&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ช่วงนี้แวดวงฟินเทคน่าจับตามองเป็นอย่างมาก เพราะมีการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้กับการเงินในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ในสินค้าและบริการ รวมถึงการแก้ปัญหาทางการเงินในปัจจุบัน สำหรับแวดวงนี้เรามีภาคเอกชนที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลได้แก่ บริษัท สวัสดีช้อป จำกัด หรือ DeeMoney ฟินเทคสัญชาติไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านการโอนเงินระหว่างประเทศภายใต้ชื่อ "DeeMoney" ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้ให้บริการลูกค้ามากกว่า 1 ล้านบัญชี รองรับมากกว่า 26 สกุลเงิน และครอบคลุม 55 ประเทศทั่วโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลายคนอาจจะสงสัยว่าใครคือผู้ผลักดันอยู่เบื้องหลัง DeeMoney ที่ทำให้ฟินเทคสัญชาติไทยนี้เติบโตและแข็งแกร่งในภูมิภาคจนเป็นที่ยอมรับในแวดวงการเงินปัจจุบัน เราจะพามาเปิดเผยเรื่องราวที่ไม่เคยพูดคุยที่ไหนมาก่อนกับ CEO คนนี้&nbsp; &nbsp; "คุณอัศวิน พละพงศ์พานิช" ผู้ร่วมก่อตั้ง และเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DeeMoney&nbsp;กับความมุ่งมั่นอย่างตั้งใจว่าต้องการให้ฟินเทคสัญชาติไทยแท้นี้ได้เติบโตไปไกลระดับโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นี่คือประโยคสนทนากับ คุณอัศวิน พละพงศ์พานิช "เริ่มบริษัทฟินเทค DeeMoney ขึ้นจากเดิมประวัติความเป็นมาก็คือได้ไปเรียน Engineering แล้วก็ Computer Science จากอเมริกา พอกลับมาก็อยากทำธุรกิจของตัวเอง เพราะว่าไม่อยากไปเป็นพนักงานบริษัท มันไม่ใช่สไตล์ของเรา ซึ่งถือว่าในตอนนั้นเป็น Startup ยุคแรกๆ ของเมืองไทย โดยที่เริ่มทำธุรกิจบัตรโทรศัพท์กับวอยซ์โอเวอร์ไอพี คือการที่คนเพิ่งรู้จักการใช้โทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ตในยุคแรกๆ โดยใช้เทคโนโลยีวอยซ์โอเวอร์ไอพี ซึ่งถือว่าธุรกิจของเราเป็นอันดับหนึ่งสำหรับธุรกิจบัตรโทรศัพท์ของเมืองไทยในยุคนั้น จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของฟินเทคอย่าง DeeMoney เพราะเราต้องการเปลี่ยนเทคโนโลยีและเปลี่ยนความคิด เราเห็นโอกาสทางธุรกิจที่จะไปได้ต่อจึงเปลี่ยนเป็นธุรกิจฟินเทคที่มุ่งเน้นเรื่องการโอนเงินระหว่างประเทศ โดยเป็นบริษัทยุคแรกๆ ที่ได้ใบอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยในฐานะผู้ให้บริการทางการเงินแต่ไม่ใช่สถาบันการเงินหรือธนาคาร (Non Bank) แล้วก็พัฒนาระบบเพื่อที่จะทำเรื่องการโอนเงินระหว่างประเทศ หลังจากนั้นก็มาเป็นแอปพลิเคชันแรกในเมืองไทยที่สามารถโอนเงินได้ผ่านมือถือเพื่อทำให้ชีวิตสะดวกง่ายขึ้น จนวันนี้ก็ถือว่าเป็นผู้นำในตลาดโอนเงินระหว่างประเทศแล้ว"&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ที่ผ่านมา DeeMoney มีความเกี่ยวข้องกับตลาดการโอนเงินระหว่างประเทศ โดย "คุณอัศวิน" ตั้งเป้ามุ่งมั่นพัฒนาตัวเองและธุรกิจเพื่อทะยานสู่ตลาดการเงินระดับโลก เหมือนกับคติประจำตัวหลักที่ตั้งใจว่าจะไม่หยุดพัฒนาตัวเอง "ผมว่าคนที่ใช้ DeeMoney ถือว่าเป็นกลุ่มระดับสากลแน่นอน เพราะว่าการที่ลูกค้าเชื่อใจในการใช้บริการ "การเงิน" กับเราต้องมั่นใจว่าบริการของเรานั้นเทียบเท่ากับมาตรฐานสากล แม้เป็นบริษัทฟินเทคสัญชาติไทยก็ตาม ตอนนี้เราพัฒนา&nbsp; ตัวเองไปสู่ตลาดโลกในแง่ของใบอนุญาตต่างประเทศ หรือการที่เราขยายธุรกิจไปต่างประเทศก็นับว่าเป็นก้าวต่อไปในฐานะบริษัทระดับสากลเป็นที่เรียบร้อย สิ่งเหล่านี้เป็นความตั้งใจเหมือนกับแนวคิดของตัวเองที่ว่าจะพัฒนาตัวเองตลอดเวลาตลอดชีวิต ซึ่งก็คือ Innovate Everyday ตอนนี้บอกตัวเองว่าวันนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน ทุกอย่างต้องดีขึ้นก้าวหน้าขึ้น"&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบัน DeeMoney กำลังเติบโตในตลาดโลก ทำให้ "คุณอัศวิน" ก้าวขึ้นแท่นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่ง แม้จะทำงานหนักแบบนี้แต่ก็มีมุมส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้ชีวิตที่นอกจากจะต้องทำงานหนักแล้วยังต้องทำหน้าที่ในฐานะผู้นำครอบครัวอีกด้วย "ผมว่าทุกคนที่เป็น Startup มักจะเจอปัญหาเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวที่แยกออกจากกันได้ยาก เพราะว่าตัวเราอาจจะอยู่บ้านแต่สมองและความคิดเราอาจนึกถึงแต่เรื่องงาน นึกถึงพนักงานตลอดหรือคิดถึงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น&nbsp;ผมว่าดีเอ็นเอของคนที่เป็นผู้ก่อตั้งธุรกิจ Startup จะแยกได้ยาก ถ้าหากต้องการพักผ่อนจริงๆ จะใช้วันหยุดช่วงเทศกาลไปเลย&nbsp;ก็คืออาจจะเดินทางไกลหรือไปที่ไหนที่ระบบอินเทอร์เน็ตไม่ค่อยดีปิดสวิตช์โดยธรรมชาติ ถ้าเครียดมากก็ขับรถเองแต่ถ้าแบบรีแลคซ์ก็ไปกับครอบครัว นอกจากนี้ในวันทำงานตื่นมาตอนเช้าก็คือจะเช็คค่าเงินก่อนเลยว่าค่าเงินบาทหรือดอลลาร์ขึ้นลงเท่าไหร่ เพราะว่าปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ที่กระทบธุรกิจของ DeeMoney โดยตรงก็คือเรื่อง "อัตราแลกเปลี่ยน" จนวันนี้เป็นความเคยชินแล้ว รู้แล้วว่าโอกาสที่ค่าเงินบาทหรือดอลลาร์จะขึ้นหรือลงนั้น สามารถเกิดขึ้นได้อย่างไรก็เป็นอะไรที่ลุ้นและสนุกอยู่ทุกวัน"<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/09/uDzkinNkJkcX7CzFKQNo.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="720px,480px" data-align="center" data-file-name="uDzkinNkJkcX7CzFKQNo.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,480" data-origin="720px,480px" style="width: 720px; height: 480px; transform: rotate(0deg);" data-index="0"><figcaption style="margin-top: 0px;"><div>"คุณเมก้า - รัศเมฆ ศรีเศรษฐี"&nbsp;และ&nbsp;"คุณอัศวิน พละพงศ์พานิช"</div></figcaption></figure></div>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้ว่าปัจจุบัน "คุณอัศวิน" บริหารงานคู่กับ ภรรยา "คุณเมก้า - รัศเมฆ ศรีเศรษฐี" ผู้ร่วมก่อตั้งและเป็น MD บริษัท DeeMoney แต่กว่าจะสามารถทำงานเป็นพาร์ทเนอร์ชิพที่เข้าอกเข้าใจกันมากขนาดนี้ ก่อนหน้าก็มีปัญหาในทุกๆ วันที่ต้องเรียนรู้ปรับจูนกันกว่าจะลงตัวเหมือนเช่นทุกวันนี้ "ผมว่าเป็นอะไรที่เราต้องเรียนรู้กันทุกวัน ปรับจูนกันทุกวันเพราะว่า Startup DeeMoney ในตอนต้นที่เพิ่งเปิดตัวแรกๆ ถือว่าทีมงานมีน้อยมากต้องทำเองทุกอย่าง เรียกได้ว่าผู้ก่อตั้งทั้งสองหรือทีมคู่สามีภรรยาวุ่นวายมาก ความเห็นเราก็จะมีที่ไม่ตรงกัน แต่ตอนนี้ถือว่าเรามีทีมแล้ว ต่อให้จะเปิดอีก 10 Startup ก็รู้จักกันดีแล้วไม่ต้องจูนอะไรกันมากแล้ว"&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุดท้ายนี้ "คุณอัศวิน" มองภาพไกลๆ ของ DeeMoney ในอนาคตว่า ตลาดฟินเทคเป็นอะไรที่กว้างมาก การที่ลูกค้าประทับใจแบรนด์หรือสินค้าและบริการของเรา จะส่งผลให้สินค้าและบริการเติบโตไปได้ดีในอนาคต โดยที่อาจจะพัฒนาเป็น ธนาคารเสมือนจริง (Virtual Bank) ต่อไป หรือจะพัฒนาให้กลายเป็นกระเป๋าเงินในหลากหลายสกุลเงิน ก็คือจะเป็นบริการทางการเงินต่างๆ ที่อยู่ภายใต้ฟินเทคทั้งหมด และทิ้งท้ายไว้ว่าความปรารถนาหรือเป้าหมายของ DeeMoney คือความฝันที่อยากสร้างแบรนด์ของคนไทยที่มีคุณภาพ ทัดเทียมแบรนด์ระดับสากลให้ดังไกลไปทั่วโลก

