<h2>ช่วงนี้หลายคนอาจเห็นเพื่อนต่างเดินทางสู่ต่างประเทศกันมากขึ้น แต่หากดูในทางสถิติแล้ว คนไทยยังออกไปเที่ยวต่างประเทศต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ซึ่งอาจส่งผลต่อหลายธุรกิจในไทยทั้งบริษัทด้านการท่องเที่ยว ไปจนถึงข้อสงสัยว่าธุรกิจบัตรเครดิตที่คนไทยมักนำไปใช้รูดจ่ายในต่างประเทศจะได้รับผลกระทบไปด้วยหรือไม่</h2> ‘ไทยเที่ยวนอก’ ฟื้นไม่เท่าก่อนโควิด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เริ่มกันที่ “โชติช่วง ศูรางกูร” รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท หนุ่มสาวทัวร์ จำกัด และอุปนายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (TTAA) เปิดเผยกับ ForbesThailand ว่า ปัจจุบันราคาตั๋วเครื่องบินสำหรับเดินทางไปต่างประเทศราคาถูกลง เมื่อเทียบกับช่วงหลังโควิดที่จะเห็นว่าราคาตั๋วเครื่องบินค่อนข้างสูง ปัจจัยนี้เองเป็นสัญญาณที่ดีว่าคนเริ่มกับมาเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่หากติดตามในเชิงสถิติพบว่า จำนวนไทยเที่ยวนอกยังไม่ฟื้นกลับมาเทียบเท่ากับช่วงก่อนโควิด-19 จากข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ปี 2567 จำนวนคนไทยที่เดินทางไปต่างประเทศอยู่ที่ราว 7.5 ล้านคน ซึ่งยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ที่มีจำนวน 10.8 ล้านคน (ประมาณการจาก Immigration)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เดิมคนไทยเที่ยวต่างประเทศเยอะ แต่อาจเชิงปริมาณ โดยอาจเดินทางในประเทศใกล้ๆ โดยเฉพาะเมียนมาเดิมอยู่ที่หลักหมื่นต่อสัปดาห์ แต่ตอนนี้จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นลดลงมาก แต่แน่นอนว่าตอนนี้ประเทศปลายทางที่คนไทยนิยมไปเที่ยว ยังคงเป็นญี่ปุ่น ที่คนไทยเดินทางไปหลักล้านคน และปีที่ผ่านมา จีนมาแรงมากคาดว่าจำนวนคนไทยบินไปทะลุ 6 แสนคน เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากช่วงก่อนโควิด-19”&nbsp;โชติช่วง กล่าว <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"> <figure style="margin: auto;"> <img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/jE3hSCubMTwzC7eEPeaj.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="jE3hSCubMTwzC7eEPeaj.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" data-index="0" style=""> </figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่การเดินทางไปเกาหลีใต้ จำนวนคนไทยเดินทางลดลงมาก จากกรณีการตรวจคนเข้าเมือง และกระแส Soft power ที่เริ่มลดลง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวชาวไทยในต่างประเทศก็เปลี่ยนไปเช่นกัน หลังโควิดมักเป็นลุกค้ากลุ่มบน หรือ Premium traveler มากขึ้น ซึ่งสะท้อนที่การฟื้นตัวของไทยที่เป็น K-shape (การฟื้นตัวไม่เท่ากัน) แต่ช่วงนี้กลุ่มกลางล่างเริ่มกลับมา จากราคาตั๋วเครื่องบินที่ถูกลง แต่เห็นว่าคนวางแผนเที่ยวในหลักเดือนจากเดิมที่วางแผนเป็นปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อมูลเหล่านี้ยังสะท้อนว่า แม้เศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวไม่เท่ากัน ยังทำให้คนไทยหลายกลุ่มมีกำลังซื้อลดลง แล้วธุรกิจบัตรเครดิตที่ขึ้นอยู่กับกำลังซื้อคนไทย ปรับแผนอย่างไร <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"> <figure style="margin: auto;"> <img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/vYXEEtbUpboeYgqr622x.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="vYXEEtbUpboeYgqr622x.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,390" data-index="1" style=""> <figcaption> <div>​&nbsp;อธิศ รุจิรวัฒน์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรี คอนซูมเมอร์​</div> </figcaption> </figure></div>​ ยอดใช้จ่ายนอกฯ ไม่ลดเพราะคนไทยเน้นช้อปออนไลน์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อย้อนดูธุรกิจบัตรเครดิตในไทยเจอความท้าทายมาต่อเนื่องทั้งปัจจัยหลักอย่างหนี้ครัวเรือนสูง หนี้เสียที่พุ่งขึ้น ทำให้ไม่กล้าปล่อยวงเงินอย่างเต็มที่ ไหนจะเจอการปรับกฎเกณฑ์จากทางการอย่างต่อเนื่อง เช่น การลดเพดานอัตราดอกเบี้ยฯ, ปรับการชำระขั้นต่ำ ฯลฯ และมีการแข่งขันสูงขึ้นจากบัตร Travel card (บัตรเติมเงินที่สามารถแลกสกุลเงินต่างประเทศไว้รูดใช้/กดเงินสดที่ต่างประเทศได้) ซึ่งอาจมาเบียดยอดใช้จ่ายในสกุลเงินต่างประเทศลงไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;‘อธิศ รุจิรวัฒน์’ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรี คอนซูมเมอร์ เปิดเผยกับ ForbesThailand ว่า ปี 2567 ที่ผ่านมา แม้จะมีทางเลือกในการจ่ายเงินเมื่อไปต่างประเทศมากขึ้น แต่ยอดการใช้จ่ายต่างประเทศ ยังเติบโต 13% มาจากทั้ง 2 แกน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1) คนไทยที่เดินทางไปเที่ยว หรือ การใช้จ่ายแบบ F2F ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศเติบโต 5% โดย 3 หมวดที่มียอดใช้จ่ายสูงสุดคือ 1. สินค้าแฟชั่น (เสื้อผ้าและเครื่องหนัง) 2. ห้างสรรพสินค้า 3.