<h2>ราคาทองคำร่วงแรง แค่ช่วงเช้าวันที่ 23 เม.ย. 68 เปลี่ยนแปลงถึง 16 ครั้ง ลดลงรวม 1,500 บาท ฝั่งนักวิเคราะห์คาดแนวรับ 52,500 บาท จากแรงขาย แต่ไตรมาส 2/68 ยังอยู่บนปัจจัยเดิมทั้งสงครามการค้าที่อาจทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอย และความต้องการซื้อทองคำเพื่อลดรับมือความเสี่ยงที่เกิดขึ้น</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สมาคมค้าทองคำ เปิดเผยราคาทองคำช่วงเช้าวันนี้ (23 เม.ย.) เพียง 2 ชั่วโมงกว่า ราคาทองคำเปลี่ยนแปลง 16 ครั้ง โดยปรับตัวลดลง 13 ครั้ง (รวม 1,500 บาท) เพิ่มขึ้น 3 ครั้ง (รวม 150 บาท) ล่าสุดช่วง 11.47 ราคาทองคำแท่งขายออกอยู่ที่ 53,100 บาทต่อบาททองคำ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ราคาทองคำมีความผันผวนมาก สะท้อนจากเมื่อ 22 เม.ย. 68 พบว่าราคาทองคำเปลี่ยนแปลงรวม 36 ครั้ง โดยเมื่อวานนี้ปิดตลาดที่ระดับ 54,450 บาทต่อบาททองคำ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตามช่วงที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นตามความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย&nbsp;ทั้งจากกระแสการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) และความเสี่ยงจากนโยบายทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เพิ่มความกังวลต่อการถดถอยของเศรษฐกิจโลก รวมถึงความต้องการทองคำของธนาคารกลางประเทศต่างๆ คาดว่าปัจจัยเหล่านี้ยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 2 ปี 68 นี้​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/vMUi7UHwEPxu4uJU33i9.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="vMUi7UHwEPxu4uJU33i9.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""><figcaption><div>ที่มา สมาคมค้าทองคำ ราคาทองคำ ณ 23 เม.ย. 68</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กลุ่มฮั่วเซ่งเฮง เปิดเผยว่า เมื่อคืนนี้ราคาทองคำโลกลดลง 44 เหรียญสหรัฐ ปิดที่ระดับ 3,379 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ หลังจากทำ All-time high ที่ 3,500 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ หากย้อนดูจะพบว่า ราคาทองคำปรับขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 3,000 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ไปที่ 3,500 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ใช้เวลาเพียง 39 วันเท่านั้น ซึ่งจากผลตอบแทนที่ราว 30% ทำให้มีแรงเทขายทำกำไรออกมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ปัจจัยที่ทำให้ราคาทองคำร่วงลงแรงมาจาก นักลงทุนคลายความกังวลสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลังจาก สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ คาดว่าความขัดแย้งด้านการค้าสหรัฐฯ และจีนจะคลี่คลายลงในไม่ช้า แม้การเจรจากับจีนมีแนวโน้มว่าจะยืดเยื้อ แต่ทั้งจีนและสหรัฐฯ ต่างก็ไม่คิดว่าจะปล่อยให้สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไปโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทางด้านกองทุน SPDR ขายทอง 4.59 ตัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ด้านราคาทองคำในประเทศ คาดว่าจะเผชิญแรงขาย หลังทองโลกขึ้นทดสอบ 3,500 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ แต่ประเมินว่าอาจเหลือ Downside อีกพอสมควร จึงแนะนำใช้กลยุทธ์เชิงรับรอเข้าซื้อสะสมที่ระดับ 53,000 บาทต่อบาททองคำ โดยมีเป้าหมายทำกำไรที่ 54,500 บาท บาทต่อบาททองคำ และตัดขาดทุนหากราคาหลุดแนวรับที่ 52,500 บาทบาทต่อบาททองคำ ลงไป &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วันนี้มีแนวรับอยู่ที่ 53,000 และ 52,500 บาทต่อบาททองคำ โดยมีแนวต้านอยู่ที่ 54,500 และ 54,800 บาทต่อบาททองคำ ภาพ : สมาคมค้าทองคำ,&nbsp;<a href="https://unsplash.com/@pokmer?