ชีวิตและธุรกิจต้องไม่หยุดพัฒนา “อัศวิน พละพงศ์พานิช” ตั้งเป้าหมายใหญ่ “DeeMoney” ฟินเทคไทย จาก Startup สู่ตลาดการเงินระดับโลก

<h2>แกร็บ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป กลุ่มธุรกิจการเงินของแกร็บ เดินหน้ายกระดับผลิตภัณฑ์และบริการสินเชื่อ ผ่านการขยายบริการสินเชื่อเพื่อพาร์ตเนอร์คนขับ และผู้จัดส่งอาหารและพัสดุ และการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อพาร์ตเนอร์ร้านค้า โดยเน้นพัฒนาประสิทธิภาพทั้งในด้านการเข้าถึง (Accessibility) และความสอดคล้องกับรูปแบบการใช้ชีวิต (Affordability) ที่เปลี่ยนไป</h2>
พร้อมส่งมอบโซลูชันทางการเงินที่เฉพาะเจาะจง เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายหลากหลายของพาร์ทเนอร์ในการรับมือกับสถานการณ์โรคระบาด และสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19

วรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการ แกร็บ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “ตลอดกว่า 1 ปีที่ผ่านมาถือเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย ไม่ว่าจะเป็นผู้ให้บริการการเดินทางซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง หรือผู้ประกอบร้านอาหารที่ต้องปรับรูปแบบธุรกิจให้เท่าทันพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนไป

แกร็บ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป มีความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายกลุ่มนี้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งเกิดขึ้นจากข้อมูลการใช้งานแอปพลิเคชันแกร็บในทุกๆ วัน เราจึงสามารถนำเสนอทางเลือกด้านผลิตภัณฑ์การเงินที่สอดคล้องกับการใช้ชีวิต และมาตรการช่วยเหลือที่ตอบโจทย์ความต้องการทางเศรษฐกิจและการใช้ชีวิตของผู้ประกอบการกลุ่มนี้อย่างมีประสิทธิภาพ”

ตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาสแรกของปี 2563 แกร็บ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป ได้เร่งให้ความช่วยเหลือแก่พาร์ตเนอร์คนขับ และผู้จัดส่งอาหารและพัสดุที่ใช้บริการสินเชื่อ โดยอาศัยข้อมูลบนแพลตฟอร์มในการระบุมาตรการช่วยเหลือที่เหมาะสมกับแต่ละราย เช่น การหยุดพักชำระสินเชื่อ โดยไม่คิดดอกเบี้ยเพิ่ม สำหรับพาร์ตเนอร์ที่ได้รับผลกระทบรุนแรง

พร้อมนำเสนอสินเชื่อแก่พาร์ตเนอร์คนขับที่มีความจำเป็นต้องใช้สินเชื่ออย่างต่อเนื่อง แม้ภาพรวมของอุตสาหกรรมมีการชะลอตัวของยอดสินเชื่อใหม่* และในเดือนมกราคม 2564 ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์สินเชื่อเงินสดเพื่อพาร์ตเนอร์ร้านค้า เพื่อสนับสนุนการเพิ่มสภาพคล่องในช่วงที่มีมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด ทั้งในการลดภาระต้นทุน และการขยายกิจการเพื่อตอบรับความต้องการของตลาดอย่างทันท่วงที

<figure><img class="wp-image-47065" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/06/แกร็บ-ไฟแนนเชียล-กรุ๊ป_002.jpg" alt="" width="600" height="320" /><figcaption> วรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการ แกร็บ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป ประเทศไทย</figcaption></figure>

นอกจากการให้ความช่วยเหลือในระยะสั้นแล้ว แกร็บ ไฟแแนนเชียล กรุ๊ป ยังอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกในการพัฒนาบริการสินเชื่อให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งในด้านการเข้าถึง (Accessibility) เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการรายย่อยประกอบอาชีพได้อย่างต่อเนื่อง และความสอดคล้องกับรูปแบบการดำเนินชีวิตและสถานภาพการเงิน (Affordability) ของพาร์ตเนอร์คนขับและร้านค้าแต่ละราย ท่ามกลางสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

“ตลอดทั้งปี 2563 เราเล็งเห็นว่าพาร์ตเนอร์คนขับบางส่วนมีจำนวนรอบขับที่ลดลง ซึ่งเป็นผลจากการที่ผู้บริโภคหันมาทำงานจากที่บ้านเพิ่มขึ้น ในขณะที่พาร์ตเนอร์คนขับที่ให้บริการการเดินทาง บางส่วนได้หันมาให้บริการรับ-ส่งอาหารและพัสดุเพื่อชดเชยรายได้ที่หายไป  เราจึงจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลบนแพลตฟอร์มของเรา และปรับผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกัน” วรฉัตร กล่าวเสริม

ในปี 2564 แกร็บ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป ได้ยกระดับผลิตภัณฑ์และบริการสินเชื่อ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของพาร์ตเนอร์   ดังต่อไปนี้

การขยายผลิตภัณฑ์สินเชื่อเพื่อพาร์ตเนอร์คนขับ ผู้จัดส่งอาหารและพัสดุ: ขยายบริการสินเชื่อเพื่อพาร์ตเนอร์คนขับ  และผู้จัดส่งอาหารและพัสดุให้ครอบคลุมในทุกจังหวัดที่แกร็บดำเนินธุรกิจ และเพิ่มตัวเลือกของสมาร์ทโฟนและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็นภายใต้บริการผ่อนชำระสินค้า 0% ให้ครอบคลุมหลากหลายยี่ห้อและรุ่นที่พาร์ตเนอร์ต้องการมากยิ่งขึ้น เพื่อสนับสนุนให้พาร์ตเนอร์สามารถสร้างรายได้และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีอย่างต่อเนื่อง

การนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อเสริมศักยภาพพาร์ทเนอร์ร้านค้า: เปิดตัวบริการสินเชื่อเงินสดเพื่อพาร์ตเนอร์ร้านค้า ในเดือนมกราคม 2564 ที่ผ่านมา เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน และเสริมสภาพคล่องให้ร้านค้าสามารถฝ่าวิกฤตต่อไปได้ และเตรียมนำเสนอบริการผ่อนชำระสินค้ารายวัน 0% แก่พาร์ทเนอร์ร้านค้า ภายในสิ้นเดือนมิถุนายนปีนี้ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการร้านอาหารในการต่อยอดธุรกิจ และแบ่งเบาภาระการลงทุนเครื่องใช้ไฟฟ้าในการพัฒนากิจการ

