<h2>กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผยปี 2568 การลงทุนของต่างชาติในไทยส่งสัญญาณบวก เดือน ม.ค. นี้ต่างชาติลงทุนไทย 23,160 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 223% จากเดือนมกราคม ปี 67 โดยญี่ปุ่นลงทุนอันดับหนึ่ง 8,880 ล้านบาท จีน 3,925 ล้านบาท และเยอรมนีติด TOP 3 ลงทุน 3,048 ล้านบาท</h2> &nbsp; &nbsp; &nbsp;นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 เปิดเผยว่า เดือนมกราคม 2568 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จำนวน 103 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 21 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) จำนวน 82 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 23,160 ล้านบาท โดยชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 7 อันดับแรกของเดือนมกราคม 2568 ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. ญี่ปุ่น 21 ราย คิดเป็นร้อยละ 20 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 8,880 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ธุรกิจบริการจัดหาวัสดุอุปกรณ์ การเปลี่ยนและทำการเชื่อมต่อท่อส่งใต้ทะเลระหว่างแท่นหลุมผลิตในโครงการขุดเจาะน้ำมัน &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ธุรกิจบริการตรวจสอบและสอบเทียบอุปกรณ์การตรวจจับการรั่วไหลของแก๊ส &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า ได้แก่ แม่พิมพ์ ไส้กรองน้ำมัน ชิ้นส่วนนาฬิกาข้อมือ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. สหรัฐอเมริกา 14 ราย คิดเป็นร้อยละ 14 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 971 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ธุรกิจค้าปลีกสินค้า ได้แก่ อุปกรณ์โทรคมนาคม เครื่องแต่งกาย ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปสำหรับการดูแลและรักษาความปลอดภัยทางระบบคอมพิวเตอร์ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ธุรกิจบริการสนับสนุนข้อมูลเพื่ออำนวยความสะดวกในกระบวนการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิต ได้แก่ สิ่งปรุงแต่งอาหาร โลหะผสมสำหรับผลิตเครื่องประดับ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3. จีน 10 ราย คิดเป็นร้อยละ 10 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติ เงินลงทุน 3,925 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ธุรกิจบริการอาคารโรงงานพร้อมสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อการอุตสาหกรรม ลูกกลิ้งพิมพ์ลายหรืออัดลาย สารสกัดจากเศษวัตถุดิบที่เหลือจากการแปรรูปสัตว์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4. สิงคโปร์ 10 ราย คิดเป็นร้อยละ 10 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติ เงินลงทุน 2,178 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ธุรกิจบริการติดตั้ง บำรุงรักษา ซ่อมแซม และการปรับ (Calibration) เกี่ยวกับเครื่องจักร เครื่องกล &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตภาพยนตร์ ละคร แอนิเมชัน และรายการบันเทิง &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า ได้แก่ ผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น ผลิตภัณฑ์โลหะและชิ้นส่วนโลหะ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;5. ฮ่องกง 9 ราย คิดเป็นร้อยละ 9 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 1,251 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิค เช่น การติดตั้งและบำรุงรักษาซอฟต์แวร์ การให้คำปรึกษาทางเทคนิคในการแก้ไขปัญหาเครื่องจักรระหว่างการใช้งาน เป็นต้น &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ธุรกิจบริการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า ได้แก่ กระดาษลูกฟูก อะไหล่และส่วนประกอบรถยนต์ ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;6. ไต้หวัน 8 ราย คิดเป็นร้อยละ 8 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 681 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ธุรกิจบริการออกแบบ ก่อสร้าง และติดตั้งโครงสร้างเหล็กของอาคารคลังสินค้า &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ธุรกิจบริการออกแบบระบบสถาปัตยกรรมทางด้านดิจิทัล (Digital Architecture Design Service) เช่น ระบบด่านเก็บค่าผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และระบบจัดการที่จอดรถ เป็นต้น &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า ได้แก่ สายไฟฟ้า ชุดสายไฟสำหรับรถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;7. เยอรมนี 7 ราย คิดเป็นร้อยละ 7 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 3,048 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ธุรกิจบริการวิจัยและพัฒนาเครื่องปั๊มความร้อน (Heat pump) &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ธุรกิจบริการทำการตลาดและส่งเสริมการขายสิ่งทอเทคนิค &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า ได้แก่ เครื่องทำน้ำอุ่น Fatty Alcohol Ethoxylate​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/DbNKPZfyGDLYWkeVVVrR.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="DbNKPZfyGDLYWkeVVVrR.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp; &nbsp; ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบเดือนมกราคม 2567 พบว่า การอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย เพิ่มขึ้น 49 ราย (91%) (เดือน ม.ค.68 อนุญาต 103 ราย / เดือน ม.ค.67 อนุญาต 54 ราย) และมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 15,990 ล้านบาท (223%) (เดือน ม.ค.68 ลงทุน 23,160 ล้านบาท / เดือน ม.ค.67 ลงทุน 7,170 ล้านบาท) รวมถึงมีการจ้างงานคนไทยจากนักลงทุนที่ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวเพิ่มขึ้น 55 ราย (32%) (เดือน ม.ค.68 จ้างงาน 227 คน / เดือน ม.ค.67 จ้างงาน 172 คน) โดยจำนวนนักลงทุนที่เข้ามาสูงสุดยังคงเป็นนักลงทุนญี่ปุ่นเช่นเดียวกับปีก่อน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อธิบดีอรมน กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติ เดือนมกราคม 2568 มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 29 ราย คิดเป็นร้อยละ 28 ของจำนวนนักลงทุนต่างชาติในไทย เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2567 จำนวน 12 ราย (71%) (เดือน ม.ค.68 ลงทุน 29 ราย / เดือน ม.ค.67 ลงทุน 17 ราย) มูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 12,329 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 53 ของเงินลงทุนทั้งหมด เป็นนักลงทุนจากประเทศ * ญี่ปุ่น 11 ราย ลงทุน 5,574 ล้านบาท * จีน 6 ราย ลงทุน 1,775 ล้านบาท * สิงคโปร์ 3 ราย ลงทุน 1,610 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ 9 ราย ลงทุน 3,370 ล้านบาท โดยธุรกิจที่ลงทุน อาทิ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ธุรกิจค้าปลีกแม่พิมพ์โลหะและจิ๊ก (JIG) สำหรับใช้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ธุรกิจบริการตรวจสอบและสอบเทียบอุปกรณ์การตรวจจับการรั่วไหลของแก๊ส &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น แม่พิมพ์และชิ้นส่วนแม่พิมพ์ ชิ้นส่วนเหล็กขึ้นรูป อะไหล่ และส่วนประกอบรถยนต์ เป็นต้น ภาพ:&nbsp;กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/moc-import-export-jan-2025" alt="พาณิชย์เผย ดัชนีราคาส่งออกไทย เดือน ม.ค. 68 ยังสูงขึ้น 1.0%YoY ตามประเทศคู่ค้าที่ทยอยฟื้นตัว">พาณิชย์เผย ดัชนีราคาส่งออกไทย เดือน ม.ค. 68 ยังสูงขึ้น 1.0%YoY ตามประเทศคู่ค้าที่ทยอยฟื้นตัว</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ต่างชาติลงทุนไทยพุ่ง! กรมพัฒนาธุรกิจฯ เผยเฉพาะเดือน ม.ค. 68 แตะ 23,160 ล้าน โต 223%YoY

<h2>สกพอ. - เอชเอสบีซี ประเทศไทย ร่วมกันลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ เพื่อดึงดูดการลงทุนระดับโลก หวังดึงเงินลงทุนต่างชาติเข้าสู่พื้นที่อีอีซี ตามเป้าหมายของสกพอ. ที่ 500,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี โดยมีอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สำคัญ 5 คลัสเตอร์ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ อุตสาหกรรมสีเขียว BCG และอุตสาหกรรมบริการ</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการ อีอีซี กล่าวว่า “เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ถือเป็นกลไกที่สำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย เป้าหมายหลักคือ การสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการลงทุนที่มีมูลค่าสูง และเชื่อมโยงไปถึงพื้นที่และชุมชน ที่ผ่านมา การลงทุนจากต่างประเทศมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาในพื้นที่อีอีซีเป็นอย่างมาก การขยายขีดความสามารถของพื้นที่และระบบบริหารจัดการที่เอื้อต่อการลงทุนเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเติบโตของอีอีซี การผนึกกำลังร่วมกับธนาคารเอชเอสบีซี ซึ่งเป็นสถาบันทางการเงินที่มีความเชี่ยวชาญและเครือข่ายที่แข็งแกร่งใน 58 ประเทศและเขตดินแดน จะเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนการลงทุนจากทั่วโลก และเชื่อมโยงอีอีซี กับองค์กรชั้นนำระดับนานาชาติ”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ภายใต้การบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ในครั้งนี้ ทั้งสององค์กรจะร่วมมือในการแสวงหานักลงทุนที่มีศักยภาพ อำนวยความสะดวกในการลงทุนผ่านโครงการต่าง ๆ และอาศัยความแข็งแกร่งของเครือข่ายธุรกิจระดับนานาชาติของธนาคารเอชเอสบีซี เพื่อปลดล็อคโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ โดยในปี 2568 ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย จะให้การสนับสนุนในกิจกรรมโรดโชว์เพื่อส่งเสริมการลงทุนสู่พื้นที่อีอีซีในระเบียงเศรษฐกิจที่สำคัญ อาทิ จีน สิงคโปร์ ยุโรป ไต้หวัน และญี่ปุ่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่างทั้งสององค์กร มีเป้าหมายที่จะสนับสนุน สกพอ.ในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจริงในพื้นที่รวม 5 แสนล้านบาท ภายใน 5 ปี พร้อมขับเคลื่อนการเติบโตในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สำคัญ 5 คลัสเตอร์ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ อุตสาหกรรมสีเขียว BCG และอุตสาหกรรมบริการ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของไทยในการเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานของโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายจอร์โจ กัมบา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและหัวหน้ากลุ่มลูกค้าธุรกิจ ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย กล่าวถึงความมุ่งมั่นของธนาคารในการสนับสนุนเป้าหมายของการลงทุนในประเทศไทยว่า “ในขณะที่ธุรกิจระหว่างประเทศยังคงปรับแผนด้านห่วงโซ่อุปทานอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยกำลังได้รับความสนใจในการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ และอีโคซิสเต็มในด้านการผลิตที่ครอบคลุม ในปี 2567 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการลงทุนจากต่างประเทศที่ได้รับอนุมัติเป็นมูลค่ารวมราว 7.27 แสนล้านบาท ถือเป็นสถิติยอดการลงทุนสูงสุดในรอบ 20 ปี และอีอีซีถือเป็นศูนย์กลางของการเติบโตนี้ โดย 78% ของมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเป็นการลงทุนในพื้นที่อีอีซี (ราว 5.68 แสนล้านบาท) สะท้อนถึงบทบาทของอีอีซีในฐานะแรงขับเคลื่อนหลักของกลยุทธ์การลงทุนของประเทศไทย โดยอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุด ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (2.56 แสนล้านบาท) อุตสาหกรรมดิจิทัล (9.5 หมื่นล้านบาท) และยานยนต์แห่งอนาคต (8.7 หมื่นล้านบาท)”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธนาคารเอชเอสบีซี เล็งเห็นถึงแนวโน้มความสนใจของธุรกิจจีนในการขยายกิจการสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากจำนวนขององค์กรธุรกิจจีนที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในอาเซียนผ่านเครือข่ายของธนาคารในปี 2566 ที่เพิ่มขึ้น 80% จากปีก่อนหน้า โดยประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในจุดหมายการลงทุนที่สำคัญ ทั้งนี้ แม้การลงทุนจากประเทศจีนจะครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม แต่อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการลงทุนสูงที่สุด คือ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งมีมูลค่ารวมนับตั้งแต่ปี 2561 จนถึงไตรมาสสามปี 2567 ราว 2.75 แสนล้านบาท นอกจากนี้ ประเทศไทยยังประสบความสำเร็จในการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศในธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ เนื่องจากมีแหล่งพลังงานที่มั่นคงเพียงพอ และมีเศรษฐกิจดิจิทัลที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยล่าสุด สกพอ.ยังได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือด้านการลงทุนในเศรษฐกิจดิจิทัลที่หลากหลายยิ่งขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ อินเดีย และตะวันออกกลาง ยังถือเป็นระเบียงการลงทุนที่สำคัญสำหรับประเทศไทยด้วยเช่นกัน ด้วยความสัมพันธ์ทางการค้าที่แข็งแกร่งและโอกาสจากการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกัน โดยเครือข่ายธุรกิจที่แข็งแกร่งและความเชี่ยวชาญด้านการเงินของธนาคารเอชเอสบีซีในประเทศเหล่านี้ จะช่วยดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสู่พื้นที่อีอีซีได้มากยิ่งขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เอชเอสบีซี จะอาศัยความเชี่ยวชาญของธนาคารฯ ในการเชื่อมโยงการลงทุนระหว่างประเทศ เข้ามาสนับสนุน สกพอ. ในการเข้าถึงกลุ่มนักลงทุนจากทั่วโลก โดยเฉพาะจากระเบียงเศรษฐกิจสำคัญที่สอดคล้องกับเป้าหมายด้านเศรษฐกิจของประเทศไทย ผ่านการนำเสนอโซลูชันด้านการเงินที่ครบวงจร อำนวยความสะดวกในการเริ่มดำเนินธุรกิจ และเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการลงทุน เราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ความร่วมมือกับ สกพอ. ในครั้งนี้จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลก กระตุ้นการจ้างงานทักษะสูง และบรรลุเป้าหมายในการเสริมศักยภาพในการแข่งขันในระดับนานาชาติ ตลอดจนเสริมความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของไทยต่อไปในอนาคต” นายกัมบา กล่าว ภาพ:&nbsp;ธนาคารเอชเอสบีซี​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/other/news/%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b8%b4%e0%b8%94%e0%b9%81%e0%b8%9c%e0%b8%99%e0%b8%9a%e0%b8%b9%e0%b8%a1-%e0%b8%ad%e0%b8%b5%e0%b8%ad%e0%b8%b5%e0%b8%8b%e0%b8%b5-%e0%b8%94%e0%b8%b6%e0%b8%87%e0%b8%a5%e0%b8%87%e0%b8%97" alt="เปิดแผนบูม อีอีซี ดึงลงทุน 2 ล้านล้าน">เปิดแผนบูม อีอีซี ดึงลงทุน 2 ล้านล้าน</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

