<h2>ททท.สุดปลื้ม “ลิซ่า” ลลิษา มโนบาล ตอบรับทำหน้าที่เป็นตัวแทนการท่องเที่ยวไทย “Amazing Thailand Ambassador” เพื่อถ่ายทอดเสน่ห์ของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวชั้นนํา</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. เปิดเผยว่า “การร่วมงานกับ ‘ลิซ่า’ ในฐานะ Amazing Thailand Ambassador ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการนำเสนอเสน่ห์ ความหลากหลายและความมหัศจรรย์ของเมืองไทยในมุมมองใหม่ที่จะทำให้ทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติร่วมค้นพบไปพร้อมกันกับ Amazing Thailand&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ททท. มุ่งมั่นผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่มีคุณภาพและปลอดภัย พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกอย่างอบอุ่นสะท้อนภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวท่องเที่ยวชั้นนำคุณภาพสูง (Quality Leisure Destination) และสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวที่อยากเดินทางมาสร้างความทรงจําที่มีคุณค่าและไม่รู้ลืมในทุกย่างก้าวของการเดินทาง”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/10/a5QnER8KgbCARr7pcaU6.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="a5QnER8KgbCARr7pcaU6.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="479,720" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บทบาท “Amazing Thailand Ambassador” ของ “ลิซ่า” ลลิษา มโนบาล ในครั้งนี้ ถือเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของคนไทย ด้วยผลงานและความสำเร็จของเธอที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก นอกจากนี้ เธอยังเป็นเสียงอันทรงพลังที่จะบอกเล่าเรื่องราวของความงดงามและเอกลักษณ์ไทยให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ การที่ ททท. พร้อมทั้งแบรนด์ “Amazing Thailand” ได้ร่วมงานกับ “ลิซ่า” ในครั้งนี้ ไม่เพียงสร้างความสนใจในการท่องเที่ยวของประเทศไทย แต่เป็นการตอกย้ำคุณค่าของวัฒนธรรมไทยที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน รวมถึงความอบอุ่นและความไมตรีจิตของคนไทย เพื่อแสดงให้เห็นถึงความพร้อมในทุกมิติว่า “ประเทศไทย” คือจุดหมายปลายทางที่พร้อมมอบประสบการณ์ที่จะสร้างความประทับใจกับผู้มาเยือน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ททท. จึงขอเชิญชวนให้คนไทยทุกคนออกเดินทางท่องเที่ยวเมืองไทยและพร้อมใจเป็นเจ้าบ้านที่ดีเพื่อเผยแพร่ความงดงามของประเทศไทย ประกาศความภาคภูมิใจและส่งต่อความเป็นไทยไปพร้อมกับลิซ่าในฐานะ Amazing Thailand Ambassador ร่วมกัน ภาพ: ททท. และอินสตาแกรมลิซ่า เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/forbes-life/travel-forbes-life/michelin-guide-announce-michelin-key-2025" alt="‘มิชลิน ไกด์’ เผยรายชื่อ โรงแรมยอดเยี่ยม 62 แห่งในไทย ที่ได้รับรางวัล ‘กุญแจมิชลิน’">‘มิชลิน ไกด์’ เผยรายชื่อ โรงแรมยอดเยี่ยม 62 แห่งในไทย ที่ได้รับรางวัล ‘กุญแจมิชลิน’</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เที่ยวไทยเตรียมเปล่งประกาย! ททท. ปลื้ม “ลิซ่า” ตอบรับตำแหน่ง Amazing Thailand Ambassador