อาหารและเครื่องดื่ม&nbsp; &nbsp; แต่หากดูว่าหมวดไหนมีอัตราการเติบโตสูงสุด ได้แก่&nbsp;1. ช้อปออนไลน์ (+25%) 2.&nbsp;ตัวแทนท่องเที่ยว (+22%) 3.โซเชียลมีเดียและแอปพลิเคชัน (+20%) &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2) ยอดใช้จ่ายแบบ Online บนร้านค้าที่จดทะเบียนในต่างประเทศ เติบโต 15% โดย 3 หมวดที่มียอดใช้จ่ายสูงสุด ได้แก่ 1. โซเชียลมีเดียและแอปพลิเคชัน 2. ตัวแทนท่องเที่ยว 3. ช้อปออนไลน์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่หากดูว่าหมวดไหนมีอัตราการเติบโตสูงสุด ได้แก่ 1. สินค้าเกี่ยวกับเด็กและเกมส์ (+167%) 2. ร้านขายยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์(+17%) 3. เช่ารถ (+13%) &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แน่นอนว่าจากสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งเศรษฐกิจและกำลังซื้อ ทำให้บริษัทฯ ยังไม่รุกตลาดสินเชื่อใหม่มากนัก แต่จะเน้นขยายผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จากลูกค้าเดิมที่เรารู้จักและมีข้อมูลพฤติกรรมอยู่แล้ว แต่เชื่อว่าปี 2568 ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรในภาพรวมยังเติบโต 10% ภาพ: กรุงศรี คอนซูมเมอร์,&nbsp;<a href="https://www.freepik.com/free-photo/christmas-travel-concept-with-laptop_30117183.htm#fromView=search&amp;page=1&amp;position=0&amp;uuid=238d45de-71f6-4e10-a166-623e69b7d1ab&amp;query=travel+payment" style="font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px;">freepik</a>, <a href="https://www.freepik.com/free-vector/realistic-credit-card-design_19058338.htm#fromView=search&amp;page=1&amp;position=24&amp;uuid=f5183586-f0a4-4b25-b895-ddeee7958048&amp;query=Credit+card" alt="freepik2">freepik2</a>, <a href="https://www.freepik.com/free-ai-image/jumbo-jet-flying-sky_72621783.htm#fromView=search&amp;page=2&amp;position=36&amp;uuid=bf1dc538-f66b-4caa-8f72-b5abc9da2ce0&amp;query=air+plan" alt="freepik3">freepik3</a>, <a href="https://www.freepik.com/free-photo/side-view-woman-walking-while-holding-her-baggage_7837379.htm" alt="freepik4">freepik4</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/krungsri-consumer-aims-for-2025-card-spending-in-japan-to-grow-by-2530-million-baht" alt="‘ญี่ปุ่น' ประเทศสุดฮิตของเหล่านักเที่ยว-นักชอป กรุงศรี คอนซูมเมอร์ ตั้งเป้าปี 68 ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรโต 2,530 ล้านบาท">‘ญี่ปุ่น' ประเทศสุดฮิตของเหล่านักเที่ยว-นักชอป กรุงศรี คอนซูมเมอร์ ตั้งเป้าปี 68 ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรโต 2,530 ล้านบาท</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เมื่อคนไทยเที่ยวนอกลดลง ใช้บัตรแลกเงินมากขึ้น แต่ทำไมยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในต่างประเทศยังเติบโต

Trip.com ประเมิน ‘จีนเที่ยวไทยลดลง’ เป็นแค่สถานการณ์ระยะสั้น มองไทยมีศักยภาพ คุ้มค่าให้มาเยือน

<h2>นองปิง 360 (Ngong Ping 360) เผยข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มการเดินทางระหว่างไทยและฮ่องกงในยุคหลังโควิด พบนักท่องเที่ยวชาวไทยไปเยือนฮ่องกงเพิ่มขึ้น โดยนิยมไป ‘ทริปสายมู’ ไหว้พระและขอพรจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อความเป็นสิริมงคล</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ประเทศไทยถือเป็นตลาดสำคัญของการท่องเที่ยวฮ่องกงมาอย่างยาวนาน โดยในปี 2567 มีนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางไปฮ่องกงมากกว่า 521,000 คน คิดเป็นประมาณ 1.7% ของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกซึ่งมีจำนวนราว 44.5 ล้านคน เป็นอันดับ 2 ของนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นอันดับ 5 ของเอเชีย รองจาก ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ตามลำดับ (ไม่นับประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ที่มีจำนวนมากที่สุดอยู่แล้ว)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากข้อมูลของ Hong Kong Tourism Board พบว่า Visitor Profile จะเป็นกลุ่ม Young Adults, คู่รัก, Young Family และ Multi-generation Family เป็นหลัก โดยมักมียอดค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหนึ่งทริปอยู่ที่ราว 6,000 เหรียญฮ่องกง ซึ่งในปี 2567 ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวใช้เวลาอยู่ในฮ่องกงมากขึ้นเฉลี่ยราว 3.8 คืนต่อหนึ่งทริป สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยส่วนใหญ่นิยมมาเยือนฮ่องกงช่วงปิดเทอม คือ มีนาคม-เมษายน และช่วงใกล้คริสต์มาส คือ พฤศจิกายน-ธันวาคม​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/UxFKQtdm7EAzkTmrEPFE.