<h2>เอเซอร์ เร่งขยายธุรกิจรับตลาดคอมพิวเตอร์อิ่มตัว สร้างแบรนด์ “Predator” รุกตลาดเครื่องดื่มสำหรับนักเล่นเกม รับเทรนด์กีฬาอีสปอร์ตมาแรงทั่วโลก พร้อมปลุกสังเวียนสมรภูมิ “Thailand Predator League 2022” ชิงรางวัล 14 ล้านบาท พัฒนาอาชีพอีสปอร์ตในประเทศไทยเติบโตต่อเนื่อง</h2>
นิธิพัทธ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดคอมพิวเตอร์ในประเทศไทย ค่อนข้างอิ่มตัว โดยปี 2564 ที่ผ่านมา มียอดจำหน่ายประมาณ 2.8 ล้านเครื่อง และปีนี้คาดว่ายอดจำหน่ายจะลดลงร้อยละ 5–10 แต่คอมพิวเตอร์เกมมิ่งเป็นกลุ่มที่ยังเติบโตต่อเนื่องในช่วงสถานการณ์โควิด 2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากเทรนด์การเติบโตของอีสปอร์ตทั่วโลก ทำให้ยอดขายผลิตภัณฑ์เกมมิ่งของเอเซอร์ ภายใต้แบรนด์ “Predator” เติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5 เป็น 30

“การเติบโตของเทรนด์อีสปอร์ตทั่วโลก เป็นปัจจัยที่ช่วยยกระดับมูลค่าของตลาดสินค้าไอที โดยในปี 2020 วงการอีสปอร์ตสร้างรายได้ทั่วโลกรวมกว่า 1,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีจำนวนผู้รับชมในปีเดียวกันทั่วโลก 495 ล้านคน รวมถึงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็น 646 ล้านคนในปี 2023 ขณะที่ประเทศไทยมีตลาดอีสปอร์ตใหญ่เป็นอันดับท็อป 20 ของโลก จึงทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ด้านอีสปอร์ตเติบโตมากยิ่งขึ้น”

<img class="alignnone size-full wp-image-66905" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/08/Predator_0802.jpg" alt="" width="650" height="433" />
<h3>ขยายธุรกิจตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์</h3>
อย่างไรก็ตาม นิธิพัทธ์ มองว่า เทรนด์ของผลิตภัณฑ์เกมมิ่งจะอิ่มตัวภายใน 1–2 ปีนี้ ซึ่งนโยบายของบริษัทแม่มุ่งขยายผลิตภัณฑ์กลุ่มใหม่ๆ ที่เรียกว่า New Lifestlye Business เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภค โดยล่าสุดได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ “PredatorShot Energy Drink” เครื่องดื่มชูกำลังที่มีส่วนผสมของวิตามิน A ช่วยบำรุงสายตา และ “PredatorShot Vitamin Drink” 2 รสชาติ คือ Active Berry ที่มีส่วนผสมของวิตามิน A และ B ช่วยดูแลสายตา บำรุงสมอง รวมถึง Refresh Muscat ที่มีส่วนผสมของวิตามิน A  และ C ช่วยเสริมภูมิต้านทาน กระตุ้นสมอง ช่วยดูแลเกมเมอร์ที่ใช้สายตาบนหน้าจอเป็นเวลานาน ตอบโจทย์เกมเมอร์ยุคใหม่ที่ใส่ใจในสุขภาพ

“ตลาดเครื่องดื่มวิตามิน และเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศไทยเป็นตลาดที่ใหญ่มาก ซึ่งเราได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเกมเมอร์อย่างแท้จริง ซึ่งมีทั้งกลุ่มเล่นเกมเป็นอาชีพ เล่นเกมเพื่อสันทนาการ รวมถึงผู้ที่ชื่นชอบดูการเล่นเกม หรือที่เรียกว่า ป๊อบคอร์น เกมเมอร์ กลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มใหญ่ และเป็นกลุ่มเป้าหมายของเครื่องดื่ม PredatorShot” นิธิพัทธ์กล่าว