<h2>ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ซบเซายังคงมีเครื่องยนต์หลักอย่างภาคท่องเที่ยวที่พยุงให้ไปได้ ทว่าในปี 2568 หลายฝ่ายกลับมองว่า ภาคท่องเที่ยวไทยอาจไม่ได้ฟื้นตัวอย่างที่คิด ทั้งจากนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่จากจีนที่กังวลต่อความปลอดภัยในการมาเที่ยวไทย จนถึงสถานการณ์แผ่นดินไหวที่เพิ่งเกิดขึ้น</h2> ต่างชาติเที่ยวไทยต่ำ 37 ล้านคน แต่อาจเท่าปีก่อน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธีระศิลป์ เทเพนทร์ รองผู้ว่าการด้านนโยบายและแผน&nbsp;การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยในงานโครงการตลาดทุนพบภาครัฐ ครั้งที่ 3/2568 ว่า ปี 2568 นี้ทางททท. ได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะมีจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 37.46 ล้านคน แต่อาจไปไม่ถึงเป้าหมาย (ยังไม่มีการประกาษปรับลดเป้าหมาย) เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่อย่าง ตลาดจีนลดลงกว่า 30% ซึ่งต่อให้มีการเติบโตในช่วงที่เหลืออาจยังมาแทนที่ไม่ได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ช่วง 4 เดือนแรกปี 2568 นักท่องเที่ยวต่างชาติติดลบ 0.2% โดยหดตัวจากตลาดเอเชีย ตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะจีนลดลง 30% แต่นักท่องเที่ยวจากตลาดระยะกลาง-ไกล เช่นยุโรป ยังเติบโตได้ดี ซึ่งกลุ่มนี้มักใช้จ่ายในกลุ่ม Wellness โรงแรม อาจไม่ได้เน้นการซื้อสินค้ามากนัก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้นช่วงที่เหลือของปีมองว่า การท่องเที่ยวไทยความถี่หรือจำนวนครั้งอาจใกล้เคียงเดิม แต่พบว่าการใช้จ่ายในทริปอาจปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตามยังเชื่อว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยในปี 2568 ยังจะไม่ต่ำกว่า 35 ล้านคนใกล้เคียงกับปี 67 และเชื่อว่าในด้านรายได้ยังอาจเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ราว 2.97 ล้านล้านบาท เพราะททท. จะหันมาเน้นกลุ่มที่น่าจะมีการใช้จ่ายสูงขึ้น เช่น ตะวันออกกลาง คูเวท เยเมน ตลาดกลุ่มนี้ยังดูสดใส&nbsp; &nbsp; จากข้อมูล ททท. พบว่า เป้าหมายด้านรายได้การท่องเที่ยวในปี 2568 ยังอยู่ที่ 3.4 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นตลาดต่างชาติ 2.23 ล้านล้านบาท (39 ล้านคน) และตลาดในประเทศ 1.17 ล้านล้านบาท (205 ล้านคน-ครั้ง) ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/05/hjdZmxhbGpQg4KdZxVCj.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="hjdZmxhbGpQg4KdZxVCj.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,404" style="" data-index="0"><figcaption><div>ที่มา ททท.</div></figcaption></figure></div> ต่างชาติ-คนจีนหายไปไหน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธีระศิลป์ กล่าวว่า ในช่วง 4 เดือนแรกปี 2568 นักท่องเที่ยวต่างชาติติดลบ 0.2% ต้องยอดรับว่าฐานนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงราว 30% ถือเป็นฐานที่ใหญ่ แต่อยากให้ดูรายละเอียด ว่ามีบางกลุ่มที่ยังโต เช่น ตลาดยุโรปที่เติบโต 16% ซึ่งสะท้อนว่ากลุ่มตลาดไกลยังไปได้ ซึ่งนักลงทุนต้องดูให้ดี ว่ากลุ่มโรงแรมหรือการลงทุนที่พึ่งพาตลาดระยะใกล้กับระยะไกล Profile ต่างกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อเจาะลงไปถึงปัจจัยลบที่ทำให้นักท่องเที่ยวลดลงมองว่า เรื่องหลักคือ ความกังวลเรื่องความปลอดภัยของไทย อาทิ กรณีกระแสข่าวการลักพาตัว การประกอบธุรกิจที่ไม่โปร่งใสของจีนที่เข้ามาในไทย ที่ส่งผลกระทบถึง Sentiment ของนักท่องเที่ยวจีน ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลีใต้ ที่อาจเลือกเปลี่ยนประเทศที่จะเดินทางไปเที่ยว และอาจมีแนวโน้มเลือกเดินทางมาไทยน้อยลง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในส่วนของนักท่องเที่ยวจีนพฤติกรรมเปลี่ยนไปมาก จากก่อนโควิดที่มาในลักษณะทัวร์ขณะใหญ่ แต่หลังโควิดที่ผ่านมาพบว่ากลุ่มท่องเที่ยวด้วยตนเอง หรือ Free Independent Travelers (FIT) มีมากขึ้นและสูงถึง 80% แม้จะเป็นทัวร์ก็เป็นกลุ่มที่ไม่ใหญ่มาก แต่อาจมีการใช้จ่ายที่สูงขึ้น และเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนจากเมืองใหญ่ยังมาไทยค่อนข้างสูง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ปี 2567 นักท่องเที่ยวจีนมาไทยสูงที่สุดในเอเชีย อยู่ที่ 6.73 ล้านคน รองลงมาญี่ปุ่น 5.83 ล้านคน เกาหลีใต้ที่ 4.6 ล้านคน และเวียดนาม 3.74 ล้านคน แต่จากต้นปีนี้นักท่องเที่ยวจีนไหลไปประเทศอื่นมากกว่า สะท้อนได้จาก ช่วง 3 เดือนแรก (ม.ค.-มี.ค.) ปี 2568 พบว่า อันดับ 1 เดินทางไป ญี่ปุ่น 1.7 ล้านคน (ม.ค.-ก.