วรฉัตร กล่าวต่อไปว่า “สำหรับทุกผลิตภัณฑ์สินเชื่อของแกร็บ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป เรายังคงเลือกนำเสนอแผนการผ่อนชำระแบบรายวัน ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริการของเราสามารถตอบโจทย์ผู้ประกอบการรายย่อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะผู้ประกอบการกลุ่มนี้มีรายได้เป็นรายวัน ดังนั้น การต้องทยอยเก็บเงินมาชำระคืนเป็นรายเดือนจึงอาจสร้างความรู้สึกว่าเป็นภาระที่ค่อนข้างสูง ในขณะที่การผ่อนชำระรายวัน รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรมและเหมาะสมสามารถช่วยให้บริหารจัดการค่าใช้จ่าย และลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบได้

นอกจากนี้ ยังออกแบบประสบการณ์ให้สะดวกและรวดเร็ว โปร่งใสและเข้าใจง่าย โดยนำเสนอสินเชื่อแก่คนขับและร้านค้าที่ผ่านเกณฑ์ และพาร์ทเนอร์สามารถเลือกวงเงินและระยะเวลาการผ่อนชำระได้เองผ่านแอปพลิเคชัน โดยไม่ต้องยื่นเอกสารเพิ่มเติม ก่อนจะดำเนินการโอนเงินภายใน 1 วัน

อีกทั้งยังนำเสนอบริการผ่อนชำระสินค้าด้วยอัตราดอกเบี้ย 0% ซึ่งถือเป็นการนำบริการทางการเงินที่มักนำเสนอให้แก่เฉพาะกลุ่มพนักงานประจำและผู้ถือบัตรเครดิต มานำเสนอให้แก่กลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยอีกด้วย”

“แนวทางในการนำเสนอบริการสินเชื่อที่แกร็บ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป ได้ยึดถือมาตลอดการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยเป็นเวลากว่า 2 ปี เป็นการตอกย้ำถึงพันธกิจของเราในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคม ผ่านการนำเสนอเทคโนโลยีด้านการเงินที่มีความยืดหยุ่นบนแพลตฟอร์มของแกร็บ

ในขณะเดียวกัน ความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายอย่างลึกซึ้งจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจของเรา โดยเราจะเดินหน้าพัฒนาการให้บริการทางการเงินอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบบริการทางการเงินที่เหมาะสม เป็นประโยชน์ และตรงกับความต้องการของกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนให้พวกเขาสามารถก้าวข้ามวิกฤติไปได้” วรฉัตร กล่าวสรุป

*รายงานผลการดำเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์ ปี 2563 โดยธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า สินเชื่ออุปโภคบริโภคที่ให้บริการโดยธนาคารพาณิชย์ในปี 2563 ขยายตัว 4.6% ลดลงจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัว 7.5% 

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/other/%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%AA-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B8%B5-3.html">เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ฯ เปิดตัวกลุยทธ์ “น่านน้ำสีม่วง” เตรียมความพร้อมสร้างความต่าง</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

แกร็บ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป สนับสนุนพาร์ตเนอร์คนขับและร้านค้าฝ่าวิกฤต

<h2>ณ สำนักงานใหญ่ Ascend Group บนชั้น 18-19 อาคาร AIA Center ย่านรัชดาภิเษก ทีมงาน Forbes Thailand พบ ปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา วัย 43 ปี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซนด์ กรุ๊ป จำกัด ในสถานที่ทำงานอันทันสมัย ปุณณมาศทักทายเราด้วยบุคลิกกระฉับกระเฉง พร้อมสนทนาถึงการตั้งเป้าให้รายได้ของบริษัทเดินไปสู่ 6.9 พันล้านบาทในปีนี้ และการให้ Ascend Money เป็นธุรกิจแฟล็กชิพ มีแรงหนุนจากการจับมือกับ Ant Financial Services บริษัทในเครือ Alibaba Group เพื่อให้บริการครอบคลุม 100 ล้านคนให้ได้ภายในปี 2563</h2>
&nbsp;
<h2>ท้าทายไม่สิ้นสุด</h2>
ปุณณมาศเคยทำงานในบริษัทเทคโนโลยีและโทรคมนาคมหลายแห่ง เช่น บริษัท ทีเอ ออเร้นจ์ จำกัด (ต่อมาคือบริษัท ทรู มูฟ จำกัด) AT&amp;T Wireless, Ericsson International และ Singtel Group

