<em>เรื่อง: Michael Schuman เรียบเรียง: พิษณุ พรหมจรรยา</em>
<h2>เมื่อไม่นานมานี้บนเครื่องบินของสายการบิน <strong>Asiana Airlines</strong> ที่ออกเดินทางจากกรุงโซลไปปักกิ่ง <strong>Liu Yanan</strong> มองหาที่ว่างบนช่องเก็บของเหนือศีรษะเพื่อที่จะยัดถุงใส่ของที่เธอขนช็อปมาจนเต็มเอี้ยด <strong>Liu</strong>เป็นนักเขียนก็อปปี้โฆษณาสาวชาวจีนวัย 28 ปี เธอเดินทางมาที่โซลเพื่อดูคอนเสิร์ตก่อนที่จะขึ้นเครื่องบินกลับบ้าน เธอก็ไปกวาดเครื่องสำอางลดราคาจากร้านค้าปลอดภาษีมาเสียเต็มอัตรา ซึ่งนอกจากแบรนด์คลาสสิก ยังขนผลิตภัณฑ์บำรุงผิวซึ่งกำลังเป็นที่นิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่สาวชาวจีนอย่าง innisfree และ Laneige ของ <strong>AmorePacific</strong> ซึ่งเป็นบริษัทเครื่องสำอางชั้นนำของเกาหลีใต้ด้วย</h2>
<strong>Liu </strong>บอกว่าเธอใช้เครื่องสำอางเกาหลีเพราะเธอตกหลุมรักประเทศเกาหลีใต้เข้าอย่างจัง เธอเป็นสาวกพันธุ์แท้ของดนตรีเกาหลีหรือ K-pop มาตั้งแต่สมัยที่เธอยังเป็นวัยรุ่นอยู่ และเธอก็ติดหนึบกับซีรี่ย์เกาหลีหรือ K-dramas ซึ่งสามารถดึงดูดแฟนละครได้ทั่วทั้งเอเชียเลยทีเดียว

ผู้บริโภคแบบ <strong>Liu</strong> นี่แหละที่เป็นเหตุผลสำคัญให้ <strong>Suh Kyung-Bae</strong> ซึ่งเป็น Chairman และ CEO ของ <strong>AmorePacific</strong> ได้รับตำแหน่ง <strong>นักธุรกิจแห่งปี (Businessman of the Year) ประจำปี 2015 จาก Forbes</strong> โดยบริษัทเครื่องสำอางที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้แห่งนี้กำลังได้ใจสาวๆ ขาช็อปที่เป็นชนชั้นกลางชาวจีน ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าชั้นดีที่ใครๆ ก็อยากได้ไว้เป็นลูกค้า โดยยอดขายของกิจการในเครือในประเทศจีนปีที่แล้วสูงถึงเกือบ 450 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นมากกว่าสามเท่าภายในเวลาแค่สี่ปี แต่ผลิตภัณฑ์ของ <strong>AmorePacific</strong> ก็ยังขายดิบขายดีตามร้านค้าทั่วทั้งเอเชียด้วยเช่นกัน โดยยอดขายในเอเชียที่ไม่รวมเกาหลีใต้และจีนปีที่แล้วโตถึง <strong>152%</strong> เลยทีเดียว

ความสำเร็จในด้านยอดขายดังกล่าวทำให้ <strong>AmorePacific</strong> กลายมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางโดยในปีที่แล้ว ยอดขายของสินค้าในเครือเพิ่มขึ้น 21% เป็น <strong>4.5 พันล้านเหรียญ</strong> ในขณะที่ข้อมูลจาก <strong>Euromonitor</strong> ระบุว่ายอดขายผลิตภัณฑ์เสริมความงามและของใช้ส่วนตัวของทั้งโลกโตแค่ <strong>1.6%</strong> เท่านั้น นักวิเคราะห์ประเมินว่ารายได้ของเครือ<strong> AmorePacific </strong>จะเพิ่มขึ้นเป็น 4.9 พันล้านเหรียญในปีนี้ และทะลุ <strong>5.8 พันล้านเหรียญ</strong>ในปีหน้า ทั้งนี้ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นของ <strong>AmorePacific Corp.</strong> พุ่งขึ้นถึง 345%