พ.) มาจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่า โครงสร้างพื้นฐานที่ดีกว่า รองลงมาคือเวียดนามที่ 1.6 ล้านคน ซึ่งพบว่าเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวบางส่วนที่มักเดินทางมาไทยแต่เลือกไปเวียดนามแทน โดยไทยตกลงมาอยู่อันดับที่ 3 อยู่ที่ 1.3 ล้านคน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ยังมีเรื่องภัยธรรมชาติและฝุ่น PM 2.5 ที่อาจกระทบต่อความรู้สึกในการตัดสินใจที่จะวางแผนท่องเที่ยวต่างๆ เพราะเมื่อเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นในช่วงนั้นจะเห็นว่ามีการยกเลิกต่างๆ (ที่พัก-เที่ยวบิน) ขณะเดียวกันมองว่าเรายังต้องติดตามติดตามผลกระทบ สงครามการค้า สหรัฐฯ-จีน รวมถึงผลกระทบจากมาตรการทางภาษีที่เกิดขึ้นทั่วโลก ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/05/i1LJnSYES3FfDJMFiAps.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="i1LJnSYES3FfDJMFiAps.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,405" style="" data-index="1"><figcaption><div>ที่มา ททท.</div></figcaption></figure></div> ททท. เร่ง 4 มาตรการเร่งแก้ปัญหา มั่นใจคนละครึ่งเริ่ม มิ.ย. นี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อการท่องเที่ยวไทยจะมีความท้าทายสูง ททท. จึงเร่งออกมาตรการเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ โดยให้น้ำหนักที่ 1) รักษาการเติบโตตลาด ผ่านการแก้ไขด้านภาพลักษณ์ของไทย 2) การหาตลาดทดแทน ในการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวจากเอเชียใต้ สิงคโปร์อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ อินเดีย ศรีลังกาใต้ ซึ่งช่วงที่ผ่านมาเป็นกลุ่มที่เติบโตขึ้นอยู่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และ 3) ขยายตลาดกลุ่ม High value มุ่งกลุ่ม Health, wellness, Yacht, Sport และ Digital Nomad รวมถึง 4) สื่อสารให้รอบด้านทั้งออนไลน์และออฟไลน์ โดยขั้นตอนและแผนงานยังอยู่ระหว่างการดำเนินการ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ยังมีโครงการคล้ายๆ กับคนละครึ่งที่รัฐจะเข้าไปซับซิไดซ์บางส่วน (จะมีการเปลี่ยนชื่อ) โดยนักท่องเที่ยวไทยหากเข้าพักวันธรรมดาจะได้ราคาที่ดีกว่าการเที่ยวในวันหยุด คาดว่าจะเริ่มเปิดโครงการในช่วงเดือน มิ.ย. ในช่วงหน้าฝนซึ่งครอบคลุมช่วงปิดเทอมของเด้กนักเรียน ยาวไปถึงช่วงก.ย. ต.ค. ซึ่งหลังจากนั้นเป็นช่วงเทศกาลคนเดินทางอยู่แล้วจะไม่มีมาตรการเติมเพิ่ม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ โครงการดังกล่าว ททท. เป็นหน่วยงานในการรับงบประมาณ เบื้องต้นน่าจะใช้งบราว 2,000 ล้านบาทขึ้นไป โดยจะเน้นให้รายได้กระจายลงไปในแต่ละกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น และจะออกกฎให้ครอบคุลมถึงปัญหาของโครงการในอดีต เช่น กรณีคนอัพราคาห้องพักขึ้น หรือ กรณีการฉ้อโกง เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุดท้ายนี้ ยังเชื่อว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2568 จะใกล้เคียงกับปีก่อน แต่รายได้ยังเพิ่มขึ้น โดยมองว่าสถานการณ์จะไม่แย่ไปกว่านี้ และมีการติดตามอย่างต่อเนื่องทำให้มีมาตรการออกมาได้เร็ว คิดว่าน่าจะพยุงสถานการณ์ได้ และขึ้นอยู่ที่การแก้ปัญหาภาพลักษณ์ที่หลายหน่วยงานต้องร่วมมือกัน ส่วนในระยะยาวยังต้องสร้างสมดุลของนักท่องเที่ยวในแต่ละกลุ่ม และเพิ่ม Man-made Attraction ที่เมกะโปรเจคต่างๆ ในไทยยังมีน้อย ภาพ: ททท.,&nbsp;<a href="https://unsplash.com/@bacon3floors?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash" style="font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px;">Bacon3floors</a> on <a href="https://unsplash.com/photos/a-crowd-of-people-on-a-street-C7PPPA8Wnlg?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash" style="font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px;">Unsplash</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/travel/amari-vientiane-a-new-landmark-in-lao-prd" alt="'อมารี เวียงจันทน์' แลนด์มาร์กแห่งใหม่ สปป.ลาว"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/scb-eic-afftershock-impact-tourism-apr-2025" alt="SCB EIC ชี้แผ่นดินไหวฉุดนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง 2-7 แสนคน จากทั้งปี 68 คาดการณ์เดิม 38.2 ล้านคน">SCB EIC ชี้แผ่นดินไหวฉุดนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง 2-7 แสนคน จากทั้งปี 68 คาดการณ์เดิม 38.2 ล้านคน</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ทำไมยอดต่างชาติเที่ยวไทยปี 68 อาจต่ำเป้า 37 ล้านคน แต่ททท. ยังมั่นใจรายได้ฯ ยังโตได้

