนึ่งในสมาชิกที่สำคัญของชุมชนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เรายินดีที่ได้แบ่งปันข้อมูลอันเป็นประโยชน์เพื่อช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและเสริมสร้างประสบการณ์อันน่าจดจำให้แก่ผู้บริโภคเมื่อพวกเขาออกเดินทางและใช้จ่ายผ่านวีซ่า” ปุณณมาศ กล่าวเสริม เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/travel/tourism-recovered-paris-top-city-destination" alt="ท่องเที่ยวนานาชาติฟื้นตัว! Paris คว้าอันดับ 1 จุดหมายยอดนิยม">ท่องเที่ยวนานาชาติฟื้นตัว! Paris คว้าอันดับ 1 จุดหมายยอดนิยม</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ผลวิจัยวีซ่าเผย "มาเลเซีย" คือต่างชาติที่มีแนวโน้มเที่ยวไทยซ้ำมากสุดปีหน้า

<h2>เอ็กซ์พีเดีย OTA รายใหญ่จากสหรัฐฯ จัดทำวิจัยพฤติกรรมคนยุโรปที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยโดยแบ่งตามช่วงวัย พบปัจจัยการตัดสินใจเลือกโรงแรมแตกต่าง แนะโรงแรมไทยปรับการโฆษณาประชาสัมพันธ์ดึงลูกค้า</h2>
พิมพ์ปวีณ์ นพกิจกำจร ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารการตลาด เอ็กซ์พีเดีย ลอดจ์จิ้ง พาร์ทเนอร์ เซอร์วิส บริษัท เอ็กซ์พีเดีย (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า Expedia Group ซึ่งเป็นเอเจนซี่ท่องเที่ยวออนไลน์ (OTA) จากสหรัฐอเมริกาได้จัดทำวิจัยเก็บสถิติช่วงเดือนก.ค.59 – มิ.ย.60 เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวยุโรป 3 ประเทศหลักที่เข้ามาเที่ยวประเทศไทยคือ สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส และเยอรมนี พบว่ามีปริมาณมากขึ้น 20% 15% และ 15% ตามลำดับเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

<figure><img style="width: 350px; height: 525px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/282db9a5fca8f2bddb1a617f3828624e.png" alt="" width="350" height="525" /><figcaption> พิมพ์ปวีณ์ นพกิจกำจร</figcaption></figure>

ในงานวิจัยนี้ Expedia Group ยังแบ่งกลุ่มนักเดินทางออกเป็น 4 ช่วงวัย คือ เจนเนอเรชัน ซี (Gen Z), เจนเนอเรชัน วาย/มิลเลนเนียล (Gen Y), เจนเนอเรชัน เอ็กซ์ (Gen X) และเบบี้ บูมเมอร์ (Baby Boomer) และพบว่าแต่ละกลุ่มมีพฤติกรรมการท่องเที่ยวและเลือกที่พักที่แตกต่างกัน ดังนี้

เจนเนอเรชัน ซี (Gen Z) อายุ 18-23 ปี เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่จึงให้ความสำคัญกับงบประมาณมากที่สุดเมื่อเลือกที่พัก และไม่ค่อยมีการวางแผนแน่นอนในการเดินทาง
<ul>
 	<li>80% ของเจนฯ ซีไม่วางแผนล่วงหน้าเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวปลายทางหรืออาจมีตัวเลือกในใจ 2 แห่งและจะตัดสินใจเมื่อเดินทางไปถึง</li>
 	<li>72% ของกลุ่มนี้ชื่นชอบความเสี่ยง</li>
 	<li>60% ชอบการนอนรับลมทะเลผ่อนคลายตลอดวัน</li>
</ul>
ด้วยเหตุนี้ รีสอร์ทที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของชาวยุโรปอย่างเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล, เกาะช้าง จ.ตราด และจ.ระยอง จึงมียอดจองผ่าน Expedia สูงขึ้น 50%

นอกจากนี้เจนฯ ซี ยังใช้สมาร์ทโฟนในการค้นหาข้อมูลการท่องเที่ยวถึง 63% ดังนั้นโรงแรมที่ต้องการเจาะกลุ่มเจนฯ ซีจึงต้องสร้างเว็บไซต์ข้อมูลโรงแรมที่เป็น mobile-friendly website อ่านง่ายบนแพลตฟอร์มมือถือและมีสิ่งใหม่ๆ นำเสนอสม่ำเสมอ

<img style="width: 680px; height: 486px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/2d5e4b9f93767a2d4eecedb233a733c1.png" alt="" />