ทั้งยอดขายสินค้าและราคาหุ้นที่พุ่งสูงขึ้นทำให้ฐานะการเงินของ <strong>Suh</strong> นักธุรกิจเกาหลีใต้วัย 52 ปีขยับสูงขึ้นไม่หยุดหย่อน โดยเขาเพิ่งจะเริ่มเข้าสู่ทำเนียบเศรษฐีระดับพันล้านในปี 2011 เท่านั้น แต่ในปีนี้ เขากลายมาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยเป็นอันดับสองของประเทศเกาหลีใต้ โดยมีสินทรัพย์รวมถึง <strong>9.2 พันล้านเหรียญ</strong>เพิ่มขึ้นถึง <strong>372% ภายในเวลาแค่สองปี</strong>

ซึ่งการที่ <strong>Suh </strong>และกิจการที่ก่อตั้งโดยพ่อของเขาเมื่อ 70 ปีก่อน เติบโตอย่างรวดเร็วเป็นเรื่องที่แยกกันไม่ออกกับความสำเร็จของประเทศเกาหลีใต้ จากความโด่งดังเป็นพลุแตกของนักร้องอย่าง Psy และเพลงฮิต “Gangnam Style” วงนักร้องสาวสุดฮ็อตอย่าง Girls’ Generation และดาราสาวชื่อดังอย่าง Jun Ji-Hyun และเหล่าดารานักร้องเกาหลีอีกเป็นโขยง ซึ่งทำให้วัฒนธรรมเกาหลีกลายมาเป็นตัวแทนของความเซ็กซี่ เท่ และอยู่ในกระแสแฟชั่นทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออก

K-Wave ได้กลายเป็นคลื่นยักษ์สำหรับอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ภายในเวลาแค่สองปี <strong>ยอดส่งออกเครื่องสำอางจากเกาหลีใต้</strong>โตถึง 95% เป็น <strong>1.6 พันล้านเหรียญ</strong>ในปี 2014 โดย HS Chung CEO ของบริษัทที่ปรึกษา Synergy Hill+Knowlton Strategies ในกรุงโซลเชื่อว่าอุตสาหกรรมเครื่องสำอางของเกาหลีไม่มีทางจะเติบโตได้อย่างรวดเร็วเหมือนที่เป็นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาถ้าไม่ได้แรงผลักดันจากกระแส K-Wave

<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/2016%2002%20-%20FEB/amore(1).jpg" alt="" width="625" height="460" />
แต่ถึงกระนั้น <strong>Suh</strong> ยังเชื่อว่า <strong>AmorePacific</strong> เติบโตมาจากความสามารถของตัวเองด้วย ไม่ได้อาศัยแค่การเกาะกระแส K-Wave เท่านั้น แม้เขาจะยอมรับว่าปรากฏการณ์เกาหลีฟีเวอร์นั้น “มีส่วนช่วยให้เราขยายธุรกิจ” แต่เขาก็ยังคิดว่าการเติบโตอย่างโดดเด่นของบริษัทนั้นเป็นผลมาจากความสามารถของตัวเองมากกว่า โดยบอกว่า “ในจังหวะที่เรามองว่าบริษัทกำลังอยู่บนวิถีสู่ความสำเร็จนั้น มันเป็นเวลาก่อนที่กระแส K-Wave จะโถมเข้าสู่ประเทศจีนเสียอีก” ทั้งนี้ ทัศนคติแบบนี้อาจจะมาจากปรัชญาการบริหารธุรกิจของเขาก็ได้