สกพอ. - เอชเอสบีซี ประเทศไทย ลง MOU หวังดึงเงินลงทุนนอกสู่พื้นที่อีอีซี หนุนเป้า 5 แสนล้าน ใน 5 ปี

<h2>ปัญหาเชิงโครงสร้างของไทยที่หลายฝ่ายต่างพูดถึงคือ การลงทุนต่างชาติยังไม่กลับมาเท่าในอดีต ขาดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและพัฒนาผลิตภัณฑ์โลกใหม่ ดังนั้น หนึ่งในตัวเลขที่หลายฝ่ายจับตามองคือ นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนเท่าไร ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยตัวเลขต่างชาติลงทุนในไทยเดือน ก.ค. 67 และ 7 เดือนแรก ปี 2567 ที่ยังเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เดือน ก.ค. 2567 มีการอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จำนวน 75 ราย แบ่งเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวจำนวน 18 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 57 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 9,499 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ มีนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 3 อันดับแรก ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1) ญี่ปุ่น 14 ราย เงินลงทุน 3,861 ล้านบาท &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2) สหรัฐอเมริกา 9 ราย เงินลงทุน 2,230 ล้านบาท &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3) จีน 10 ราย เงินลงทุน 1,122 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ ช่วง 7 เดือนแรก (ม.ค. - ก.ค. 2567) อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยตามพระราชบัญญัติฯ จำนวน 460 ราย เพิ่มขึ้น 84 ราย (คิดเป็น 22%) เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 (YoY) และเกิดเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 90,987 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54%YoY&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก (เรียงตามจำนวนผู้เข้ามาลงทุน) ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1) ญี่ปุ่น 117 ราย เงินลงทุน 47,879 ล้านบาท &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2) สิงคโปร์ 71 ราย เงินลงทุน 7,486 ล้านบาท &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3) สหรัฐอเมริกา 70 ราย เงินลงทุน 3,470 ล้านบาท &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4) จีน 51 ราย เงินลงทุน 7,120 ล้านบาท &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;5) ฮ่องกง 35 ราย เงินลงทุน 12,131 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ทางกระทรวงพาณิชย์ยังมีรายงานเจาะลึกใน ‘ธุรกิจสมุนไพรไทย’ ที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดีโดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศ เนื่องจากสินค้าของไทยได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติ จากข้อมูลพบว่า มีนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนธุรกิจสมุนไพรในประเทศไทยมีมูลค่าการลงทุน 38,707.25 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนในกลุ่มขายปลีก/ขายส่งมากที่สุด มูลค่าการลงทุน 34,042.05 ล้านบาท ทั้งนี้ ประเทศที่เข้ามาลงทุนในธุรกิจสมุนไพรสูงสุด 3 อันดับคือ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สหรัฐอเมริกา เงินลงทุน 11,809.12 ล้านบาท&nbsp; &nbsp; - ญี่ปุ่น 5,082.04 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สิงคโปร์ 3,274.73 ล้านบาท&nbsp; เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/electrolux-opened-head-office-in-bangkok" alt="เพราะไทยคือตลาดหลัก! อีเลคโทรลักซ์ ประกาศเปิดสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ประจำภูมิภาค ที่กรุงเทพฯ">เพราะไทยคือตลาดหลัก! อีเลคโทรลักซ์ ประกาศเปิดสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ประจำภูมิภาค ที่กรุงเทพฯ</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ต่างชาติลงทุนไทย 7 เดือนแรกปีนี้แตะ 90,987 ล้านบาท เพิ่ม 54% ‘อันดับ 1 ญี่ปุ่น’ ส่วนจีน-ฮ่องกงเข้าลงทุน 19,251 ล้านบาท