“ตั้งแต่ผมเลือกทำงานในสายงานนี้ก็รู้ว่า วันหนึ่งเทคโนโลยีจะไปถึงจุดที่เราไม่ได้สื่อสารด้วยเสียงเพียงอย่างเดียว แต่มีเรื่องของข้อมูลมากมายที่ไหลเวียนเต็มไปหมด ฉะนั้นบทบาทของผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือก็ต้องเปลี่ยนไป” เขาเริ่มต้นบทสนทนา

<figure><img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/fc3293c04b0dfc7edfe1c508c486a621.png" alt="" width="340" height="536" /><figcaption> ตัวอย่างหน้าจอแอพพลิเคชั่น TrueMoney อี-วอลเล็ท</figcaption></figure>

เมื่อโลกเข้าสู่ยุคการเงินดิจิทัล กลุ่มทรู หนึ่งในผู้ให้บริการโทรคมนาคมของไทยก็จำเป็นต้องปรับตัว โดยเริ่มให้บริการทางการเงินในชื่อแบรนด์ TrueMoney เมื่อธุรกิจแข่งขันสูงขึ้น Ascend Group จึงถือกำเนิดในเดือนมิถุนายน ปี 2558 นำธุรกิจการเงินและการค้าดิจิทัลบางประเภทของกลุ่มทรูมาบริหาร พร้อมมอบหมายให้ปุณณมาศซึ่งเป็นผู้บริหารของ TrueMoney มาก่อนเป็นผู้นำทัพ

สามขาหลักขององค์กรคือ Ascend Money ดำเนินธุรกิจฟินเทคใน 6 ประเทศ คือ ไทย เมียนมา กัมพูชา เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ มีแบรนด์ TrueMoney เป็นอี-วอลเล็ท (กระเป๋าเงินออนไลน์) ที่สามารถเติมเงินโทรศัพท์มือถือ จ่ายบิล โอนเงิน และซื้อบัตรเงินสด และมีธุรกิจปล่อยสินเชื่อคือ Ascend Nano ปล่อยกู้ให้ซัพพลายเออร์ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซี.พี.) อีกส่วนคือปล่อยกู้ให้ลูกค้ารายบุคคลผ่านอี-วอลเล็ทที่มีอยู่แล้ว

ธุรกิจต่อมาคือ อี-คอมเมิร์ซ ซึ่งมีทั้ง B2B ได้แก่ พันธวณิช บริการระบบจัดซื้อจัดจ้างอิเล็กทรอนิกส์แก่ภาครัฐและเอกชน และ B2C ได้แก่ Weloveshopping และ Wemall

สุดท้ายคือธุรกิจ cloud computing และ data center ในชื่อ True IDC ทั้งยังมี Egg Digital เป็นธุรกิจย่อยที่ให้บริการด้านการตลาดดิจิทัล

<figure><img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/dc4aae3854bbb5414cba6aa68de30f33.png" alt="" width="680" height="306" /><figcaption> หน้าเว็บไซต์ Weloveshopping ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซแบบ B2C ของ Ascend Group</figcaption></figure>

คู่แข่งสำคัญของธุรกิจอี-วอลเล็ทคือการตื่นตัวกับอี-มันนี่ของธนาคาร เขาขยายความว่า จุดแข็งของธนาคารคือการมีฐานลูกค้าและทรัพยากรจำนวนมาก อี-วอลเล็ทจึงเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าซึ่งธนาคารเข้าไม่ถึง หรือไม่ต้องการเข้าถึงเพราะไม่คุ้มทุน เช่น กลุ่มผู้มีรายได้ไม่พอต่อการทำบัตรเครดิตซึ่งมีหลายสิบล้านคน หรือกลุ่มที่ไม่ต้องการใช้บัตรเครดิตออนไลน์