‘Entertainment Complex’ กาสิโนไทย โอกาสหรือความเสี่ยงของคนไทย

<h2>หลังจาก 4 มิ.ย. 67 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในเมืองรอง 55 จังหวัด โดยให้มีผลตั้งแต่ 1 พ.ค. - 30 พ.ย. 2567 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เชื่อว่าจะเป็นแรงหนุนตลาดไทยเที่ยวไทยให้ปี 2567 นี้เติบโต 4.4% จากปีก่อน แต่อาจมีความเสี่ยงจากปัจจัยสภาพภูมิอากาศที่ไม่แน่นอน และความพร้อมผู้ประกอบการขนาดเล็ก</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า จากมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวเมืองรอง ที่มี 2 ส่วนหลัก ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1) มาตรการหักลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดา สำหรับค่าใช้จ่ายด้านบริการที่พัก (โรงแรม โฮมสเตย์และที่พักที่ไม่เป็นโรงแรม) และค่าบริการนำเที่ยว จากการเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดเมืองท่องเที่ยวรอง ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท โดยต้องมีใบกำกับภาษีแบบเต็มผ่านระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice &amp; e-Receipt)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2) มาตรการหักลดหย่อนภาษีนิติบุคคล สำหรับรายจ่ายการอบรมจัดสัมมนาในพื้นที่เมืองท่องเที่ยวรองสามารถนำมาหักได้ 2 เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง ขณะที่เมืองหลักนำรายจ่ายมาหักได้ 1.5 เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่ามาตรการฯ ดังกล่าว จะเป็นแรงหนุนการเดินทางท่องเที่ยวเมืองรองของคนไทยมากขึ้น โดยปัจจุบันคนไทยเที่ยวเมืองรองมีสัดส่วน 41% ในช่วง 4 เดือนแรกปี 2567 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2562 และในหลายจังหวัด เช่น เชียงราย สุพรรณบุรี สมุทรสงคราม นครพนม อุบลราชธานี เป็นต้น จำนวนนักท่องเที่ยวไทยกลับมาสูงกว่าปี 2562 แล้ว ขณะที่ รายได้ไทยเที่ยวไทยในเมืองรองก็มีสัดส่วนเร่งตัวขึ้นเช่นกัน<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/cYovbBfgy4EcmCgkvwrz.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="cYovbBfgy4EcmCgkvwrz.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะเดียวกัน คาดว่าผลดีจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรองฯ ของภาครัฐจะช่วยผลักดันตลาดไทยเที่ยวไทยปี 2567 มีจำนวนนักท่องเที่ยวจะอยู่ที่ 193.5 ล้านคน-ครั้ง เติบโต 4.4% จากปีก่อน และรายได้อยู่ที่ 8.7 แสนล้านบาท ขยายตัว 7.8% จากปีก่อน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ผลบวกจากมาตรการฯ อาจไม่ได้หนุนการเดินทางและรายได้ตลาดไทยเที่ยวไทยให้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดนัก เนื่องจาก 4 ปัจจัย ได้แก่ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. มาตรการฯ ครอบคลุมกรอบเวลาช่วงฤดูฝนเป็นส่วนใหญ่ และสภาพอากาศมีความไม่แน่นอนสูง โดยสถานที่ท่องเที่ยวอย่างอุทยานแห่งชาติบางแห่งปิดให้บริการในช่วงนี้ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. ผู้ประกอบการในกลุ่มที่พักและบริษัทนำเที่ยวโดยเฉพาะขนาดเล็กอาจมีความไม่พร้อมของระบบในการรองรับ e-Tax Invoice &amp; e-Receipt &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3. การตัดสินใจเดินทางของคนไทยในช่วงมาตรการฯ อาจคึกคักน้อยกว่าหากเทียบกับช่วงตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันที่มีวันหยุดยาวและเทศกาลสำคัญอย่างตรุษจีน สงกรานต์ เป็นต้น ขณะที่กำลังซื้อครัวเรือนส่วนใหญ่ยังมีความเปราะบาง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4. การเลือกที่พักของคนไทยและการจัดงานสัมมนาส่วนใหญ่ยังเน้นไปที่เมืองท่องเที่ยวหลัก โดยมักแวะเที่ยวเมืองรองในรูปแบบของการทัศนาจร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะเดียวกัน การแข่งขันการท่องเที่ยวในประเทศยังสูง จากการที่หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในหลายจังหวัดให้ความสำคัญกับการพัฒนาการท่องเที่ยวและการจัดกิจกรรมกระตุ้นการท่องเที่ยว การสร้าง Landmark เพื่อเป็นทางเลือกที่หลากหลายให้กับนักท่องเที่ยว ดังนั้น การเติบโตของการท่องเที่ยวในแต่ละพื้นที่จะยังมีความไม่เท่ากัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในรายะเอียดประมาณการของศูนย์วิจัยฯ คาดว่า รายได้ท่องเที่ยวจากคนไทยเที่ยวในประเทศปี 2567 คาดว่าจะอยู่ที่ 8.7 แสนล้านบาท ขยายตัว 7.8% จากปีก่อน เทียบกับที่ขยายตัว 12.9% (YoY) ในช่วง 4 เดือนแรกปีนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ แม้รายได้ตลาดไทยเที่ยวไทยจะฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่ยังต่ำกว่าระดับก่อนโควิดในปี 2562 เนื่องจากนักท่องเที่ยวมีการปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายระหว่างการเดินทาง จำนวนวันพักเฉลี่ยลดลงมาที่ 2.1 วัน (จาก 2.46 วันในปี 2562) และการพักค้างมีสัดส่วนน้อยลงมาที่ 51% (จากค่าเฉลี่ยราว 57% ในปี 2562) Photo by <a href="https://unsplash.com/@good_citizen?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash">Humphrey Muleba</a> on <a href="https://unsplash.com/photos/birds-eye-view-photography-of-boats-in-front-of-people-gathered-on-seashore-pZhlZpxP-Mo?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash">Unsplash</a> ​​​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/it/grab-focus-on-only-at-grab" alt="แกร็บลุยปั้น Only at Grab ขนทัพร้านดังสั่งได้ที่แกร็บเจ้าเดียว ชูความเอ็กซ์คลูซีฟเจาะกลุ่ม ‘ลูกค้าคุณภาพ’"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/moc-inflation-may-2024" alt="พาณิชย์ เผยเงินเฟ้อไทยเดือน พ.ค. เพิ่มขึ้น 1.54% จาก ‘ค่าไฟฟ้า-น้ำมัน-ผักสด’ ยังสูง">พาณิชย์ เผยเงินเฟ้อไทยเดือน พ.ค. เพิ่มขึ้น 1.54% จาก ‘ค่าไฟฟ้า-น้ำมัน-ผักสด’ ยังสูง</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้มาตรการกระตุ้นรัฐ ดันไทยเที่ยวไทยปี 67 โต 4.4% แต่อาจโตไม่สุดเพราะหน้าฝน