<h2>ผ่านพ้นครึ่งแรกปี 2567 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า นักลงทุนต่างชาติลงทุนในไทย 81,487 ล้านบาท ญี่ปุ่นลงทุนอันดับหนึ่ง 44,018 ล้านบาท ตามด้วย ฮ่องกง 12,062 ล้านบาท และสิงคโปร์ 7,379 ล้านบาท จ้างงานคนไทยกว่า 1,852 คน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 เปิดเผยว่า ครึ่งปีแรกของปี 2567 (มกราคม-มิถุนายน) มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 จำนวน 385 ราย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 106 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) จำนวน 279 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 81,487 ล้านบาท จ้างงานคนไทย 1,852 คน โดยชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อันดับที่ 1 ญี่ปุ่น 103 ราย คิดเป็น 27% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 44,018 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อันดับที่ 2 สิงคโปร์ 63 ราย คิดเป็น 16% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 7,379 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อันดับที่ 3 สหรัฐอเมริกา 60 ราย คิดเป็น 16% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 1,223 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อันดับที่ 4 จีน 42 ราย คิดเป็น 11% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติ มีเงินลงทุน 5,997 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อันดับที่ 5 ฮ่องกง 31 ราย คิดเป็น 8% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย มีเงินลงทุน 12,062 ล้านบาท<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/07/Tde69saVztHPgaJCmEMy.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="Tde69saVztHPgaJCmEMy.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,406" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การเข้ามาประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวในไทยในช่วงที่ผ่านมาโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมข้างต้น มีส่วนช่วยในการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้านจากประเทศผู้เข้ามาลงทุนให้แก่คนไทย เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับการบำรุงรักษาระบบผลิตและจ่ายไฟฟ้ากำลัง องค์ความรู้เกี่ยวกับการติดตั้ง Internet Broadband องค์ความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของเครื่องกำเนิดไอน้ำ องค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีอุปกรณ์จับยึดชิ้นงาน เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน พบว่า การอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ม.ค. - มิ.ย. ปี 2567 อยู่ที่ &nbsp;385 ราย&nbsp;เพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 59 ราย ถือว่าเพิ่มขึ้น 18% (โดยจำนวนนักลงทุนที่เข้ามาสูงสุดยังคงเป็นนักลงทุนญี่ปุ่นเช่นเดียวกับปีก่อน) &nbsp; &nbsp; ขณะที่ด้านมูลค่าการลงทุนเดือน ม.ค. - มิ.ย. 67 อยู่ที่ 81,487 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 67% จากช่วงเดียวกันของปี 66 ด้านการจ้างงานคนไทยเดือน ม.ค. - มิ.ย. 67 อยู่ที่ 1,852 คน ลดลง 1,370 ราย (หรือคิดเป็นลดลง 43%&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp; เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/kasemrad-aims-2024-kps-revenue-200-millions-baht" alt="‘เกษมราษฎร์’ เซ็นลงนามกับ KCCS เกาหลี ตั้งเป้าปี 67 ศูนย์ศัลยกรรมความงาม KPS รายได้โต 200 ล้าน"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/ktb-1-h-july-2024" alt="กรุงไทยเผยกำไรสุทธิครึ่งปีแรก 67 อยู่ที่ 22,274 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.1%YoY เหตุรายได้ดอกเบี้ยเพิ่ม"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/1-h-2024-thaibanks-balancesheet" alt="เปิดกำไรสุทธิ 7 ธนาคารไทยครึ่งปีแรก 2567">เปิดกำไรสุทธิ 7 ธนาคารไทยครึ่งปีแรก 2567</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ครึ่งปีแรก 67 ต่างชาติลงทุนในไทย 81,487 ล้านบาท ญี่ปุ่นยังครองอันดับหนึ่ง

ttb analytics แนะรัฐ คิดให้ดี! กรณีขยายให้ต่างชาติซื้อคอนโดฯ 75% เสี่ยงทำราคาคอนโดพุ่ง คนไทยยุคต่อไปซื้อไม่ได้

<h2>ปัจจุบันคนไทยต้องเผฃิญกับความเหลื่อมล้ำในหลายมิติ หนึ่งในนั้นคือ ปัญหาการครอบครองที่ดิน ที่คนไทยในหลายกลุ่มไม่มีที่ดินทำกิน หรือ ราคาบ้าน คอนโดมิเนียมที่แพงขึ้นจนคนไทยเข้าถึงได้ยาก แต่กลับเห็นรัฐบาลในหลายยุค พยายามจะเปิดช่องให้ต่างฃาติเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ ไปจนถึงที่ดินของไทย</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างในปี 2565 ที่รัฐบาลชุดพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนต่างด้าว ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย พ.ศ. .... ซึ่งหมายถึงกลุ่มคนต่างชาติ 4 กลุ่มที่กำหนดจะได้รับสิทธิครอบครองที่ดินเพื่ออยู่อาศัยได้ไม่เกิน 1 ไร่ โดยต้องมีเงินลงทุนในธุรกิจ 40 ล้านบาทขึ้นไป ไม่น้อยกว่า 3 ปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในครั้งนั้น กลายเป็นกระแสวิพากวิจารณ์ในสังคมว่า กรณีนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงหรือ และจะส่งผลกระทบต่อประชาชนไทยมากแค่ไหนในระยะยาว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ล่าสุดช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลชุด ‘เศรษฐา ทวีสิน’ กลับมีข่าวที่จะขยายสิทธิที่ต่างชาติจะถือครองอสังหาฯ ในไทยเช่นกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเร่งแก้กฎหมายให้ชาวต่างด้าวเช่าที่ดินเพิ่มเป็น 99 ปี - ซื้อคอนโดเพิ่มเป็น 75% ว่าเป็นข้อเสนอแนะจากกระทรวงการคลังขึ้นมาเพื่อเป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ&nbsp;ส่วนหนึ่งคือการให้ชาวต่างชาติเช่าระยะยาว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ตรงนี้เป็นวิธีการกระตุ้นเศรษฐกิจ คิดว่าคงไม่กระทบอะไร เพราะเรื่องการเช่าระยะยาว เช่นนี้มีอยู่แล้ว” เศรษฐา กล่าว<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/aG9nWrxG3TYcVnSMctpz.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="aG9nWrxG3TYcVnSMctpz.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"><figcaption><div>​นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี​</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า เป็นร่างฯ ที่เคยถูกพับแผนไปแล้วใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เข้าใจว่าเรื่องที่ถูกพับโครงการไปคือเรื่องการขายที่ดิน ซึ่งอันนี้เป็นประเด็นใหญ่มากกว่าและเราไม่ได้เสนอตรงนี้เข้ามา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ปัจจุบัน (การเปิดให้ชาวต่างด้าวเช่าที่ดิน) มีกฎหมายอยู่แล้วประมาณ 30 ปี หรือ 50 ปี + 50 ปี แต่เราคิดว่าถ้าเกิดจะให้เป็นธรรมไป 99 ปีจะดีกว่า ซึ่งไม่ได้เป็นการขายขาด หรือให้กับใครและในทุกๆ ประเทศก็มีลักษณะเช่นนี้อยู่แล้ว ที่ให้ชาวต่างชาติเช่า 150 ปี แต่เราคิดว่า 99 ปีก็เหมาะสม” เศรษฐา กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนเรื่องการถือครองคอนโดฯ ที่ให้ชาวต่างชาติถือครองจาก 49% เป็น 75% ส่วนนี้มีรายละเอียด ว่าคนที่มีสิทธิ์โหวตได้อยู่ที่ 49% ขณธะที่ สัดส่วนการถือครองของคนไทยจะอยู่คือ 51% ซึ่งในส่วนที่ปรับขึ้นจาก 49% ไปเป็น 75% นั้นตรงนี้ ไม่มีสิทธิ์โหวต หรือออกเสียงใดๆ เพียงแต่เข้ามาอยู่อาศัยได้เท่านั้น ภาพถ่ายโดย Mikhail Nilov: https://www.pexels.com/th-th/photo/8299703/ ​​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/tummour-laoyuan-chongdee-local-collaboration" alt="ตำมั่ว - ลาวญวน - ชงดี ผนึกกำลังคอลแล็บความอร่อย ชูไฮไลต์วัตถุดิบท้องถิ่นไทย"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/thai-people-worried-about-their-financial-situation" alt="อินไซต์ผู้บริโภคจาก NIQ คนไทยกังวลสถานะการเงิน หลายคนวางแผนลดค่าใช้จ่าย ปรับนิสัยการซื้อ">อินไซต์ผู้บริโภคจาก NIQ คนไทยกังวลสถานะการเงิน หลายคนวางแผนลดค่าใช้จ่าย ปรับนิสัยการซื้อ</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘เศรษฐา’ รับคลังเสนอให้ต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปี - ซื้อคอนโดฯ ได้ 75% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

<h2>บีโอไอเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างประเทศในไทยประจำปี 2563 นักลงทุนต่างชาติยังเชื่อมั่นศักยภาพประเทศไทย ร้อยละ 96 มีแผนขยายการลงทุนและรักษาระดับการลงทุน แม้จะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ระบุไทยมีสิทธิประโยชน์จูงใจกระตุ้นให้เกิดการลงทุน มีวัตถุดิบเพียงพอ และมีอุตสาหกรรมสนับสนุนพร้อม</h2>
ซ่อนกลิ่น พลอยมี ที่ปรึกษาด้านการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติในประเทศไทย ประจำปี 2563 โดยได้สำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 600 บริษัท พบว่าผู้ตอบแบบสำรวจร้อยละ 96 มีแผนการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง โดยร้อยละ 76.67 ยังคงรักษาระดับการลงทุน ในขณะที่ร้อยละ 19.33 มีแผนจะขยายการลงทุนเพิ่มเติม แม้จะอยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19