<strong>Suh</strong> ซึ่งเป็นแฟนของอุปกรณ์กีฬายี่ห้อ <strong>Nike</strong> บอกว่าเขาได้เรียนรู้บทเรียนอันทรงคุณค่าจาก <strong>Phil Knight</strong> ผู้ก่อตั้งกิจการ <strong>Nike</strong> ว่า CEO ที่ดีจะต้องรับผิดชอบความสำเร็จหรือล้มเหลวของธุรกิจ โดย “ไม่โทษผู้อื่น” และ “ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าการเติบโตหรือการหดตัวของอุตสาหกรรม มีแต่เพียงการเติบโตหรือหดตัวของบริษัทเท่านั้น การที่บริษัทของคุณจะเติบโตหรือหดตัวเป็นความรับผิดชอบของคุณ” <strong>Suh</strong> บอกว่าในการบริหารธุรกิจนั้นเขาเป็นคนที่ใส่ใจในรายละเอียด “ผมมักจะพยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ โดยอาศัย mindset ของนักเรียนเหมือนสมัยที่ยังเรียนหนังสืออยู่ในโรงเรียน”

โดย <strong>Sean Kim</strong> ซึ่งเป็น Executive Vice President ด้านกลยุทธ์ตลาดโลกของ <strong>AmorePacific</strong> บอกว่า Suh มักจะใช้เวลาพูดคุยอยู่กับพนักงานขายในห้าง หรือตรวจสอบการทำงานของเครื่องจักรในโรงงาน หรือไม่ก็ถกเรื่องสูตรการผลิตกับนักวิจัยของบริษัท Kim บอกว่า “คนทั่วไปอาจจะคิดว่าเพราะเขาเป็น CEO เขาจึงต้องพูดถึงแต่สิ่งที่เป็นภาพใหญ่เป็นหลัก แต่ในกรณีของเขามันแตกต่างไปจากความเข้าใจเช่นนั้นอย่างมาก...เขาเป็นคนที่ช่างสงสัยในข้อมูลเชิงลึกมากกว่า”

ที่สำคัญที่สุดก็คือ <strong>Suh</strong> พยายามผลักดันให้ <strong>AmorePacific </strong>สร้างนวัตกรรมของตัวเองเพิ่มขึ้น โดยในปัจจุบันเขาจัดสรรงบประมาณสำหรับ R&amp;D ถึงประมาณ 2% ของยอดขาย เขาได้จ้างนักเคมี นักชีววิทยา เภสัชกร และผู้เชี่ยวชาญด้านอื่นๆ ถึง 450 คน ให้มาทำงานวิจัยให้กับศูนย์วิจัยของบริษัทที่ Yongin ทางตอนใต้ของกรุงโซล ซึ่งจำนวนผู้ที่มาทำงานด้าน R&amp;D ที่ศูนย์วิจัยแห่งนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นจากปี 2011 ถึง 30% นอกจากนี้ ในปีที่แล้ว บริษัทก็ยังได้ขยายห้องทดลอง R&amp;D ที่เซี่ยงไฮ้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์เฉพาะสำหรับตลาดจีน

<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/2016%2002%20-%20FEB/amore.jpg" alt="" />

การลงทุนนี้ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงาม สิ่งประดิษฐ์ที่เป็นที่นิยมมากที่สุดของบริษัทก็คือเทคโนโลยี “cushion” ที่เริ่มนำออกมาใช้ในปี 2008 โดย <strong>AmorePacific</strong> ได้นำครีมกันแดด รองพื้น และ moisturizer มารวมกันเพื่อความสะดวกในการใช้งานในรูปของแป้งพัฟ

แต่ Suh ก็ยังไม่พอใจกับความสำเร็จที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เพราะเป้าหมายของเขาก็คือการผลักดันให้ AmorePacific สยายปีกออกไปให้ไกลกว่าแค่ในภูมิภาคเอเชีย และเอาชนะแบรนด์ระดับโลกอย่าง L’Oréal หรือ Estée Lauder และแบรนด์ยักษ์ใหญ่อื่นๆ ในสหรัฐฯ และยุโรปให้ได้