<h2>รัฐบาลจีนเตรียมยกเลิกวีซ่าแก่ประเทศไทย โดยมีกำหนดเริ่มต้นนับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2024 นี้ สะท้อนความพยายามล่าสุดในการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้กลับมาเยือน ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจไม่สู้ดีนัก หลังปิดประเทศยาวนานด้วยโรคระบาดโควิด-19</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“จีนและไทยกำลังดำเนินการประกาศฟรีวีซ่าถาวรให้แก่พลเมืองซึ่งกันและกัน โดยจะมีผลในเดือนมีนาคมเป็นต้นไป” เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีประเทศไทยเผยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้ไทยได้ให้ฟรีวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวชาวจีนซึ่งจะหมดเขตสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2024 นี้&nbsp; &nbsp;&nbsp;ด้าน Wang Wenbin โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนเผยว่า การใช้ฟรีวีซ่าระหว่างจีนและไทยนั้น “มอบประโยชน์พื้นฐานแก่พลเมืองของทั้งสองประเทศ” และ “หน่วยงานรัฐบาลต่างกำลังสื่อสารกันอย่างใกล้ชิดในประเด็นเฉพาะ เราหวังว่าจะเริ่มดำเนินการได้โดยเร็วที่สุด”&nbsp; &nbsp;&nbsp;จีน นับได้ว่าเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นแหล่งโรงงานการผลิตสำคัญ และมีภูมิศาสตร์อันหลากหลาย รุ่มรวยวัฒนธรรม ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานที่ทิ้งร่องรอยไว้ให้บรรดานักท่องเที่ยวได้มาสำรวจ อย่างไรก็ตาม การมาเยือนประเทศจีนไม่ใช่เรื่องง่าย&nbsp; &nbsp;&nbsp;การปิดประเทศยาวนาน กฎระเบียบวีซ่าที่ซับซ้อน การควบคุมอินเทอร์เน็ตซึ่งทำให้ไม่สามารถใช้งานเครื่องมืออย่าง Google Map ได้ กอปรกับแอปพลิเคชันการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่แม้จะประสบความสำเร็จในประเทศ แต่กลับไม่เป็นมิตรกับชาวต่างชาติมากนัก ทั้งหมดล้วนเป็นกำแพงขวางกั้นนักท่องเที่ยวในการมาเยือนแดนมังกรแห่งนี้&nbsp; &nbsp;&nbsp;ย้อนกลับไปในช่วงที่โควิด-19 ลุกลามหนัก จีนต้องปิดพรมแดนยาวนานถึง 3 ปี แต่ ณ ขณะนี้เมืองหลวงของจีนอย่าง “ปักกิ่ง” กำลังต้องการให้เหล่าบรรดานักท่องเที่ยวกลับมาเที่ยวจีนได้ตามเดิม ซึ่งก่อนหน้าที่จีนจะทำข้อตกลงกับประเทศไทย จีนยังได้ตกลงให้ฟรีวีซ่าแก่ 6 ประเทศอื่นไปก่อนแล้ว&nbsp; &nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ในเดือนพฤศจิกายน 2023 ที่ผ่านมา ทางรัฐบาลจีนได้ประกาศโครงการทดลองให้ฟรีวีซ่า 15 วัน แก่นักท่องเที่ยวหรือผู้มาเยือนจากประเทศฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สเปน และมาเลเซีย โดยนโยบายดังกล่าวนี้เริ่มต้นในเดือนธันวาคมและมีกำหนดใช้งาน 12 เดือน โดยจะสิ้นสุดลงในเดือนพฤศจิกายนปี 2024 นี้​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/8j4ZQrjK9doH6ezhhzFM.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="720px,480px" data-align="center" data-index="1" data-file-name="8j4ZQrjK9doH6ezhhzFM.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,480" data-origin="720px,480px" style="width: 720px; height: 480px;"></figure></div> &nbsp; &nbsp;&nbsp;หลังการประกาศใช้นโยบายดังกล่าวในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา มีนักเดินทางจาก 6 ประเทศรวมทั้งสิ้นแล้ว 118,000 คนที่เดินทางมาเยือนจีน ทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเผยข้อมูลนี้ในวันจันทร์ที่ผ่านมา แต่ไม่ได้มีการแบ่งแย่งเชื้อชาติของนักเดินทาง โดยกว่า 77% ของผู้มาเยือนคือการเดินทางมาท่องเที่ยว พักผ่อน และดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจต่างๆ อีกทั้งจำนวนผู้มาเยือนที่มีฟรีวีซ่าคิดเป็น 55% ของจำนวนผู้มาเยือนประเทศจีนทั้งหมดจาก 6 ประเทศ ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายนราว 30%​&nbsp; &nbsp; อย่างไรก็ตาม ผลจากนโยบายนี้ยังคงต้องรอดูกันต่อไป เพราะนักท่องเที่ยวจากประเทศที่ห่างไกลเช่นในยุโรปมักวางแผนการท่องเที่ยวจีนล่วงหน้าหลายเดือน ฤดูหนาวในจีนก็อุณหภูมิต่ำมาก จึงไม่ใช่ช่วงที่นักท่องเที่ยวนิยมเท่าใดนัก&nbsp; &nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ จีนยังอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวอเมริกันด้วยการปรับกระบวนการขอวีซ่าให้เป็นไปอย่างเรียบง่ายยิ่งขึ้น โดยตั้งแต่ 1 มกราคมเป็นต้นไป นักเดินทางจากสหรัฐอเมริกาไม่จำเป็นต้องยื่นหลักฐานตั๋วไปกลับ การจองโรงแรม แผนการท่องเที่ยว หรือจดหมายเชิญในการยื่นขอวีซ่าท่องเที่ยวแต่อย่างใด อ้างอิงจากประกาศของสถานทูตจีนในสหรัฐฯ&nbsp; &nbsp;&nbsp;จีนกำลังหาทางดึงดูดนักเดินทางนานาชาติมาเยือนประเทศเพื่อเสริมกำลังฟื้นฟูเศรษฐกิจอันซบเซาด้วยต้องเผชิญอุปสรรคต่างๆ มากมาย แม้โควิด-19 ผ่านพ้นไปแล้วก็ตาม เห็นได้จากช่วงเดือนสิงหาคมปี 2023 ที่ผ่านมา จีนยกเลิกเงื่อนไขและมาตรการโควิด-19 ทั้งหมดสำหรับผู้โดยสารขาเข้า พร้อมเสนอให้ผู้ที่เดินทางมาด้วยเหตุผลด้านธุรกิจเลือกรับวีซ่าเมื่อมาถึง และยกเว้นวีซ่าแก่ผู้มาเยือนจากบางประเทศที่มีการเก็บลายนิ้วมือ&nbsp; &nbsp;&nbsp;ฤดูร้อนปีที่แล้ว WeChat และ Alipay สองแอปชำระเงินรายใหญ่ของจีนที่แทบจะมีบทบาทในชีวิตประจำวันของชาวแดนมังกร ในที่สุดก็ยอมให้นักเดินทางต่างชาติเชื่อมบัตรเครดิตจากนอกประเทศเข้ากับแอปได้ เพื่อให้การจองรถแท็กซี่ ขึ้นรถไฟ และจ่ายค่าอาหาร โรงแรม ตลอดจนการซื้อของต่างๆ ง่ายดายยิ่งขึ้น แต่ทว่าจำนวนนักเดินทางนานาชาติที่มาเยือนจีนยังคงน้อยกว่าระดับก่อนมีโควิด-19&nbsp; &nbsp;&nbsp;ครึ่งแรกของปี 2023 สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของจีนเผยตัวเลขชาวต่างชาติที่เข้าและออกประเทศรวม 8.4 ล้านคน น้อยกว่า 30% ของตัวเลขที่เคยบันทึกไว้ในปี 2019 ส่วนในไตรมาสที่สามของปี ตัวเลขชาวต่างชาติที่เข้าและออกจากจีนมีจำนวนเพิ่มขึ้นก็จริง แต่ก็ยังน้อยกว่าช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปี 2019 อยู่ครึ่งหนึ่ง&nbsp; &nbsp;&nbsp;บริษัทด้านการท่องเที่ยวในจีนต่างประสบปัญหานักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงอย่างมาก กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวเผยว่า บริษัทท่องเที่ยวจีนมีลูกค้าเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติเพียง 477,800 คนตลอดหกเดือนแรกของปี 2023 เทียบกับปี 2019 แล้วคิดเป็น 5.58% เท่านั้น แต่ทั้งนี้ทางกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของจีนเองก็ยังไม่ได้มีการเผยข้อมูลในช่วงครึ่งปีหลังออกมาเพิ่มเติม แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a href="https://edition.cnn.com/travel/china-visa-free-foreign-tourist-intl-hnk/index.html" alt="China tries to lure foreign tourists with expanded visa-free scheme after weak post-pandemic bounce back">China tries to lure foreign tourists with expanded visa-free scheme after weak post-pandemic bounce back</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/tha-easy-e-receipt-tax-deduction-2567" alt="เปิดเงื่อนไขมาตรการ Easy E-Receipt รับปีใหม่ ลดหย่อนภาษีสูงสุด 50,000 บาท">เปิดเงื่อนไขมาตรการ Easy E-Receipt รับปีใหม่ ลดหย่อนภาษีสูงสุด 50,000 บาท</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