ทั้งนี้ เอเซอร์ ได้วางเป้าหมายยอดขาย PredatorShot Energy Drink อยู่ที่ประมาณ 1–1.5 ล้านกระป๋องต่อปี ขณะที่ PredatorShot Vitamin Drink คาดว่าจะมียอดขาย 1–1.5 ล้านขวดต่อเดือน เนื่องจากเป็นตลาดที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างมากในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ยอดขายจากกลุ่มเครื่องดื่มคิดเป็นสัดส่วนไม่มากนัก เมื่อเทียบกับยอดขายรวมของกลุ่มเอเซอร์ ปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากกลุ่ม New Lifestlye Business ซึ่งนอกจากกลุ่มเครื่องดื่มแล้ว ยังมีเครื่องฟอกอากาศ พัดลม เครื่องดูดฝุ่น เป็นต้น มีสัดส่วนยอดขายรวมอยู่ที่ร้อยละ 5

<img class="alignnone size-full wp-image-66904" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/08/Predator_0801.jpg" alt="" width="650" height="433" />
<h3>เร่งพัฒนาวงการอีสปอร์ตไทย</h3>
นิธิพัทธ์ กล่าวว่า เอเซอร์ ถือเป็นผู้สนับสนุนวงการอีสปอร์ตมาตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ก่อนที่กีฬาอีสปอร์ตจะเป็นที่นิยมในปัจจุบัน โดยเข้าไปส่งเสริมสมาคมกีฬาอีสปอร์ตเพื่อยกระดับวงการนี้ให้เติบโต รวมถึงส่งเสริมอาชีพนักกีฬาอีสปอร์ตผ่านการเข้าไปสนับสนุนทีมนักกีฬาอีสปอร์ต 10–12 ทีมทุกปี ซึ่งปัจจุบัน นักกีฬาอีสปอร์ตมีรายได้หลักหมื่นถึงหลักแสนบาทต่อคน ซึ่งแนวโน้มอีสปอร์ตยังเติบโตต่อเนื่อง รวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น การจัดอีเวนต์ต่างๆ

โดยล่าสุด ในปี 2565 นี้ เอเซอร์ร่วมกับอินเทล ร่วมขับเคลื่อนวงการอีสปอร์ตไทย พร้อมสร้างประสบการณ์การแข่งขันบนเวทีอีสปอร์ตระดับสากลให้กับเกมเมอร์ชาวไทย ในทัวร์นาเมนต์ Thailand Predator League 2022 การแข่งขันอีสปอร์ตเกม PUBG โดยมีการเปิดรับสมัครผู้เข้าแข่งขันในวันที่ 1-28 สิงหาคม 2022 จำนวน 1,024 ทีม ทำการแข่งขันรอบ Qualifier ในวันที่ 1-4 กันยายน 2022 และแข่งขันรอบ Final ในวันที่ 8-10 กันยายน 2022 ณ ร้าน GLP (GSPEED LIVING PLUS) เพื่อหาตัวแทนประเทศไทย จำนวน 2 ทีม ไปแข่งขันในรายการ “Asia Pacific Predator League 2022” ณ ประเทศญี่ปุ่น ชิงเงินรางวัลรวม 14 ล้านบาท

เอเซอร์ เป็นบริษัทไอทีชั้นนำของโลก ที่มีสำนักงานในกว่า 160 ประเทศทั่วโลก เอเซอร์วางแผนอนาคตที่มุ่งเน้นการผนวกธุรกิจด้านฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และบริการเข้าด้วยกัน เพื่อเปิดโอกาสเข้าถึงธุรกิจใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภค ทั้งเทคโนโลยีการให้บริการ อินเตอร์เน็ตออฟธิงส์ เกมมิ่ง และวีอาร์ โดยมีพนักงานเอเซอร์กว่า 7,000 คนของเอเซอร์ที่มุ่งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/other/bbgi-%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a8%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b8%a5%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a2%e0%b8%99%e0%b8%8a%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%9a%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%a9.html">BBGI ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทในเครือ เดินหน้าสร้างมูลค่าเพิ่มธุรกิจด้วยเทคโนโลยีชีววิทยาขั้นสูง</a>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘เอเซอร์’ ขยายธุรกิจมากกว่าคอมพิวเตอร์ รับเทรนด์อีสปอร์ตรุ่ง