สำหรับปัจจัยหลักที่ทำให้นักลงทุนตัดสินใจขยายหรือรักษาระดับการลงทุนในประเทศไทยนั้น พบว่า อันดับแรก คือการมีสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนที่กระตุ้นให้ลงทุนในประเทศไทย อันดับสอง มีวัตถุดิบและชิ้นส่วน และอันดับสาม คือมีความพร้อมของอุตสาหกรรมสนับสนุน

นอกจากนี้ ผลสำรวจนักลงทุนถึงผลกระทบจากโควิด-19 พบว่า ร้อยละ 63.17 ระบุว่า ธุรกิจได้รับผลกระทบแต่ยังสามารถดำเนินธุรกิจได้ ขณะที่ร้อยละ 29.17 ระบุว่า ธุรกิจได้รับผลกระทบอย่างมาก แต่ยังสามารถดำเนินธุรกิจได้ ร้อยละ 7.5 ระบุว่า ธุรกิจไม่ได้รับผลกระทบ สามารถดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ มีเพียงร้อยละ 0.17 ที่หยุดการดำเนินธุรกิจ

“แม้สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 จะส่งผลกระทบไปทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย แต่นักลงทุนยังมีแผนขยายการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยนักลงทุนมีความเห็นว่าประเทศไทยมีปัจจัยเอื้ออำนวยหลายด้าน ทั้งวัตถุดิบและชิ้นส่วนที่เพียงพอ มีบริการด้านการสื่อสาร ระบบขนส่งและโลจิสติกส์ รวมทั้งสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่มีผลต่อการตัดสินใจลงทุน” ซ่อนกลิ่นกล่าว

ทั้งนี้ ผลสำรวจระบุด้วยว่า มาตรการส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอที่นักลงทุนใช้และคาดว่าจะใช้มากที่สุด คือ มาตรการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ร้อยละ 44.86 อันดับสอง คือมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ร้อยละ 37.74 และอันดับสาม คือมาตรการกระตุ้นการลงทุน ร้อยละ 31.45

สำหรับผลการสำรวจความพึงพอใจต่อการบริการของบีโอไอ พบว่านักลงทุนต่างชาติมีความพึงพอใจค่อนข้างมากเกือบทุกด้าน รวมทั้งนักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่รับทราบถึงการให้บริการของบีโอไอผ่านระบบออนไลน์ โดยบริการที่ใช้มากที่สุด ร้อยละ 75.94 คือระบบรายงานผลประกอบการและรายงานความคืบหน้าของโครงการ รองลงมา คือระบบตรวจสอบสถานภาพเอกสารทางอินเทอร์เน็ต และการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์สำหรับงานสิทธิประโยชน์ด้านวัตถุดิบ

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนมีความเห็นเพิ่มเติมว่ารัฐบาลไทย รวมทั้งบีโอไอควรมีการดำเนินการต่างๆ เพื่อสร้างบรรยากาศการลงทุนให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น การปรับปรุงระบบราชการให้มีประสิทธิภาพ การยกเลิกใบอนุญาตหรือกระบวนการต่างๆ ที่ไม่จำเป็น การมีแนวทางการรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ที่ชัดเจน เป็นต้น

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/scb-abacus-%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%AB%E0%B8%99.html">SCB Abacus แนะจับมือพาร์ทเนอร์หนุนนวัตกรรมการเงิน</a>
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>

นักลงทุนต่างชาติเชื่อมั่นไทย ร้อยละ 96 พร้อมเดินหน้าลงทุน

<h2>บริษัท เอกซ์พารา ประเทศไทย หรือ (EXPARA Thailand) ผู้ประกอบการธุรกิจสนับสนุนการเงิน และการลงทุนด้านนวัตกรรม ให้แก่บริษัทหน้าใหม่หรือสตาร์ทอัพ ได้รับ การแต่งตั้งให้เป็นพันธมิตรกับ Youth Business International (YBI) เครือข่ายองค์กรธุรกิจนานาชาติ จากประเทศอังกฤษ</h2>
การแต่งตั้งดังกล่าวเป็นการดำเนินการจัดแคมเปญ ‘การรับมือและฟื้นฟูธุรกิจอย่างเร่งด่วน’ หรือ ‘Rapid Response And Recovery Programme’ เพื่อช่วยผู้ประกอบการ ธุรกิจสตาร์ทอัพ และธุรกิจรายย่อยใน ประเทศไทย ให้สามารถรับมือ ปรับตัว และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หลังการผ่านพ้นของสถานการณ์การแพร่ ระบาดโควิด-19 โดยแคมเปญนี้ได้รับเงินลงทุนสนับสนุนจากหน่วยงานการกุศล Google.org

เศรษฐกิจโลกได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด อันเนื่องมาจากวิกฤตโควิด-19 ทั้งธุรกิจรายย่อย และธุรกิจขนาดกลาง ต่างได้รับผลกระทบร้ายแรงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าของธุรกิจ และผู้ประกอบการ ตลอดจนเยาวชนอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปที่กำลังดิ้นรนกับวิกฤตที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ และต่างรอรับการสนับสนุนและช่วยเหลืออยู่