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="UxFKQtdm7EAzkTmrEPFE.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"><figcaption><div>กระเช้านองปิง รุ่น Crystal+</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ในบรรดานักท่องเที่ยวชาวไทย 521,000 คนที่มาเยือนฮ่องกงในปี 2567 กว่า 125,000 คน ได้สัมผัสประสบการณ์นั่งกระเช้านองปิง 360 ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบอันดับกระเช้าลอยฟ้าที่ดีที่สุดในโลก เพิ่มขึ้นจาก 117,000 คน ในปี 2566 แม้จำนวนวันเปิดทำการในปีที่ผ่านมาจะมีจำนวนน้อยกว่าก็ตาม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จำนวนนักท่องเที่ยวไทยที่ไปใช้บริการกระเช้านองปิง 360 เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 389 คนในปี 2567 เพิ่มขึ้นจาก 366 คนในปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นจาก 328 คนในปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 สะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวหลังยุคโควิด ‘ทริปสายมู’ ดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยไปเยือนฮ่องกง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากจะได้เพลิดเพลินกับทิวทัศน์อันงดงามของเกาะลันเตาแล้ว กระเช้านองปิง 360 ยังเชื่อมโยงนักท่องเที่ยวสู่จุดหมายปลายทางอย่าง ‘หมู่บ้านนองปิง’ อันเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญมากมาย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวไทยที่ตั้งใจมา ‘ทริปสายมู’ หรือก็คือการเดินทางเพื่อเสริมสิริมงคล ผ่านการไหว้พระและขอพรจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เจมส์ ต๋ง กรรมการผู้จัดการ นองปิง 360 กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดนักท่องเที่ยวหลักของฮ่องกง และมีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของเมืองรวมถึงนองปิง 360 เอง เรามองเห็นถึงกระแสที่เพิ่มขึ้นของนักเดินทางชาวไทยที่ให้ความสนใจกับประสบการณ์เชิงวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ ซึ่งนองปิง 360 ตั้งอยู่ในจุดที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการนี้ได้อย่างลงตัว ด้วยทำเลที่ตั้งใกล้กับ ‘องค์พระใหญ่’ และ ‘วัดโป่หลิน’ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ได้รับความศรัทธาอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยวจากประเทศไทย”​​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/BUyuYqUKHdsEg5u873Mc.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="BUyuYqUKHdsEg5u873Mc.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="1"><figcaption><div>เจมส์ ต๋ง&nbsp;กรรมการผู้จัดการ นองปิง 360</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วัดโป่หลิน (Po Lin Monastery) ก่อตั้งในปี 2449 มีประวัติยาวนานกว่า 100 ปี ด้วยความเงียบสงบของสิ่งแวดล้อมรอบข้าง วัดโป่หลินจึงได้รับฉายาว่า ‘โลกพุทธในภาคใต้’ อีกทั้งยังเป็นที่ประดิษฐานของ ‘องค์พระใหญ่’ (Tian Tan Buddha) รูปปั้นพระใหญ่ทองสัมฤทธิ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างจากทองสัมฤทธิ์ 202 ชิ้น มีน้ำหนักมากกว่า 250 ตัน และสูงถึง 34 เมตร ตั้งอยู่บนบัลลังก์บัวเหนือบันได 268 ขั้น มองเห็นวิวของหมู่บ้านนองปิงและที่ราบสูงนองปิง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไม่เพียงแค่วัดเท่านั้น ล่าสุด หมู่บ้านนองปิง ยังได้มีการปรับปรุงใหม่เพื่อเพิ่มเสน่ห์ให้กับการท่องเที่ยว โดยมีคาเฟ่สไตล์ฮ่องกงที่เสิร์ฟเมนูต้นตำรับอย่าง ขนมปังสับปะรด และเครื่องดื่มถั่วแดง (Red Bean Ice Drink) รวมถึงร้านค้าและแหล่งช้อปปิ้งที่สะท้อนเอกลักษณ์ของฮ่องกง ตลอดจนจุดท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่าง Three Kingdoms Themed Pavilion ที่นำเรื่องราวตำนานสามก๊กมานำเสนอผ่านเทคโนโลยีแสงและเงาสุดล้ำ เพื่อให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสเรื่องราวในรูปแบบอินเทอร์แอคทีฟ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้าน นองปิง 360 ก็ได้พัฒนาและเพิ่มจำนวนกระเช้ารุ่นใหม่ Crystal+ ซึ่งมอบประสบการณ์พาโนรามา 360 องศา ให้ผู้โดยสารได้ชมวิวเกาะลันเตาแบบเต็มอิ่ม​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/3n41qWx41j19d5oHnAUs.