จีนแจกฟรีวีซ่า หวังดึงนักท่องเที่ยวกลับเยียวยาเศรษฐกิจหลังโควิด-19

<h2>การจราจรทางอากาศและโครงข่ายถนนที่เชื่อมโยงประเทศในอุษาคเนย์กำลังคึกคักด้วยยวดยานและฝูงชนที่ช่วยกันขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทย หลังนโยบายอาเซียนคอนเนกถูกผลักดัน</h2>
ความพยาพยามของ กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาที่จะขับเคลื่อนนโยบายอาเซียนคอนเนก เพื่อเชื่อมโยงการท่องเที่ยวในภูมิภาคและก่อให้เกิดความมั่งคั่งแก่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย กำลังเป็นรูปธรรมมากขึ้น ภายใต้การนำของ ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ผู้รับหน้าที่แม่งานช่วยผลักดันให้เป็นจริงภาครัฐย้ำชัดในแนวทางนี้ ในฐานะกลไกการเปิดพรมแดน เพื่อสร้างขุมทรัพย์ใหม่ให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทย ที่โกยเงินรายได้เข้าประเทศอย่างมหาศาลในปีที่ผ่านมา ไม่เพียงช่วยหนุนเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอน แต่ยังลดความเสี่ยงจากตลาดท่องเที่ยวโลกที่ผันผวนจากภาวะเศรษฐกิจ

ก่อนหน้านี้ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้สนับสนุนแนวคิดดังกล่าวโดยเล็งเห็นว่า การเชื่อมโยงการท่องเที่ยวภายในกลุ่มอาเซียน จะช่วยเพิ่มจุดแข็งให้กับการท่องเที่ยวของภูมิภาค เพื่อแข่งขันกับภูมิภาคอื่นๆ นอกจากนี้ ประชากรในภูมิภาคอาเซียนเองก็มีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะการเติบโตของกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางถึงสูงมาก โดยบริษัทเบเคอร์แอนด์ แม็คเคนซี่ ได้ประมาณว่า ในช่วงปี2555-2563 เวียดนามและพม่าจะมีประชากรในกลุ่มคนชั้นกลางและคนร่ำรวยถึงราว 21 ล้านคนและ 5 ล้านคน ซึ่ง ททท.ได้มีแผนเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อ

ดังนั้นยุทธศักดิ์ ได้มอบหมายให้สำนักงานของ ททท.ในต่างประเทศทำการบ้านอย่างหนัก ค้นหาเส้นทางการบินที่มีศักยภาพ เพื่อเสนอให้สายการบินต่างๆ ของไทยพิจารณา โดยเน้นให้ผู้ประกอบการพูดคุยหารือตามแนวทางจัดสรรผลประโยชน์ที่ลงตัวมากกว่ามุ่งแข่งขันกันแบบชิงไหวชิงพริบอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้จุดประสงค์หลักก่อเกิดผลประโยชน์สูงสุดตกอยู่กับประเทศเป็นจริงขึ้นมาได้ เส้นทางบินที่ททท.เห็นว่ามีศักยภาพนั้นจะไม่เพียงเชื่อมโยงเมืองหลักกับเมืองหลัก แต่จะรวมเมืองรองกับเมืองรอง เพื่อสร้างโครงข่ายการเดินทางให้ครอบคลุมมากที่สุด

ล่าสุด 3 เส้นทางใหม่ก็คลอดออกมาและมี 3 สายการบินแสดงความสนใจเข้าร่วมให้บริการในเส้นทางดังกล่าวได้แก่ ไทยแอร์เอเชีย ได้บินเส้นทางกรุงเทพฯ-เวียงจันทน์ ถึง 7 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ สายการบินนกแอร์บินระหว่างดอนเมือง-มัณฑะเลย์ 3 บินต่อสัปดาห์และสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส บินเชียงใหม่-หลวงพระบาง โดยเที่ยวบินปฐมฤกษ์เปิดให้บริการในวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา

ขณะที่การท่องเที่ยวแบบเดินทางโดยรถยนต์นั้น ยุทธศักดิ์ ก็พยายามขยายความร่วมมือกับจังหวัดชายแดนของไทยที่มีพื้นที่ร่วมกับของประเทศต่างๆ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบ “สองอาณาจักรหนึ่งจุดหมายปลายทาง” (Two Countries, One Destination) รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบอาเซียนคาราวาน เพื่อสร้างความคึกคักมากยิ่งขึ้นการท่องเที่ยวในกลุ่มอาเซียนมีศักยภาพมากในอนาคต เนื่องจากเศรษฐกิจแต่ละประเทศยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้น รวมไปถึงการเกิดขึ้นของสายการบินต้นทุนต่ำที่แข่งขันกันเปิดเส้นทางใหม่ๆ และถนนเชื่อมโยงแต่ละประเทศให้มีความสะดวกในการไปมาหาสู่กันมากขึ้นปัจจุบันกลุ่มอาเซียน 10 ประเทศมีประชากรโดยรวม 680 ล้านคน และมีตลาดที่มีกำลังซื้อประมาณ 68 ล้านคน หรือใกล้เคียงกับจำนวนคนไทยทั้งประเทศ