และเมื่อขยายธุรกิจนี้ออกไปต่างประเทศก็พบว่าในเมียนมามีผู้ที่เข้าไม่ถึงระบบธนาคารสูงถึงราว 90% อินโดนีเซีย 80% ฟิลิปปินส์ 75% Ascend Group จึงต้องการขยายบริการให้ครอบคลุมกลุ่มดังกล่าวภายใน 10-20 ปีนี้

&nbsp;
<h2>โตให้ไวในตลาดดิจิทัลอาเซียน</h2>
ปลายปีที่ผ่านมา Ascend Group เรียกเสียงฮือฮาด้วยการจับมือ Ant Financial Services ผู้ให้บริการการเงินออนไลน์ เช่น Alipay ในเครือ Alibaba Group ซึ่งปัจจุบันถือหุ้นใน Ascend Money ราว 20% และมีความเป็นไปได้ที่จะถือหุ้นเพิ่มขึ้น ซึ่งมาเสริมแกร่ง 3 ด้าน คือ โนว์ฮาวธุรกิจ โนว์ฮาวเทคโนโลยี และพันธมิตรธุรกิจ ซึ่งทำให้ Ascend Money สามารถเจรจาได้ทั้งจีน อินเดีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

<figure><img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/639d50f8ea67e7372c55336850aea72b.png" alt="" width="680" height="453" /><figcaption> ธนินท์ เจียรวนนท์ (ซ้าย) และ Jack Ma (ขวา) ในวันที่ Ascend Group ผนึกกำลังกับ Ant Financial Service</figcaption></figure>

ปุณณมาศจึงตั้งเป้าให้ Ascend Money ครอบคลุมผู้ใช้บริการ 100 ล้านคนภายในปี 2563 จากขณะนี้ซึ่งอยู่ที่ราว 26 ล้านคน “เรามีโอกาสก้าวไปถึงการให้บริการผู้คน 100 ล้านคนแน่ๆ อย่างเดียวที่จะทำให้ไปไม่ถึงก็คือตัวเราเอง เราไม่ได้ขาดโอกาสหรือทรัพยากร ดังนั้นต้องสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นว่าเราทำได้”

ทว่า อุปสรรคในแต่ละประเทศคือกฎเกณฑ์ที่ต่างกัน Ascend Money จะก้าวสู่ประเทศอื่นได้ก็ต้องมีใบอนุญาตให้บริการการเงินอิเล็กทรอนิกส์เสียก่อน บริษัทจึงดำเนินการขอใบอนุญาตเองในไทยและเมียนมา ส่วนอีก 4 ประเทศ คือ กัมพูชา เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ใช้กลยุทธ์เข้าซื้อบริษัทที่ถือใบอนุญาตอยู่แล้วประเทศละ 1 บริษัท

<figure><img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/e2e59194b6469704d55d33cc4e1136f4.png" alt="" width="340" height="623" /><figcaption> บุคคลต้นแบบของ ปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา</figcaption></figure>

กัมพูชามีความพร้อมและเดินหน้าได้ดี ทุกวันนี้มีเงินหมุนผ่านระบบของ Ascend Money เฉลี่ย 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯต่อเดือน เทียบเป็นเปอร์เซนต์แล้วกัมพูชามีอัตราการเติบโตของธุรกิจสูงสุด แต่หากมองมูลค่า อินโดนีเซียถือว่าเติบโตกว่าเพราะมีประชากรมากกว่า แต่ก็มีความท้าทายเพราะอินโดนีเซียมีกว่า 10,000 เกาะ แนวคิดของการโอนเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ก็ยังเป็นเรื่องใหม่

ปุณณมาศกล่าวถึงรายได้รวมของ Ascend Group ปีที่ผ่านมาว่าอยู่ที่ราว 6.3 พันล้านบาท Ascend Money สร้างรายได้มากสุดที่ราว 55% พันธวณิช 28-29% อีก 16-17% มาจาก cloud computing, data center และบริการด้านการตลาดดิจิทัล มีรายได้จากในประเทศและต่างประเทศ 80% และ 20% ปีนี้เขาวางเป้าหมายเติบโตให้ถึง 6.9 พันล้านบาท และจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเป็น 50% ภายในปี 2563