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="3n41qWx41j19d5oHnAUs.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="2"><figcaption><div>ท่องเที่ยวในหมู่บ้านนองปิง</div></figcaption></figure></div> นองปิง 360 เตรียมเอาใจชาวไทยไปเยือนช่วงสงกรานต์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวไทยที่จะไปเยือนในช่วงเดือนเมษายน ซึ่งเป็นเดือนแห่งเทศกาลสงกรานต์ นองปิง 360 เตรียมจัดกิจกรรมพิเศษเอาใจนักท่องเที่ยวชาวไทย นำเทศกาลซึ่งเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วโลก อันเต็มไปด้วยความชุ่มชื่น มีสีสัน และความสนุกสนานมาไว้ที่ฮ่องกง ให้คนไทยได้เฉลิมฉลองสงกรานต์ไปพร้อมๆ กับท่องเที่ยวในต่างแดนท่ามกลางบรรยากาศแห่งความสุข&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ยังมีไฮไลท์พิเศษที่ นองปิง 360 ได้จับมือกับ ‘My Boy’ ตัวละครยอดนิยมของฮ่องกงที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มคนรุ่นใหม่ เพื่อสร้างสีสันและความสนุกสนานของเทศกาลไทยกับป๊อปคัลเจอร์ของฮ่องกง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ฮ่องกงยังคงเดินหน้าสร้างเสน่ห์ในการเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก และนองปิง 360 ก็ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่มอบประสบการณ์อันน่าจดจำ ด้วยการผสมผสานระหว่างศรัทธา วัฒนธรรม และธรรมชาติที่งดงาม พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวไทยให้มาสัมผัสมนต์เสน่ห์ของที่นี่ให้มากยิ่งขึ้นในอนาคต ภาพ:&nbsp;Ngong Ping 360 เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/travel/global/worlds-best-airlines-for-2025" alt="เปิดลิสต์ 'สายการบิน' ที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2025">เปิดลิสต์ 'สายการบิน' ที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2025</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘ทริปสายมู’ สานสัมพันธ์ท่องเที่ยว! ปี 67 ชาวไทยไปเยือนฮ่องกงกว่า 521,000 คน ‘วัดโป่หลิน-องค์พระใหญ่’ แลนด์มาร์กยอดนิยม

<h2>SiteMinder เปิดตัวรายงาน SiteMinder’s Changing Traveller Report 2025 ซึ่งเป็นการสำรวจด้านที่พักที่ใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมเผยนักท่องเที่ยวชาวไทยกว่า 98% พร้อมเปิดใจใช้ AI ในการวางแผน จอง และสัมผัสประสบการณ์การเข้าพัก ทั้งยังมีแนวโน้มจะทำงานไปด้วยระหว่างการเข้าพักครั้งถัดไปสูงถึง 68% ซึ่งทั้งสองผลสำรวจ นับเป็นอัตราที่สูงกว่านักท่องเที่ยวอื่นๆ ทั่วโลก</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อมูลจากรายงานดังกล่าวเป็นการสำรวจพฤติกรรมนักท่องเที่ยวกว่า 12,000 คนจาก 14 ตลาดนักท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดของโลก รวมถึงประเทศไทย แสดงถึงแนวคิด "Everything Traveler" หรือ การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ ที่ผสมผสานพฤติกรรมแบบดั้งเดิมและเทรนด์ใหม่เข้าด้วยกัน จากพฤติกรรมการเดินทางที่เปลี่ยนแปลงไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายงานฉบับนี้ ยังชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างในด้านการประยุกต์ใช้ AI โดยพบว่าประเทศไทยและอินโดนีเซียมีความเปิดรับในประเด็นดังกล่าวสูงถึง 98% รวมถึงจีนที่สูงถึง 96% และอินเดียที่ 94% ด้วยเช่นกัน ในขณะที่ 62% ของนักท่องเที่ยวจากทั้งแคนาดา และออสเตรเลีย รวมไปถึง 63% ของนักท่องเที่ยวจากเยอรมนี ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักรยังคงตรึกตรองถึงประเด็นดังกล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ 68% ของนักท่องเที่ยวชาวไทย, 66% ของนักท่องเที่ยวชาวอินโดนีเซีย และ 61% ของนักท่องเที่ยวชาวอินเดียนำเทรนด์ในด้านการทำงานไปด้วยขณะเดินทาง โดยสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกซึ่งอยู่ที่ 41% รวมถึงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอเมริกาเหนือ (34%) และยุโรป (31%) แผนการเดินทางไปต่างประเทศ และเดินทางภายในประเทศ ในปี 2568&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อมูลของ SiteMinder แสดงให้เห็นว่า นักท่องเที่ยวชาวไทยกว่า 83% มีแผนจะท่องเที่ยวต่างประเทศในปี 2568 โดยเพิ่มขึ้นเป็น 87% ในกลุ่ม Millennials ซึ่งคิดเป็นอันดับสามรองจากนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ (93%) และนักท่องเที่ยวชาวจีน (85%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมภายในประเทศ ได้แก่ เชียงใหม่ (59%), พัทยา-ชลบุรี (57%), หาดใหญ่-สงขลา (34), กรุงเทพฯ (32%) และนครราชสีมา (19%) และสถานที่ท่องเที่ยวต่างประเทศในฝันของนักท่องชาวไทย ได้แก่ ญี่ปุ่น (56%), จีน (32%), เกาหลีใต้ (23%), สิงคโปร์ (15%) และเวียดนาม (14%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยความชอบในการเดินทางแตกต่างกันไปตามแต่ละรุ่น อาทิเช่น กลุ่ม Gen Z และ Millennial ชาวไทยนิยมพักในเครือโรงแรมและรีสอร์ทขนาดใหญ่ ในขณะที่กลุ่ม Gen X นิยมที่พัก B&amp;B และ Baby Boomers เลือกมองหาที่พักโฮสเทล โมเทล หรือโรงแรมราคาประหยัด​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/o6HyhdPJ6tmEQZMTx69o.