มันเป็นเรื่องที่ยากเย็นเป็นอย่างมาก เพราะแม้ว่ากิจการของเขาจะเติบโตอย่างรวดเร็วมาในช่วงที่ผ่านมา แต่ <strong>Suh</strong> ก็ยังต้องฝ่าฟันหนทางอีกยาวไกลกว่าที่บริษัทจะก้าวมาเป็นบริษัทระดับโลกอย่างแท้จริง โดยในปีที่แล้ว ยอดขายของ <strong>AmorePacific</strong> นอกประเทศเกาหลีใต้คิดเป็นสัดส่วนแค่ไม่ถึง 18% ของรายได้รวมของบริษัทเท่านั้น ซึ่งการที่จะพัฒนาบริษัทให้ก้าวขึ้นมาอยู่ระดับเดียวกับ <strong>L’Oreal</strong> ได้นั้น <strong>Suh</strong> จะต้องหาหรือไม่ก็สร้างคลื่นลูกใหม่ขึ้นมาเพื่อที่จะพาเขาไปให้ถึงฝั่งฝันได้สำเร็จในที่สุด

<hr />

<a href="http://goo.gl/6fV29E">คลิ๊กอ่าน <strong>"ผู้แต่งแต้มเสน่ห์ความงามแบบเกาหลี"</strong> ฉบับเต็มได้ที่ <strong>Forbes Thailand</strong> ฉบับ <strong>FEBRUARY 2016</strong> ในรูปแบบ E-Magazine</a>
<a href="http://goo.gl/6fV29E"><img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/2016%2002%20-%20FEB/cover---feb.jpg" alt="" width="253" height="331" /></a>