<h2 class="p1">ตลาดคอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊กไตรมาสแรกปี 2561 ติดลบ ขณะที่เอเซอร์ทำยอดขายโตสวนตลาดจากกลยุทธ์ชิงมาร์เก็ตแชร์กลุ่มเกมมิ่งโน้ตบุ๊กและโน้ตบุ๊กบางเบา อย่างไรก็ตาม เชื่อตลาดปีนี้สดใสมูลค่าขายโตมากกว่า 10% หลังผู้บริโภคยินดีจ่ายแพงขึ้น เอเซอร์เตรียมจัดงานอีเวนท์ใหญ่ 2-8 สิงหาคมนี้ ลดราคาสินค้า-ชิงรางวัล</h2>
นิธิพัทธ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด เปิดเผยข้อมูลตลาดคอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊กไทยปี 2561 ช่วงไตรมาสแรก ยอดขายคอมพิวเตอร์พีซีทั้งตลาดวัดตามจำนวนเครื่องติดลบ -2.44% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า ส่วนยอดขายโน้ตบุ๊กทั้งตลาดวัดตามจำนวนเครื่องติดลบ -3.22% 
อย่างไรก็ตาม เอเซอร์สามารถเติบโตสวนทางตลาด โดยมียอดขายคอมพิวเตอร์ไตรมาสแรกของปีเติบโต 13.66% และ ยอดขายโน้ตบุ๊กไตรมาสแรกเติบโต 8.87%
เฉพาะตลาดโน้ตบุ๊ก เอเซอร์เปิดเผยว่าบริษัทมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจาก 27.5% เมื่อปีก่อน เป็น 32.7% ในปีนี้ แสดงให้เห็นการเติบโตของเอเซอร์ส่วนหนึ่งมาจากการชิงมาร์เก็ตแชร์ได้เพิ่มขึ้น และยังคงเป็นอันดับ 1 ในตลาดโน้ตบุ๊กในแง่ของจำนวนขาย
 

<h2 class="p3">เกมมิ่งโน้ตบุ๊ก-Ultra Thin สินค้าชูโรง</h2>
นิธิพัทธ์ยังคาดการณ์ด้วยว่า ปี 2561 นี้ตลาดโน้ตบุ๊กน่าจะเติบโตในแง่ของจำนวนเครื่องประมาณ 5-10% เท่านั้น แต่ในแง่ของมูลค่าตลาดเชื่อว่าจะโตมากกว่า 10% เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่เริ่มเปลี่ยนเครื่องหรือซื้อเครื่องใหม่เป็นครั้งที่ 2-3 ทำให้ทราบความต้องการตนเองว่าต้องการคุณสมบัติเครื่องแบบใด และผู้บริโภคจำนวนมากตัดสินใจซื้อเป็นเกมมิ่งโน้ตบุ๊กหรือโน้ตบุ๊กบางเบาพิเศษ (Ultra Thin) ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ซึ่งโน้ตบุ๊กสองกลุ่มนี้มีราคาสูงกว่าโน้ตบุ๊กปกติ อยู่ที่ราว 25,000 บาทต่อเครื่อง
“โดยปกติสินค้าไอทีราคามักจะตกลงเรื่อยๆ แต่ปีนี้ราคาเฉลี่ยของโน้ตบุ๊กโดยรวมกลับสูงขึ้นอยู่ที่ 19,000 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1,000 บาท เพราะลูกค้าซื้อโน้ตบุ๊กกลุ่มที่ราคาแพงขึ้น”