เจนเนอเรชัน วาย/มิลเลนเนียล (Gen Y) อายุ 24-35 ปี ชอบการท่องเที่ยวที่ได้เรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่น มีประสบการณ์กับคนท้องถิ่นในสถานที่ที่ไป
<ul>
 	<li>เจนฯ วายท่องเที่ยวเฉลี่ย 4.3 ครั้งต่อปี มากที่สุดในทุกกลุ่มช่วงวัย แต่มักใช้เวลาต่อครั้งน้อยที่สุด</li>
 	<li>เฉพาะการเดินทางมาที่ไทย เจนฯ วายใช้เวลาเฉลี่ย 8.5 วัน</li>
 	<li>90% ตอบสนองต่อโปรโมชัน และมีความพยายามสูงในการค้นหาราคาที่ถูกที่สุด</li>
 	<li>70% ต้องการไปในสถานที่ที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก</li>
</ul>
การดึงดูดคนเจนฯ วายให้เข้าพักจึงต้องระบุสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจรอบโรงแรม โดยเฉพาะสถานที่ท้องถิ่นพร้อมกิจกรรมที่ควรทำ และการให้โปรโมชันจะช่วยเร่งการตัดสินใจจองที่พัก

เจนเนอเรชัน เอ็กซ์ (Gen X) อายุ 36-55 ปี มักจะเป็นวัยครอบครัวที่เดินทางร่วมกับเด็กเล็กจนถึงวัยรุ่น ซึ่งทำให้กลุ่มนี้มักจะเลือกที่พักที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย เข้าถึงสะดวก เหมาะกับครอบครัว มีมาตรฐานที่ดีทุกด้าน
<ul>
 	<li>85% ของเจนฯ เอ็กซ์อ่านรีวิวโรงแรมก่อนตัดสินใจจอง</li>
 	<li>เจนฯ เอ็กซ์จำนวนมากไม่ได้มาเมืองไทยเป็นครั้งแรก</li>
</ul>
<img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/f7d5337a848d1e241d7950a24d3bf290.png" alt="" />

เบบี้ บูมเมอร์ (Baby Boomer) อายุ 55 ปีขึ้นไป มักจะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่โรงแรมต้องการมากที่สุด เพราะมีระยะเวลาเข้าพักต่อครั้งนานที่สุด และมีกำลังซื้อพร้อมสำหรับใช้จ่ายบริการต่างๆ เพิ่มเติม
<ul>
 	<li>บูมเมอร์มีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 10.5 วันต่อครั้ง</li>
 	<li>มีเพียง 54% ที่วางแผนการใช้จ่ายก่อนเดินทาง</li>
 	<li>54% ใช้เว็บไซต์จองที่พัก (OTA) โดยใช้ผ่านคอมพิวเตอร์ อีกกว่าครึ่งยังคงใช้เอเจนซีท่องเที่ยวแบบดั้งเดิม</li>
</ul>
สำหรับเจนฯ เอ็กซ์และเบบี้ บูมเมอร์ พิมพ์ปวีณ์กล่าวว่า เป็นกลุ่มที่ตอบสนองต่อการปฏิสัมพันธ์กับโรงแรมมาก โดยเอ็กซ์พีเดียมีการสร้างระบบอีพีซี (EPC Conversations) เมื่อลูกค้าทำการจองที่พักแล้วโรงแรมจะสามารถติดต่อกับลูกค้าได้โดยตรงผ่านอีเมล ซึ่งจะช่วยให้โรงแรมติดต่อพูดคุยกับลูกค้าได้ตั้งแต่ก่อนเข้าพักเพื่อสอบถามความต้องการพิเศษที่อาจมี เช่น อาหารที่แพ้ หรือเสนอบริการเพิ่มเติมล่วงหน้าก่อนลูกค้าเดินทาง เช่น รถรับ-ส่งสนามบิน แพคเกจสปา เป็นต้น ซึ่งกลุ่มวัยผู้ใหญ่ 35 ปีขึ้นไปเหล่านี้มีโอกาสตอบสนองต่อการขายเพิ่มเติมมากที่สุด

&nbsp;

Forbes Facts
<ul>
 	<li>ปัจจุบัน Expedia Group มีแบรนด์ในเครือมากกว่า 12 แบรนด์ อาทิ Expedia, Hotels.com, CarRentals, AirAsiaGo เป็นต้น มีสำนักงานสาขาใน 75 ประเทศ ทั้งเครือสร้างรายได้รวมกัน 7.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ นับเป็นเครือ OTA ที่ใหญ่ที่สุดในโลก</li>
 	<li>พิมพ์ปวีณ์กล่าวว่า ผู้เล่นรายใหญ่ของตลาด OTA ไทยนอกจาก Expedia Group แล้ว ยังมี Priceline Group (ผู้ให้บริการเว็บไซต์ Agoda และ Booking) รวมถึง Traveloka และ Ctrip</li>
 	<li>สำหรับนักท่องเที่ยว 5 ประเทศที่เดินทางมาไทยมากที่สุดโดยจองผ่าน Expedia ได้แก่ สหรัฐฯ, ญี่ปุ่น, ฮ่องกง, สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย (ข้อมูลรอบ 1 ปี ณ ไตรมาส 3/60)</li>
</ul>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events