ผู้แต่งแต้มเสน่ห์ความงามแบบเกาหลี

<div>
	<div>
		<strong><span style="color:#b22222;">Lei Jun</span> เจ้าของสมาร์ตโฟนแบรนด์ <span style="color:#b22222;">Xiaomi</span> (หมายถึง &ldquo;ข้าวเมล็ดเล็กๆ&rdquo;) ซึ่งก่อตั้งเมื่อสี่ปีก่อน ใช้เวลาเพียงไม่นานเพื่อพิสูจน์ตนเองบนเส้นทางธุรกิจ โทรศัพท์มือถือที่เขาสร้างขึ้น จำหน่ายได้ในราคาต่ำกว่าของคู่แข่ง จนบุกยึดตลาดโมบายของเอเชียได้รวดเร็วราวพายุ</strong><br />
		&nbsp;</div>
	<div>
		&nbsp;</div>
	<div>
		Lei Jun สร้างให้ <span style="color:#b22222;">Xiaomi</span> เป็นผู้นำปฏิวัติโลก ในฐานะเครื่องมือสื่อสารยุคดิจิทัลอันทรงพลัง แต่มีราคาย่อมเยา จนผู้คนมากมายหลายพันล้านเป็นเจ้าของได้ ในยุคสมัยที่ธุรกิจผ่านอินเทอร์เน็ตและแอปพลิเคชั่นมากมายไหลเวียนอยู่ในวงจรเศรษฐกิจโลก จนก่อความปั่นป่วนให้กับการพาณิชย์และวงการบันเทิงแบบดั้งเดิม ย่อมสร้างโอกาสอันสดใสให้กับอุปกรณ์พกพาอย่างสมาร์ตโฟน ด้วยบทบาทของ Lei ต่อการสร้างสรรค์เครื่องมือสื่อสารชนิดนี้ เขาจึงเป็น<span style="color:#b22222;">นักธุรกิจแห่งปี 2014 ของ FORBES ASIA</span></div>
	<div>
		&nbsp;</div>
	<div>
		<span style="color:#b22222;">Tim Ferguson</span> บรรณาธิการ <span style="color:#b22222;">Forbes Asia</span> เปิดเผยว่า ในปี 2014 ที่กำลังจะผ่านไป เป็นปีที่น่าจดจำของบริษัทที่ประกอบธุรกรรมทางอินเทอร์เน็ตมากรายในทวีปเอเชีย ทุกคนที่ข้องเกี่ยวกับงานบนเว็บ ต่างทราบดีว่าอุปกรณ์พกพาได้กลายเป็นกุญแจสำคัญที่ไขสู่โลกออนไลน์ โดยไม่มีใครจะพัฒนาสมาร์ตโฟนเพื่อผู้คนในวงกว้าง ครบสมบูรณ์ทั้งคุณภาพและราคา ได้เทียบเท่าสมาร์ตโฟน <span style="color:#b22222;">Xiaomi</span> ของ <span style="color:#b22222;">Lei Jun</span></div>
	<div>
		&nbsp;</div>
	<div>
		แม้ว่า <span style="color:#b22222;">Xiaomi</span> ยังมิได้ขยายสาขาไปยังอเมริกาหรือยุโรป ลำพังแต่ในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในโลก ยอดขาย Xiaomi ได้พุ่งแซงหน้า <span style="color:#b22222;">Apple</span> ก้าวขึ้นเป็นอันดับหนึ่งได้แล้ว ไม่นับคู่แข่งรายอื่นๆ ในจีนด้วยกันเอง ที่ก่อตั้งมานานและมีขนาดธุรกิจใหญ่กว่า อย่างเช่น <span style="color:#b22222;">Lenovo</span> ผู้ผลิตพีซีหมายเลขหนึ่ง หรือ <span style="color:#b22222;">Huawe</span>i บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์สื่อสารระดับโลก และหากพิจารณาทั้งโลกแล้ว <a href="http://www.forbesthailand.com/article_detail.php?article_id=96">หลังผ่านไตรมาส 3 ของปีนี้ Xiaomi ขึ้นแท่นเป็นอันดับ 3 รองจาก &nbsp;Samsung และ Apple</a> คาดว่าตลอดทั้งปีจะสร้างยอดขายได้ถึง 60 ล้านเครื่อง&nbsp;</div>
	<div>
		&nbsp;</div>
	<div>
		ในวัย 45 ปี Lei คือมหาเศรษฐีอันดับ 8 ของประเทศจีนแห่งทำเนียบ&nbsp;<a href="http://www.forbesthailand.com/_preview_article_detail.php?article_id=178"><span style="color:#b22222;">Forbes China Rich List</span></a> ด้วยทรัพย์สิน 9.9 พันล้านเหรียญ สำเร็จการศึกษาวิชาเอกวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จาก Wuhan University ในประเทศจีนนั่นเอง เขาเคยบอกว่าต้องทำงานหนักสัปดาห์ละถึง 100 ชั่วโมง และตลอดทั้งชีวิตแทบไม่เคยก้าวออกจากเมืองจีนเลย แต่เพียงแค่ในบ้านเกิด ตัวเขาก็โด่งดังและเป็นที่รู้จักไปทั่ว ฐานะมวยรองสัญชาติจีนในเวทีตลาดโทรศัพท์มือถือระดับโลก ที่หยิบยื่นสินค้าที่สร้างโดยคนในประเทศที่มีคุณภาพ และด้วยราคาที่เป็นธรรม</div>