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash">Jingming Pan</a> on <a href="https://unsplash.com/photos/gold-and-black-metal-tool-iYsrkq5qq0Q?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash">Unsplash</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/bot-trump-tariff-2025-apr-2025" alt="สรุปมุมมองแบงก์ชาติ กรณีสงครามการค้ากระทบไทย เมื่อ ‘ใจ’ ทรัมป์เปลี่ยนไปมา">สรุปมุมมองแบงก์ชาติ กรณีสงครามการค้ากระทบไทย เมื่อ ‘ใจ’ ทรัมป์เปลี่ยนไปมา</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ทองคำร่วงแรง! แค่ช่วงเช้านี้เปลี่ยน 16 ครั้ง ลดลงรวม 1,500 บาท นักวิเคราะห์คาดแนวรับ 52,500 บาท

<h2>เช้านี้ (8 เม.ย. 68) ทั้งราคาทองคำ-และตลาดหุ้นไทยต่างปรับตัวลดลงในช่วงการเปิดตลาด ฝั่งสมาคมค้าทองคำรายงาน ราคาทองคำแท่งขายออก เปิดมาอยู่ที่ 49,200 บาทต่อบาททองคำลดลง 550 บาทจากวันก่อนหน้า ส่วน SET Index เปิดตลาดร่วงลงต่ำสุดที่ 1,073.43 จุด ลดลงมากกว่าร่วงกว่า 50.94 จุด แม้เมื่อวานนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จะออกมาตรการฯ ปรับเกณฑ์ Ceiling &amp; Floor, Dynamic Price Band และห้ามขายชอร์ต เป็นการชั่วคราว</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วันที่ 8 เม.ย. 68 รายงานจากสมาคมค้าทองคำพบว่า ราคาทองคำแท่งขายออกเปิดตลาดอยู่ที่ 49,200 บาทต่อบาททองคำ ลดลง 550 บาทจากวันก่อนหน้า โดยถึงช่วง 10.54 น. ราคาทองคำไทยเปลี่ยนแปลงแล้ว 5 ครั้ง ปรับลดลงรวม 4 ครั้ง (รวม 700 บาท) มีราคาขึ้น 1 ครั้งที่ 100 บาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ภาพรวมและบทวิเคราะห์ราคาทองคำวันนี้ กลุ่มฮั่วเซ่งเฮง เปิดเผยว่า ราคาทอง Spot ลดลงติดต่อกันเป็นวันที่ 3 หลังจาก 2 เม.ย. โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้า ซึ่งทำให้สงครามการค้าโลกรุนแรงขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนเทขายทองคำอย่างต่อเนื่อง และหันไปถือครองสกุลเงินที่ปลอดภัย อย่าง ดอลลาร์สหรัฐฯ ฟรังก์สวิส และเยน โดย กองทุน SPDR ขายทอง 6.02 ตัน<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/nS4a6Dh9m4RFW1AhjjiL.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="nS4a6Dh9m4RFW1AhjjiL.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ นักลงทุนมีความกังวลว่ามาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และการตอบโต้จากประเทศคู่ค้า จะส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย ซึ่งล่าสุดทรัมป์ระบุว่า จีนมีเวลาถึงวันนี้ที่จะยกเลิกมาตรการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ 34% มิฉะนั้นสหรัฐจะภาษีนำเข้าเพิ่มเติมอีก 50%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากปัจจัยทั้งหมดนี้ส่งผลให้โกลด์แมน แซคส์ คาดว่ามีโอกาส 45% ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในอีก 12 เดือนข้างหน้า ขณะที่เจพีมอร์แกน คาดมีโอกาส 60% ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในส่วนของราคาทองคำไทยระบุว่าอาจต้องเจอแรงเทขายอีกครั้ง จึงอาจแบ่งขายทำกำไรก่อน และแนะนำใช้กลยุทธ์เชิงรับ รอเข้าซื้อสะสมที่ระดับ 49,050 บาทต่อบาททองคำ โดยมีเป้าหมายทำกำไรที่ 49,750 บาทต่อบาททองคำ และตัดขาดทุนหากราคาหลุดแนวรับที่ 48,750 บาทบาทต่อบาททองคำลงไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้านตลาดหุ้นไทยอย่าง SET Index เปิดตลาดร่วงลงกว่า 