ยุทธศักดิ์บอกว่าหากประเทศไทยสามารถจับคนกลุ่มนี้เพียง10% ก็จะได้นักท่องเที่ยวราว 6.8 ล้านคนซึ่งจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยมาก แนวทางนี้เป็นการสานต่อนโยบายการท่องเที่ยวของประเทศที่ประกาศไว้ก่อนหน้าคือ เน้นนักท่องเที่ยวคุณภาพมากกว่าปริมาณเพื่อก่อให้เกิดเงินสะพัดหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น โดยปี 2558 ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 29.88 ล้านคน มีการจับจ่ายทั้งสิ้นราว 1.45 ล้านล้านบาท และคาดว่าปีนี้น่าจะเกิน 32 ล้านคน

“เราพยายามหาตลาดใกล้ๆ...เพื่อลดความเสี่ยง” ยุทธศักดิ์กล่าวและอธิบายเพิ่มเติมว่าการมุ่งจับตลาดอาเซียนจะช่วยพยุงการท่องเที่ยวไทยในยามที่ตลาดท่องเที่ยวโลกยังเผชิญกับความผันผวน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ นักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักของไทยหากวันใดกลุ่มนี้หายไป แน่นอนว่า ผลกระทบก็จะเกิดตามมากับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโดยรวม การแสวงหาตลาดใหม่และการชักชวนให้นักท่องเที่ยวจากตลาดที่มีอยู่เป็นทุนเดิมเดินทางมามากขึ้นจะช่วยสร้างความมั่นคงให้กับการท่องเที่ยวไทยแต่ความพยายามที่จะยกระดับอุตสากรรมท่องเที่ยวของอาเซียนให้เต็มรูปแบบยังเต็มไปด้วยอุปสรรค เช่น “อาเซียนวีซ่า”ที่อนุญาตให้พลเมืองของประเทศสมาชิกสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ทั้งภูมิภาคเหมือนกับวีซ่าเชงเก้นในยุโรปที่ขอได้ครั้งเดียวไปได้ 26 ประเทศ

ปัจจุบันนี้กลุ่มอาเซียนอยู่ระหว่างการพูดคุย และมีแนวโน้มว่ายังต้องใช้เวลานานกว่าจะหาข้อสรุปที่เป็นที่พอใจของทุกประเทศสมาชิก เนื่องจากมีปัญหาที่รัฐบาลหลายประเทศกังวลใจ เช่น อาชญากรรมข้ามชาติ ปัญหาผู้อพยพ และแรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมายหากวีซ่าอาเซียนได้รับไฟเขียวจะส่งผลดีกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโดยรวมของอาเซียนรวมถึงนักท่องเที่ยวจากนอกกลุ่มอาเซียนจะได้รับความสะดวกในการเดินทางเข้าออกแต่ละประเทศแบบอิสระ ซึ่งจะเป็น “แม่เหล็ก”ช่วยดึงนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้หันมาเที่ยวในภูมิภาคนี้และช่วยเพิ่มยอดใช้จ่ายมากขึ้นเป็นเงาตามตัว เนื่องจากภูมิภาคนี้มีจุดขายที่โดดเด่น คือ ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยว สถาปัตยกรรม การจัดงานประเพณี รวมทั้งอาหารการกินต่างๆ ก็นับเป็นสิ่งดึงดูดการเชื่อมโยงในระดับภูมิภาค

นี่คือเรื่องราวที่ถูกขับเน้น ในงาน “ไทยแลนด์ ทราเวล มาร์ท พลัส” ระหว่างวันที่ 8-10 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยจัดทุกๆ ปี ในปีนี้นับเป็นปีที่ 15 และจัดขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นงานส่งเสริมการขายด้านการท่องเที่ยวลักษณะบีทูบี โดยผู้ประกอบการท่องเที่ยวของไทยและผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวจากประเทศกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงได้นำเสนอสินค้าและบริการท่องเที่ยวที่หลากหลาย มีผู้ซื้อจากต่างประเทศเข้าร่วม 459 ราย จาก 59 ประเทศ และผู้เยี่ยมเยียนด้านการค้าอีก 100 ราย โดยจุดเด่นของไทยที่นำเสนอเผยแพร่ในงาน คือ ได้แถลงข่าวความร่วมมือในฟอรั่ม “CLMV link: Prosper together” เพื่อให้ข้อมูลสินค้าท่องเที่ยวล่าสุดและกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศไทย เมียนมาสปป.ลาว เวียดนาม และกัมพูชา

&nbsp;

ภาพ: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

<hr />

<a href="http://goo.gl/WtgACX">คลิกอ่านบทความทางด้านธุรกิจ ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ AUGUST 2016 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="http://goo.gl/WtgACX"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/94742b79a37358f34d2263e45ceebcc0.png" alt="" width="240" height="316" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events