	<div>
		&nbsp;</div>
	<div>
		<span style="color:#b22222;">"เป้าหมายของผมก็คือทำให้ Xiaomi เป็นแบรนด์แห่งชาติของจีน ที่สร้างผลสะเทือนไปยังทุกภาคอุตสาหกรรมของประเทศ และสร้างประโยชน์ให้เกิดกับทุกคนบนโลก"</span> เขากล่าว</div>
</div>
<div>
	<br />
	<br />
	<img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/%E0%B9%8CNEWS/Forbes%20Asia%20cover.jpg" /></div>
<div style="text-align: center;">
	<span style="font-size:11px;"><span style="color:#696969;">Lei Jun บนปก Forbes Asia ฉบับธันวาคม 2014</span></span></div>
<div>
	<br />
	<div>
		โมเดลจัดจำหน่ายของ Lei มีส่วนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจของเขามีความโดดเด่น เพราะ <span style="color:#b22222;">Xiaomi </span>ตัดราคาสมาร์ตโฟนในตลาดได้อย่างน้อย 10% &nbsp;ด้วยช่องทางจัดจำหน่ายเฉพาะออนไลน์เท่านั้น ทำให้ขจัดปัญหาพ่อค้าคนกลางหรือพ่อค้าปลีกออกไป ผลิตภัณฑ์ของเขานั้นยังปรับปรุงพัฒนาตามคำแนะนำของผู้ใช้งาน พร้อมกับโปรโมทผ่านทางสื่อออนไลน์ จนปิดยอดขายได้ในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อปีกลาย <span style="color:#b22222;">Xiaomi</span> จำหน่ายได้ถึง 1 แสนเครื่อง ภายในเวลาเพียง 90 วินาที ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน หรือ <span style="color:#b22222;">&ldquo;วันคนโสด&rdquo;</span> (Singles&rsquo; Day &ndash; 11/11) เพียงวันเดียว ยังทำยอดได้ถึง 1 ล้านเครื่อง ผ่านการโปรโมทผ่าน <span style="color:#b22222;">Alibaba.com</span> เท่านั้น &nbsp;จนกลายเป็นสถิติใหม่บนโลกการค้าออนไลน์ไปแล้ว ทำให้เขามุ่งมั่นเดินตามสูตรสำเร็จนี้ในการเปิดตัวสินค้าในแต่ละประเทศในเอเชีย</div>
	<div>
		&nbsp;</div>
	<div>
		ด้วยเส้นทาสู่อนาคตอันสดใส Lei ได้ก้าวไปลงทุนในกิจการต่างๆ อย่างเช่นเว็บไซต์วิดีโอออนไลน์ <span style="color:#b22222;">iQiyi </span>หรือสนับสนุนเงินทุนให้เสิร์ชเอนจิน <span style="color:#b22222;">Baidu</span> เพื่อเข้าพัฒนาระบบสู่โลกบันเทิงผ่านอุปกรณ์โมบาย รวมทั้งเว็บไซต์ฝากไฟล์วิดีโอ <span style="color:#b22222;">Youku</span> เพื่อให้เกิดคอนเทนต์อันหลากหลาย ผสมเข้ากับบริการในยุคดิจิทัล และเขายังขยายการ<a href="http://www.forbesthailand.com/article_detail.php?article_id=225">ลงทุนไปยังธุรกิจวิเคราะห์และจัดเก็บข้อมูล</a>อีกด้วย ทั้งหมดนี้ล้วนแสดงให้เห็นวิสัยทัศน์ระดับโลกที่เขาสร้างให้กับ Xiaomi</div>
	<div>
		&nbsp;</div>
	<div>
		<span style="color:#b22222;">"นับตั้งแต่วันแรกที่ผมก่อตั้ง Xiaomi เป้าหมายของผมคือการสร้างบรรษัทระดับโลก"</span> เขากล่าว</div>
</div>
<div>
	<br />
	<br />
	<hr />
	<span style="font-size: 12px;">อ่านเพิ่มเติมที่&nbsp;</span><span style="font-size: 12px;"><a href="http://www.forbes.com/sites/russellflannery/2014/12/03/the-disruptor/">Xiaomi&#39;s Lei Jun Is Forbes Asia&#39;s 2014 Businessman Of The Year</a>&nbsp;โดย Russell Flannery</span></div>
<br />
<br />

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events