<figure><img style="width: 638px; height: 454px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/2c87403827c39f8d57392042eb16c8b3.jpg" alt="" width="638" height="454" /><figcaption> นิธิพัทธ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด </figcaption></figure>
นิธิพัทธ์กล่าวต่อว่า โน้ตบุ๊กกลุ่มเกมมิ่งและกลุ่มบางเบายังเติบโตเร็วกว่าที่คาดไว้ด้วย โดยปัจจุบันทั้งตลาดโน้ตบุ๊กแบ่งสัดส่วนออกเป็น โน้ตบุ๊กธรรมดา 58% เกมมิ่งโน้ตบุ๊ก 18% และโน้ตบุ๊ก Ultra Thin 24% ส่วนยอดขายเฉพาะของเอเซอร์เป็นโน้ตบุ๊กธรรมดา 50% และเกมมิ่งโน้ตบุ๊กกับโน้ตบุ๊ก Ultra Thin อย่างละ 25% ซึ่งแต่เดิมเอเซอร์มองว่าเกมมิ่งโน้ตบุ๊กกับโน้ตบุ๊ก Ultra Thin จะมีสัดส่วนในยอดขายรวมอย่างละ 15% เท่านั้น
“ส่วนหนึ่งเกิดจากคอนเทนต์หรือเกมที่ผลิตมาต้องการคุณสมบัติเครื่องที่สูงขึ้นเรื่อยๆ และกระแสอี-สปอร์ตส์ที่บูมมาก อย่างปีนี้มีทัวร์นาเมนต์แข่งขันเพิ่มขึ้นถึง 60% สิ่งเหล่านี้ผลักดันให้ผู้บริโภคต้องการฮาร์ดแวร์ที่ดีขึ้นมารองรับ นำไปสู่การซื้อเครื่องที่สองสำหรับเล่นเกม หรือต้องการเปลี่ยนเป็นเครื่องที่ใช้เล่นเกมแบบ casual ได้ด้วย” นิธิพัทธ์กล่าว
ดังนั้น เอเซอร์จึงยังคงกลยุทธ์เน้นผลักดันตลาดกลุ่มเกมมิ่งโน้ตบุ๊กและโน้ตบุ๊ก Ultra Thin อย่างต่อเนื่อง เพราะนอกจากจะเป็นที่ต้องการ ยังมีกำไรที่มากกว่ากลุ่มโน้ตบุ๊กธรรมดาที่แข่งขันดุเดือดกว่า
&nbsp;
<h2 class="p1">แบรนดิ้งเจาะกลุ่มวัยรุ่น-บริการหลังขาย</h2>
สำหรับภาพรวมของแบรนด์เอเซอร์มีความสำคัญเช่นกันในการทำตลาด นิธิพัทธ์กล่าวว่า เอเซอร์มีการปรับภาพลักษณ์ใหม่มาแล้ว 2-3 ปี เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นอายุ 18-25 ปี ซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ของเกมมิ่งโน้ตบุ๊ก
“เราพยายามปรับภาพลักษณ์ให้ดูเด็กลง เพราะถ้าเราทำสเปคเครื่องดี แต่ภาพลักษณ์ดูแก่ก็ทำยอดขายไม่ได้เหมือนกัน” 
อย่างไรก็ตาม เอเซอร์ยังต้องผลักดันประเด็นนี้ต่อไปเนื่องจากค่าเฉลี่ยอายุลูกค้ายังเกินจากที่ตั้งเป้าหมายไว้
<img style="width: 638px; height: 479px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/b2f8174a10b458ccaa0cc4afee8f7b8f.jpg" alt="" width="638" height="479" />
อีกส่วนที่ให้ความสำคัญคือการบริการหลังการขาย โดยนิธิพัทธ์เปิดเผยว่าปัจจุบัน การบริการหลังการขาย เป็นปัจจัยสำคัญอันดับ 4 ในการเลือกซื้อโน้ตบุ๊ก รองจากความเร็ว แบตเตอรี่ และความทนทาน ต่างจากในอดีตที่บริการหลังการขายเป็นปัจจัยท้ายๆ ในอันดับ 7-8
ปัจจุบันศูนย์บริการหลังการขายมีศูนย์ของเอเซอร์เอง 11 แห่ง และศูนย์ที่ได้รับสิทธิดำเนินการจากเอเซอร์อีก 110 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งมองว่าเพียงพอสำหรับการบริการแล้ว แต่สิ่งที่เป็นปัจจัยหลักในการส่งซ่อมของลูกค้าคืออะไหล่ ซึ่งบริษัทมีการสต็อกอะไหล่มูลค่า 200 กว่าล้านบาทไว้ในศูนย์เอเซอร์ถนนพระราม 3 เพื่อให้มีอะไหล่พร้อมซ่อมเสร็จภายใน 3 วัน โดยไม่ต้องรอส่งอะไหล่มาจากต่างประเทศ
ทั้งนี้ เอเซอร์เตรียมจัดงาน Acer Day 2018: Play Music Together ในวันที่ 2-8 สิงหาคมนี้ ซึ่งเป็นงานประจำปีที่จัดขึ้นพร้อมกัน 14 ประเทศในเอเชียแปซิฟิก สำหรับประเทศไทยจัดขึ้นที่เซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว ภายในงานพบกับ Clearance Sale ลดสูงสุด 80%, กิจกรรมรับ Cash Back 2,000-8,000 บาทสำหรับ 100 ท่านแรกของวันที่ 2 สิงหาคม, ร่วมสนุกกิจกรรม Unlocked Game ทายรหัสถูกต้องรับโน้ตบุ๊กกลับบ้านทันที สำหรับท่านที่ไม่สะดวกร่วมงาน รับโปรโมชันผ่านตัวแทนจำหน่ายเอเซอร์ Cash Back 1,000-2,000 บาทเมื่อซื้อผลิตภัณฑ์เอเซอร์รุ่นที่กำหนด

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events