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/edf0d8016038c25c96719b4ec594d5dd.png" alt="" />

Ascend Group จะยังสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจฟินเทคในอาเซียน ควบคู่กับการเป็นผู้นำในธุรกิจอี-คอมเมิร์ซแบบ B2B ในนามพันธวณิช เขาคาดว่าปีนี้พันธวณิชจะโตราว 40% จากเดิมที่โต 5-10% ต่อปี

ส่วน B2C ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วในไทยมีมูลค่าการซื้อขายราว 2-3% ของมูลค่าการค้าปลีกทั้งหมด เขามองว่าไทยยังโตได้อีกมาก แต่ไม่แน่ใจว่าจะถึง 10% หรือไม่ เพราะโมเดิร์นเทรดถูกสร้างมาดีและมีการแข่งขันสูง เช่นเดียวกับ Ascend Capital ที่เป็น venture capital (VC) ปีนี้คงยังไม่ทุ่มลงทุน

&nbsp;
<h2>สร้างโอกาสให้ทุกคน</h2>
บริษัทมีพนักงานราว 2,800 คน ใน 6 ประเทศ โดยอยู่ในไทยราว 1,600 คน อายุเฉลี่ยคือ 29 ปี และมีแนวโน้มลดลง ปุณณมาศจึงสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้สอดคล้องกับพฤติกรรมคนรุ่นใหม่และคล้ายคลึงกับรูปแบบของสตาร์ทอัพ คือมีความคล่องตัวและปรับตัวได้เร็ว

“องค์กรนี้จะประสบความสำเร็จได้ก็ด้วยการมีบุคลากรที่ดี ไม่ใช่เพราะเรามีเทคโนโลยีที่ดี เราต้องการเป็นสถาบันที่สร้างบุคลากรที่ดี” ปุณณมาศ บอกหนักแน่น เขายอมรับว่าแวดวงการเงินดิจิทัลมีการแข่งขันสูง และทุกบริษัทต่างก็ต้องการบุคลากรฝีมือฉกาจไปร่วมงาน เรื่องเงินจึงเป็นเรื่องสำคัญแต่ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด เพราะสิ่งจูงใจลำดับต้นๆ ที่ทำให้บุคลากรเชื่อมั่นคือพันธกิจขององค์กร
<iframe id="instagram-embed-0" class="instagram-media instagram-media-rendered" src="https://www.instagram.com/p/BU_31MxliBy/embed/?cr=1&amp;v=7&amp;wp=340&amp;rd=http%3A%2F%2Fforbesthailand.com&amp;rp=%2Fpeople-detail.php%3Fdid%3D1740#%7B%22ci%22%3A0%2C%22os%22%3A2202.175000000352%7D" height="544" frameborder="0" scrolling="no" allowfullscreen="allowfullscreen" data-instgrm-payload-id="instagram-media-payload-0" data-mce-fragment="1"></iframe>

นอกจากนี้ เขายังไม่ยึดติดความอาวุโส หากพนักงานคนไหนอายุน้อยแต่ความสามารถเปล่งประกายก็มีโอกาสเติบโต แต่ปุณณมาศก็ไม่ละเลยพนักงานอายุ 30-40 ปีขึ้นไปที่สั่งสมประสบการณ์มานาน เพราะคนกลุ่มนี้มีความสุขุมและมองอะไรได้รอบด้านมากกว่า เมื่อผนวกความคิดของคน 2 รุ่นเข้าด้วยกันก็ผลักให้องค์กรเดินไปข้างหน้าได้

“ถ้าคุณมีความฝันและมีความตั้งใจสูงคุณก็สามารถสร้างสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นจากในประเทศไทยและเติบโตไปไกลในระดับโลกได้” ปุณณมาศปิดท้ายพร้อมรอยยิ้ม

&nbsp;

<hr />

<a href="https://goo.gl/PHHCQw">คลิกอ่าน "ปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา ปั้น Ascend Group รุกตลาดดิจิทัลอาเซียน" ฉบับเต็ม ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ พฤษภาคม 2560 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="https://goo.gl/PHHCQw"><img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/ce332a7d68848adbf8b65d73e9329ca9.png" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events