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="o6HyhdPJ6tmEQZMTx69o.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวชาวไทย:&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;54% ของนักท่องเที่ยวชาวไทยมีแนวโน้มเลือกห้องพักแบบ Standard (ห้องพักมาตรฐาน) ในปี 2568 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 46% และสูงเป็นอันดับที่สี่ของโลก รองจากนักท่องเที่ยวสเปน (59%) แคนาดา (55%) และอิตาลี (55%) ในทางกลับกัน มีเพียง 19% ของนักท่องเที่ยวชาวจีนเท่านั้นที่จะเลือกห้องพักแบบ Standard ในการเข้าพักครั้งถัดไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม 97% ของนักท่องเที่ยวชาวไทยยินดีจ่ายเพิ่มสำหรับสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น อาหารเช้า (67%) ห้องชมวิว (44%) หรือการเช็กอินก่อนเวลา หรือการเช็กเอาท์ล่าช้า (33%) นอกจากนี้ 94% ของนักท่องเที่ยวชาวไทยยินดีที่จะจ่ายเงินเพิ่มขึ้นสำหรับการเข้าพักที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นรองจากนักท่องเที่ยวชาวอินโดนีเซียเพียงประเทศเดียวเท่านั้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กิจกรรมและงานอีเวนต์ต่าง ๆ เป็นหนึ่งในแรงจูงใจในการเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวไทย ซึ่ง 78% ของนักท่องเที่ยวมีแนวโน้มจะเดินทางไปร่วมงานอีเวนต์ ซึ่งนับเป็นอัตราที่มากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยรูปแบบงานอีเวนต์ที่นักท่องเที่ยวมีแนวโน้มที่จะเดินทางเพื่อเข้าร่วม ได้แก่ คอนเสิร์ต/เทศกาลดนตรี (47%) งานรวมญาติ/งานเฉลิมฉลอง (35%) และ งานสัมมนา (31%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นักท่องเที่ยวชาวไทยกว่า 65% คาดว่าจะใช้เวลาส่วนใหญ่ (30%) หรือ "ใช้เวลาค่อนข้างมาก" (35%) ในโรงแรมในปี 2568 และให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับสัตว์เลี้ยงมากขึ้นเมื่อเลือกโรงแรม โดย 76% ของนักท่องเที่ยวชาวไทยให้ความสำคัญกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยงมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งนำหน้าชาวอินโดนีเซีย (70%) อินเดีย (66%) และจีน (62%) อีกทั้งยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 30%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปี 2568 นักท่องเที่ยวชาวไทยกว่า 55% มีแนวโน้มที่จะใช้เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่นที่ให้บริการจองโรงแรม (OTA) ในการจองที่พัก ซึ่งเพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 13% รวมถึงยังมากเป็นอันดับสาม รองจากนักท่องเที่ยวชาวอินโดนีเซีย (62%) และนักท่องเที่ยวชาวจีน (56%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;65% ของนักท่องเที่ยวชาวไทย เผยว่าพวกเขาจะทำการยกเลิกการจองออนไลน์กลางคันหากได้รับประสบการณ์ที่ไม่ราบรื่น ซึ่งพบในอัตราสูงถึง 72% ในกลุ่มนักท่องเที่ยว Gen Z ทั้งยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 52%​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/9MCMo9sXtLSy8VUTEGLC.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="9MCMo9sXtLSy8VUTEGLC.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุภกฤษฎิ์ แผนสมบูรณ์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท SiteMinder กล่าวว่า “ผลสำรวจจากรายงานปี 2025 ของเราแสดงให้เห็นว่านักท่องเที่ยวชาวไทยมีการผสมผสานเทคโนโลยีและความยืดหยุ่นในการทำงานเข้ากับการพักผ่อน ด้วยแนวโน้มของการเปิดกว้างต่อการใช้ AI เพื่อวางแผน จอง และสัมผัสประสบการณ์การเข้าพัก รวมถึงแนวโน้มการทำงานไปด้วยระหว่างการเข้าพักในครั้งถัดไป ทำให้ประเทศไทยเป็นผู้นำเทรนด์โลกในการผสมผสานการพักผ่อน การทำงาน และเครื่องมือดิจิทัลเข้าด้วยกันอย่างลงตัว”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุภกฤษฎิ์ กล่าวเสริมว่า “นักท่องเที่ยวชาวไทยมีความต้องการในการเข้าพักที่ชัดเจนมากขึ้น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจึงต้องพัฒนาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์นี้ พร้อมขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี โดยพฤติกรรมการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ ยังสะท้อนถึงแนวคิด Everything Traveler ที่สามารถผสมผสานการเดินทางตามอารมณ์พร้อมไปกับการพิจารณาตัวเลือกอย่างรอบคอบ สนใจทั้งการเดินทางไปต่างประเทศและเดินทางภายในประเทศ และให้ความสำคัญกับประสบการณ์การท่องเที่ยวของตนเอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“โดยสำหรับผู้ประกอบการโรงแรม พฤติกรรมการท่องเที่ยวเหล่านี้ จะเป็นโอกาสในการใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของความต้องการ และสร้างประสบการณ์เฉพาะตัวให้เหมาะสมกับแขกที่มีความหลากหลายเหล่านี้อีกด้วย” เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/travel/agoda-shares-accommodation-search-information-10-months-2024" alt="คนไทยชอบไป ‘ญี่ปุ่น’ มากสุด แต่ ‘จีน’ เริ่มมาแรง อานิสงส์ฟรีวีซ่า สรุปข้อมูลอินไซต์จาก Agoda">คนไทยชอบไป ‘ญี่ปุ่น’ มากสุด แต่ ‘จีน’ เริ่มมาแรง อานิสงส์ฟรีวีซ่า สรุปข้อมูลอินไซต์จาก Agoda</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ผลสำรวจพบคนไทยมีแนวโน้ม ‘ทำงานไปด้วย’ ระหว่างท่องเที่ยวครั้งถัดไปสูงถึง 68% มากสุดในโลก

<h2>กระแสการ ‘เที่ยวล้างแค้น’ หลังอัดอั้นจากช่วงโควิดระบาด ดูเหมือนจะยังไม่จบสิ้นลงง่ายๆ นักท่องเที่ยวชาวไทยแห่เดินทางออกนอกประเทศในช่วงหยุดยาว แต่พวกเขาไปเที่ยวที่ไหน ใช้เงินไปกับอะไร ลองมาดูอินไซต์จาก YouTrip และพันธมิตรกัน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;YouTrip ผู้ให้บริการดิจิทัลวอลเล็ตรองรับหลายสกุล (Multi-currency wallet) หรือบัตร Travel Card ที่ร่วมกับธนาคารกสิกรไทย และหลายคนอาจคุ้นเคย ได้ร่วมกับ 3 พันธมิตร บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน), บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) และ Klook เปิดเวทีเสวนาเชิงลึก เผยอินไซต์การท่องเที่ยวต่างประเทศของนักเดินทางไทยในวันหยุดยาวช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2567&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย จุฑาศรี คูวินิชกุล ผู้ร่วมก่อตั้ง YouTrip ประเทศไทย, วาสิต ล่ำซำ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บมจ.เมืองไทยประกันภัย, ภิรมย์ทิศ ทองแถม ณ อยุธยา หัวหน้ากลุ่มงานการตลาดผลิตภัณฑ์ บมจ. การบินไทย และ มิเชล โฮ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท Klook ประจำประเทศไทยและฟิลิปปินส์​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/eWSEv3pie3L4epJ7XdJF.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="eWSEv3pie3L4epJ7XdJF.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยมีอินไซต์อะไรบ้าง Forbes Thailand สรุปมาให้ในบทความนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ผู้ใช้ YouTrip กว่า 90% เดินทางออกนอกประเทศ โดยมียอดใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวในต่างประเทศเพิ่มขึ้น 150% เมื่อเทียบกับปีก่อน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- 54% ของการใช้จ่ายนั้นอยู่ที่การช็อปปิ้ง โดยร้าน 7-Eleven ยังคงเป็นร้านในดวงใจของคนไทย ไม่ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนก็เข้าร้านนี้ ทำให้ 7-Eleven ครองแชมป์ร้านที่คนไทยใช้จ่ายด้วยมากที่สุด รองลงมาคือ Pop Mart และร้านกระเป๋าแบรนด์ Goyard&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ส่วนในประเทศ ลูกค้า YouTrip ช็อปปิ้งใน Shopee, Lazada และร้านดิวตี้ฟรี มากสุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- การใช้จ่ายอีก 14% ของคนที่เดินทางไปต่างประเทศนั้นใช้ไปกับค่าอาหาร โดย 3 อันดับแรกที่ลูกค้า YouTrip ใช้จ่ายด้วยมากสุด คือ ฟาสต์ฟู้ด, สตาร์บัคส์ และแมคโดนัลด์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- พฤติกรรมการท่องเที่ยวต่างประเทศของคนไทย เรียกได้ว่าเน้นช็อปปิ้งมากกว่า โดยเลือกทานอาหารที่ราคาไม่แพงมาก ชิมสตรีทฟู้ด เข้าร้านสะดวกซื้อ แต่ใช้จ่ายส่วนใหญ่ไปกับการซื้อสินค้าหรู เนื่องจากในต่างประเทศสินค้าหลายอย่างมีราคาถูกกว่าในไทย หรือมีคอลเลกชั่นพิเศษที่ไม่ได้มีขายในไทย เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ฝั่งการบินไทยเผยอินไซต์ว่า การเดินทางแบบ FIT (Free Individual Traveler) ซึ่งหมายถึง นักท่องเที่ยวที่เดินทางท่องเที่ยวแบบอิสระ ไม่ได้ไปกับกรุ๊ปทัวร์ ได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีทำให้การซื้อบัตรโดยสารด้วยตัวเองนั้นทำได้ง่ายขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ด้านเมืองไทยประกันเสริมว่าอัตราการซื้อประกันการเดินทางในช่วงดังกล่าวก็เพิ่มสูงขึ้นมากเช่นกัน โดยผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความคุ้มครองด้านการเสียชีวิต ค่ารักษาพยาบาล และอุบัติเหตุเป็นหลัก และเพิ่มเติมในเรื่องการยกเลิกการเดินทาง การคุ้มครองกระเป๋าสูญหาย ‘ญี่ปุ่น’ ครองแชมป์ประเทศที่คนไทยไปเที่ยวมากสุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ทั้งหมดบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ญี่ปุ่น ครองอันดับ 1 จุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวไทย โดย 1 ใน 3 ของผู้ใช้ YouTrip ที่ไปเที่ยวต่างประเทศ เลือกไปญี่ปุ่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ปัจจัยสนับสนุนหลักที่ทำให้ญี่ปุ่นเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยม คือ วัฒนธรรม สถานที่ท่องเที่ยว อาหาร และแหล่งช็อปปิ้งหรู และอีกปัจจัยสำคัญคือ เงินเยน ที่อ่อนค่าลงหนัก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ข้อมูลการใช้จ่ายของผู้ใช้ YouTrip พบอีกว่า การใช้จ่ายของคนไทยที่ไปญี่ปุ่น 58% อยู่ที่การช็อปปิ้ง โดยหมวดหมู่สินค้าที่นิยมซื้อก็คือ สินค้าแบรนด์หรู โดยมียอดใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- แบรนด์หรูที่คนไทยซื้อเป็นอันดับ 1 ได้แก่ Louis Vuitton รองลงมาคือ Dior, Gucci และ Prada ตามลำดับ แต่แบรนด์ที่มีการเติบโตสูงสุดคือ Goyard​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/TWLNJseXkUmkGzkxAvip.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="TWLNJseXkUmkGzkxAvip.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"><figcaption><div>Image by tawatchai07 on Freepik</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- YouTrip ยังพบว่าพฤติกรรมของผู้ใช้มีการแลกเงินบาท (THB) เป็นเงินเยน (JPY) ผ่านกระเป๋าเงิน JPY ภายในแอป เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า เมื่อเทียบกับปีที่แล้วด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- Klook เผยเทรนด์อย่างหนึ่งคือยอดจองการเช่ารถขับในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นมาก หลังค่าตั๋วรถไฟแพงขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- โดยรวมมองว่าในระยะสั้นและระยะกลาง ญี่ปุ่น จะยังคงเป็น Top Destination อยู่ เนื่องจากปัจจัยต่างๆ ข้างต้น รัฐบาลเองก็กำลังพยายามผลักดันการท่องเที่ยวอย่างหนักเช่นกัน ฟรีวีซ่าดัน ‘จีน’ ผงาดขึ้นเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- คนไทยสนใจเที่ยวจีนมากขึ้นตั้งแต่เดือน พ.ย. 2566 โดยหลังจากมีการประกาศฟรีวีซ่าระหว่างไทยและจีน YouTrip พบว่าในเดือน เม.ย. 2567 มีปริมาณการทำธุรกรรมเพิ่มขึ้นถึง 466% และจีนได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมอันดับ 2 ที่คนเดินทางไปมากสุดในช่วงสงกรานต์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- เมืองที่ผู้ใช้ YouTrip ชื่นชอบ ได้แก่ เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง เซินเจิ้น และเฉิงตู​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/zi4DQiPNbjajqsTuNbVr.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="zi4DQiPNbjajqsTuNbVr.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"><figcaption><div> Photo by Terrence Low on Unsplash </div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ฝั่งการบินไทยเสริมว่าช่วงเทศกาลสงกรานต์คนไทยเดินทางไปท่องเที่ยวจีนจำนวนมาก โดยมียอดการจองตั๋วผ่านการบินไทยเต็ม 100% ทุกเที่ยวบิน ซึ่งปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากนโยบายฟรีวีซ่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ด้าน Klook เผยว่ายอดจองกิจกรรมต่างๆ ในจีนเพิ่มขึ้น 4 เท่า แต่ถึงอย่างนั้นจีนก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ เนื่องจากเป็นประเทศใหม่ที่เพิ่งได้รับความนิยม ข้อมูลยังไม่ค่อยพร้อมสำหรับนักท่องเที่ยว ทำให้ Klook ต้องส่งครีเอเตอร์ไปทำคอนเทนต์ในเมืองที่คนไทยนิยมไป เช่น เซี่ยงไฮ้ เพื่อให้มีข้อมูลมากขึ้น &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปิดท้ายที่มุมมองถึงเทรนด์การเดินทางเที่ยวต่างประเทศของคนไทย ซึ่งโดยรวมมองว่าแนวโน้มเทรนด์เที่ยวล้างแค้นจะยังคงดำเนินต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง และการเดินทางท่องเที่ยวได้กลายเป็นไลฟ์สไตล์ของคนไทยไปแล้ว แต่พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยเทรนด์ “ช้อปหรู กินอยู่ประหยัด” จะเป็นสิ่งที่พบเห็นมากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ การเข้ามาของเทคโนโลยีจะช่วยตอบโจทย์เรื่องการเดินทางให้นักท่องเที่ยวมีความสะดวกสบายในหลากหลายด้าน ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้คนหันมาเลือกเดินทางด้วยตัวเองมากขึ้นแทนการเที่ยวแบบกลุ่มทัวร์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รวมถึงแนวโน้มการท่องเที่ยวหนึ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือ กลุ่มนักท่องเที่ยวมีอายุน้อยลง โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Gen Y ที่นิยมออกเดินทางท่องเที่ยวไปต่างประเทศ เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ รวมทั้งยังเปิดรับจุดหมายปลายทางในประเทศใหม่ๆ เพิ่มขึ้น นอกเหนือจากญี่ปุ่นและจีน เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/travel/global/japan-blocks-view-of-mount-fuji-and-lawson" alt="ปิดตำนานวิวฟูจิหลังร้าน Lawson ญี่ปุ่นเตรียมกางตาข่ายกั้น หลังนักท่องเที่ยวไม่สนกฎจราจร ทิ้งขยะเกลื่อน">ปิดตำนานวิวฟูจิหลังร้าน Lawson ญี่ปุ่นเตรียมกางตาข่ายกั้น หลังนักท่องเที่ยวไม่สนกฎจราจร ทิ้งขยะเกลื่อน</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

สรุปอินไซต์จาก YouTrip คนไทยเที่ยวนอก ‘กินถูก ช็อปแพง’ ญี่ปุ่นรั้งแชมป์ Top Destination

<h2>เอ็กซ์พีเดียเผยผลวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้พักผ่อนระหว่างการเดินทางอย่างแท้จริง (Vacation Deprivation Study) ประจำปี 2560 ในหลากหลายประเด็น โดยเป็นงานวิจัยที่ทำมาต่อเนื่องเป็นปีที่ 17 ตั้งแต่ปี 2543</h2>
ซิมอน ฟิเก้ ผู้จัดการทั่วไป เอ็กซ์พีเดีย กรุ๊ป ประจำภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย เผยถึงการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยที่ขวางการลาพักร้อนเป็นประจำทุกปี โดยให้ความสำคัญกับพฤติกรรมของการลาพักร้อนที่แตกต่างกันในหลายทวีป แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่จากหลากหลายประเทศร้อยละ 80-90 มองการลาพักร้อนทำให้พวกเขารู้สึกมีความสุขมากขึ้น ทั้งยังได้ใกล้ชิดกับครอบครัว ความเครียดลดลง และยังส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มสูงขึ้น

“แต่จากผลสำรวจที่เกิดขึ้น จำนวนของคนที่ไม่ใช้วันลาพักร้อนสูงขึ้นทั่วโลก ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะในปี 2560 กลุ่มผู้ใหญ่ที่ทำงานเต็มเวลาทั่วโลกรู้สึกว่าไม่อยากลาหยุดพักร้อนมีจำนวนถึงร้อยละ 53 เพิ่มสูงขึ้นกว่าปี 2559 ที่มีจำนวนร้อยละ 49” ซิมอน ฟิเก้ เผยและกล่าวต่อว่า

นายจ้างไทยเองสนับสนุนให้มีวันลาพักร้อนประจำปีเพิ่มขึ้น แต่ลูกจ้างยังคงใช้วันลาพักร้อนน้อยกว่าที่กำหนด จากการศึกษาข้อมูลเชิงลึกพบว่าเหตุผลจริงๆ ที่ทำให้ลูกจ้างประจำคนไทยรู้สึกว่าตัวเขาไม่ได้ใช้วันลาพักร้อนประจำปีมีจำนวนถึงร้อยละ 51 ของจำนวนลูกจ้างประจำ และใช้วันลาพักร้อนเพียง 2-3 วันต่อปี ซึ่งน้อยกว่าวันหยุดประจำปีที่พวกเขาได้รับเสียอีก

โดยเหตุผลส่วนใหญ่ที่ต้องการเก็บวันลาพักร้อนไว้ อาทิ เพื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันร้อยละ 45 ตารางการทำงานที่ไม่เอื้ออำนวยและบุคคลากรไม่เพียงพอ ร้อยละ 37 ความยุ่งยากในการจัดตารางเวลาวันหยุดให้เหมาะสมกับครอบครัว เพื่อนและคู่รัก ร้อยละ 37และความต้องการในการสะสมวันลาพักร้อนไว้ใช้ในปีถัดไป ร้อยละ 30

<figure><img style="width: 680px; height: 452px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/446b9bcf2b3ad5dd98c7e214982948b3.png" alt="" width="680" height="452" /><figcaption> ซิมอน ฟิเก้ ผู้จัดการทั่วไป เอ็กซ์พีเดีย กรุ๊ป ประจำภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย</figcaption></figure>

ทั้งนี้ผลสำรวจยังเผยให้เห็นอีกว่าแม้กลุ่มนักท่องเที่ยววัยทำงานกลุ่มนี้เดินทางท่องเที่ยวแต่ยังคงเช็คอีเมล ซึ่งจากข้อมูลการสำรวรวจนั้นคนกลุ่มนี้จำนวนร้อยละ 27 เข้าเช็คอีเมลอย่างน้อยวันละครั้ง เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ที่มีจำนวนร้อยละ 24 โดยแบ่งเป็นชาวไต้หวันร้อยละ 48 ชาวอินเดียร้อยละ 39 ส่วนชาวไทยร้อยละ 28

นอกจากนี้ร้อยละ 48 จากกลุ่มตัวอย่างเผยด้วยว่าพวกเข้าต้องยกเลิกหรือเลื่อนวันลาพักร้อนออกไปเนื่องจากการทำงาน ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวเอเชีย โดยเป็นคนไทยร้อยละ 75 ชาวเอมิเรตร้อยละ 70 และชาวอินเดียร้อยละ 67

ด้าน กริช ม่วงไหมทอง คุณหมอพิธีกรรายการ เดอะ ดร. ออซ ไทยแลนด์ ผู้ร่วมเสวนากล่าวเสริมในมุมมองที่เกี่ยวกับสุขภาพและประโยชน์ที่รับวันหยุด “การลาหยุดเพื่อพักผ่อนไม่เพียงแต่เป็นผลดีสำหรับตัวคุณ แต่ยังสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ยิ่งขึ้น เท่ากับส่งผลดีให้กับองค์กรด้วยเช่นกัน ผมคิดว่านายจ้างควรเริ่มต้นการปลูกฝังและการฝึกให้ลูกจ้างรู้จักวางแผนการเรื่องความสมดุลในชีวิตทำงานและการพักผ่อนให้มากยิ่งขึ้น”

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events