Douglas Abrams กรรมการผู้จัดการบริษัท เอกซ์พารา ประเทศไทย กล่าวว่า “การระบาดครั้งใหญ่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในปี 2563 นี้ ได้สร้างความเจ็บปวดและความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมากในประเทศไทยและทั่วโลก และตอนนี้...ในขณะนี้คลื่นลูกแรกของการแพร่ระบาดในประเทศไทยกำลังจะหมดไป เราไม่เพียงแต่จะต้องสร้างสิ่งที่เคยเสียหายหรือถูกทำลายขึ้นมาใหม่ แต่ต้องใช้โอกาสนี้เพื่อสร้างชีวิตวิถีใหม่ (New normal) ที่ดีกว่า สร้างปี 2564 ที่กำลังจะมาถึงให้ดีกว่าที่เราเคยมีให้เหมือนว่าการระบาดครั้งนี้ไม่เคยเกิดขึ้น

และถึงแม้ว่าผลกระทบต่อการหยุดชะงักทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น จะเลวร้ายมากเพียงใด...ให้โครงการของเรา ได้สนับสนุน ช่วยเหลือ และมอบโอกาสในการการพัฒนา ศักยภาพครั้งใหม่ ผ่านการอบรมศึกษาและเรียนรู้ด้านความท้าทายของนวัตกรรม รวมถึงการให้คำแนะนำ ปรึกษาที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ สตาร์ทอัพ และธุรกิจรายย่อยในประเทศไทยโดยเฉพาะ”

Douglas ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “พวกเรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่จะมีโอกาสทำงานร่วมกับ ผู้เชี่ยวชาญของ Google ที่เข้าร่วมโครงการอาสาสมัคร เพื่อถ่ายทอดความรู้ ให้แก่ผู้ประกอบการและเจ้าของธุรกิจ ในการพัฒนาทักษะ และปรับตัวเพื่อรับมือกับ วิกฤตเศรษฐกิจนี้ รวมถึงเครือข่ายองค์กรที่คร่ำหวอดด้านประสบการณ์อย่าง YBI ที่ได้สนับสนุนธุรกิจขนาด กลางและขนาดเล็กมากว่า 200,000 ราย ในกว่า 32 ประเทศทั่วโลก”

ด้าน Anita Tiessen ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) Youth Business International กล่าวว่า “ในแต่ละวันโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จึงน่าเห็นใจเจ้าของธุรกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจ ขนาดเล็กที่มาจากชุมชนด้อยโอกาส ไม่สามารถแบกรับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากวิกฤตครั้งนี้ได้ และด้วย ความท้าทายเหล่านี้ จึงเป็นแรงผลักดันไปสู่เหล่าเครือข่ายของเรา จนได้รับการตอบรับอย่างรวดเร็ว ในการ สนับสนุนเจ้าของธุรกิจทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบ ด้วยความเชื่อมั่นว่า YBI ภายใต้การสนับสนุนครั้งใหม่ของ Google.org นั้น จะสามารถช่วยรักษาและสนับสนุนธุรกิจกว่า 200,000 รายไปตลอดปี 2563-2564”

Rowan Barnett Head of Google.org, EMEA &amp; APAC กล่าวสรุปทิ้งท้ายว่า “ไวรัสโคโรนาคือวิกฤตที่ส่งผลร้ายแรงต่อทั้งชีวิต ชุมชน และธุรกิจ ในสถานการณ์ที่บีบบังคับให้ต้องเผชิญ กับความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่แบบไม่ทันตั้งตัวและไม่เคยมีมาก่อน และในขณะที่พวกเขาต้องดิ้นรนเพื่อให้ รอดพ้นจากวิกฤตนี้...เราหวังว่าการมอบทุนให้กับ Youth Business International ควบคู่ไปกับการริเริ่ม และสร้างสรรผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ Google จะเป็นอีกแรงสนับสนุนที่ช่วยธุรกิจที่ได้รับผลกระทบสามารถ หาทางผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้ไปได้”

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/hr/seac-%e0%b9%80%e0%b8%9c%e0%b8%a2%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%97%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%97%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%98%e0%b8%b8%e0%b8%a3%e0%b8%81%e0%b8%b4%e0%b8%88%e0%b8%81%e0%b8%b2.html">SEAC เผยความท้าทายธุรกิจการเรียนรู้ไทย หลังตกผนึกความคิดจากวิกฤตโควิด-19</a>

<hr />

ไม่พลาดบทความด้านกลยุทธ์องค์กรและธุรกิจ ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>
และ <a href="https://twitter.com/Forbes_TH">ทวิตเตอร์ Forbes Thailand</a>

EXPARA ผนึกกำลัง YBI ภายใต้การลงทุนจาก GOOGLE.ORG

"นักลงทุนจีน" ครองกลุ่มต่างชาติรายใหญ่สุดผู้ซื้ออสังหาฯไทยปี 2562

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยได้รับความสนใจจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาอะไรคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้บริษัทญี่ปุ่นและ MitsubishiEstate Group สนใจตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย

ไทยเป็นประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเราคาดหวังว่าจะยังคงรักษาระดับการเติบโตเช่นนี้ได้ต่อไป โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ เราเห็นการย้ายถิ่นของประชากรจากต่างจังหวัดเข้ามาอยู่อาศัยในกรุงเทพฯ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งนำไปสู่การเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดอสังหาริมทรัพย์เราจึงมองว่าตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ มีการเติบโตที่น่าสนใจ น่าเข้ามาลงทุน บริษัทอสังหาริมทรัพย์ญี่ปุ่นอื่นๆ ก็มีความเห็นเหมือนกับเรา ดังนั้น เราจึงเห็นบริษัทญี่ปุ่นหลายแห่งเข้ามาลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย

สิ่งใดคือปัจจัยที่ Mitsubishi Estate Group ใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาว่าจะเข้าไปลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเทศใด

ปัจจัยสำคัญข้อแรกเลยก็คือการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่เรามองหาลู่ทางเข้าไปลงทุนนอกจากนั้น เรายังให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดความรู้และความเชี่ยวชาญของเราที่สั่งสมจากการดำเนินธุรกิจในญี่ปุ่นด้วย อย่างไรก็ตามในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เรายังเห็นว่าความเข้าใจกฎระเบียบและประเพณีปฏิบัติในการดำเนินธุรกิจในแต่ละประเทศก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นเราจึงเห็นว่าการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพันธมิตรภายในประเทศเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญ

ในแต่ละปีหรือแต่ละช่วงเวลา Mitsubishi Estate Group ได้ตั้งงบลงทุนในต่างประเทศไว้ที่เท่าไร

งบลงทุนในต่างประเทศของ Mitsubishi Estate Group รวม 3 ปี (2018-2020) อยู่ที่ 4 แสนล้านเยน (ประมาณ 1.17 แสนล้านบาท) โดยเป็นงบลงทุน ในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ยุโรป จีน และประเทศอื่นๆ ในอาเซียน

Mitsubishi Estate Group พอจะเรียงลำดับขนาดเม็ดเงินลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศได้หรือไม่

เรามีการลงทุนในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักรฝรั่งเศส เยอรมนี จีน ไต้หวัน สิงคโปร์ เวียดนามมาเลเซีย อินโดนีเซีย เมียนมา ออสเตรเลีย และไทย โดยสหรัฐอเมริกาจะมีการลงทุนที่มากที่สุดอันดับ 2 คือสหราชอาณาจักร และในอนาคตเรามีแผนจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในเอเชียให้มากขึ้นเนื่องจากเห็นว่าตลาดเอเชียมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว

งบลงทุนในประเทศไทยอยู่ที่เท่าไร คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของงบลงทุนในต่างประเทศทั้งหมด

แม้จะไม่สามารถระบุตัวเลขการลงทุนโดยรวมและสัดส่วนงบลงทุนได้อย่างชัดเจน แต่พอจะบอกได้ว่า เรายังคงถือว่าไทยเป็นเป้าหมายหลักในการลงทุนของเราประเทศหนึ่ง ซึ่งเรากับ บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) มีแผนจะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมด้วยกันหลายโครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ2 หมื่นล้านบาทต่อปี

Mitsubishi Estate Group คาดหวังอะไรจากการเข้ามาลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทย และการเป็นพันธมิตรร่วมลงทุนกับ บมจ.เอพี (ไทยแลนด์)

โดยรวมๆ แล้วเราค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้จากการร่วมลงทุนกับเอพีฯ ตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา ซึ่งเราอยากจะเดินหน้าทำงานร่วมกับเอพีฯ ต่อไปในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมเพื่อป้อนตลาดอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ในอนาคต เรามีเป้าหมายที่จะขยับขยายพื้นที่ทำเลในการพัฒนาโครงการออกไปจากย่านใจกลางของกรุงเทพฯ อีกเล็กน้อยรวมทั้งจะเพิ่มความหลากหลายให้กับรูปแบบของคอนโดมิเนียมที่จะพัฒนาป้อนตลาดอีกด้วย

Mitsubishi Estate Group ได้เรียนรู้อะไรบ้างจากการร่วมลงทุนและตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย

เราพบว่ามีความคล้ายคลึงกันบางอย่างในส่วนของการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในญี่ปุ่น ซึ่งเมื่อได้มีการแลกเปลี่ยนความรู้ ความเชี่ยวชาญกันไปในระยะหนึ่ง เราก็ได้เรียนรู้ว่ามันมีกฎระเบียบและประเพณีปฏิบัติในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ที่เป็นลักษณะเฉพาะตัว เราจึงตั้งใจที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์กับเอพีฯ ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นและเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากพวกเขาคุณคิดว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยได้ประโยชน์อะไรบ้างจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ญี่ปุ่นได้มีการแบ่งปันองค์ความรู้ในด้านต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการก่อสร้างที่นำมาสู่โครงการที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพในประเทศไทย

สำหรับ Mitsubishi Estate Group ความเสี่ยงและโอกาสในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยมีอะไรบ้าง

ความเสี่ยงที่เราเห็นมีอยู่ 2 อย่างอย่างแรกคือ ตลาดคอนโดมิเนียมมีการแข่งขันสูง จำนวนโครงการใหม่มีการพัฒนาออกมาเรื่อยๆ ทั้งจากผู้ประกอบการในไทยเอง และโครงการร่วมทุนจากต่างประเทศความเสี่ยงอีกอย่างก็คือ ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จึงมีความจำเป็นต้องมีความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน ต้องปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนเปลงไม่หยุดนิ่ง ตามสภาวะเศรษฐกิจของประเทศและไลฟ์สไตล์ของคนไทย

มีโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นใดบ้างที่ Mitsubishi Estate Group สนใจอยากจะลงทุนในประเทศไทยในอนาคตและเพราะเหตุใด

เรามีความสนใจในการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภทในประเทศไทยเนื่องจากเห็นว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยมีอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งและคิดว่าจะเติบโตต่อเนื่องสม่ำเสมอต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ เรายังเชื่อว่าเราจะนำความรู้ความชำนาญที่เรามีมาพัฒนาสร้างสรรค์โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพให้กับคนไทย

โดย บุญธร ศิริสวาสด์

<hr />

<a href="https://goo.gl/v8EUUx">ติดตามการลงทุนและการใช้ชีวิตรอบโลกได้ที่ ForbesLife Magazine ฉบับพิเศษประจำเดือน พฤศจิกายน 2560 ได้ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="https://goo.gl/v8EUUx"><img style="width: 250px; height: 299px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/f3ee0a4e88af6a503516f19b34a932df.png" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events