50 จุด โดยมีจุดต่ำสุดช่วงเปิดตลาดที่ 1,073.43 จุด&nbsp;ถึงปัจจุบัน (11.02 น.) ดัชนียังปรับลดลงอย่างต่อเนื่องโดยมีจุดต่ำสุดที่ 1,063.38 จุด ซึ่งลดลง 61.83 จุด จากราคาปิดตลาดวันก่อนหน้าที่ระดับ 1,125.21 จุด สาเหตุเพราะความกังวลว่าสงครามการค้าจะทวีความรุนแรงขึ้น หลังจากประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐฯ และจีน ยังไม่มีท่าทีในการเจรจากันได้ และอาจกระทบต่อเศรษฐกิจโลกให้ชะลอลง <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/igz66y3gt4Cok1YRHdW6.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="igz66y3gt4Cok1YRHdW6.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงเช่นกัน ทำให้เมื่อวานนี้ช่วง 15.00 น. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ออกมาตรการด่วนอย่างการปรับเกณฑ์ Ceiling &amp; Floor, Dynamic Price Band และห้ามขายชอร์ตเป็นการชั่วคราว โดยจะเริ่มใช้ 8 เม.ย. และไม่เกิน 11 เม.ย. 68 โดยระบุเหตุผลในการออกมาตรการนี้ว่าเพื่อรองรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น และสร้างความมั่นใจให้ผู้ลงทุน โดยจะติดตามภาวะตลาดต่อเนื่องทุกวัน พร้อมปรับเปลี่ยนเกณฑ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ที่ประชุมคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อ 7 เม.ย. 2568 จึงได้มีมติอนุมัติปรับปรุงเกณฑ์เกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ดังต่อไปนี้เป็นการชั่วคราว ขณะเดียวกัน ที่ประชุมคณะกรรมการ บมจ. ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ประเทศไทย) (TFEX) ได้มีมติอนุมัติเกณฑ์ TFEX ที่เกี่ยวข้องด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ หลักเกณฑ์เกี่ยวกับราคาเสนอซื้อขายสูงสุดและต่ำสุด (Ceiling &amp; Floor) สำหรับการซื้อขายในแต่ละวันข้างต้น จะไม่ใช้บังคับกับการซื้อขาย DR และ DRx&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนการปรับกรอบราคาซื้อขายแบบ Dynamic Price Band เป็นรายหลักทรัพย์ จากเดิม ±10% จากราคาซื้อขายล่าสุดของหลักทรัพย์นั้น เป็น ±5% จากราคาซื้อขายล่าสุดของหลักทรัพย์นั้น ห้ามการขายชอร์ตทุกหลักทรัพย์เป็นการชั่วคราว ยกเว้น Market Maker สำหรับ SET, mai และ TFEX ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/4jTV7gtMPi1dTm9LBE3k.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="2" data-file-name="4jTV7gtMPi1dTm9LBE3k.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> ​ ภาพ: SET, สมาคมค้าทองคำ, STREAMING,&nbsp;Firefly.Adobe เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/trump-reciprocaltariffs-us-thailand-2-apr-2025" alt="ทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้าฯ แรงเกินคาด! ทำทองพุ่ง - ไทยโดน 37% เสี่ยง GDP โตต่ำ 2% หลังจากนี้รัฐบาลรับมืออย่างไร">ทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้าฯ แรงเกินคาด! ทำทองพุ่ง - ไทยโดน 37% เสี่ยง GDP โตต่ำ 2% หลังจากนี้รัฐบาลรับมืออย่างไร</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

หุ้น-ทองคำไทย เปิดตลาดราคาดิ่งแรง! เหตุคนเทขาย-หนีความกังวลสงครามการค้า (8 เม.ย. 68)

<h2>เช้านี้ (19 มี.ค.) ราคาทองคำไทยเปิดตลาดพุ่งแรง 250 บาท ทำให้ราคาทองคำแท่งขายออกขึ้นสู่ระดับ 48,250 บาทต่อบาททองคำ จากเมื่อวานนี้ที่อยู่ 48,000 บาทต่อบาททองคำ สาเหตุหลักเพราะทองโลกทำ all time high รอบใหม่จากความกังวลสงครามการค้า</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สมาคมค้าทองคำเปิดเผยว่า เช้าวันนี้ 19 มี.ค. 68 ราคาทองคำแท่งขายออกของไทยอยู่ที่ 48,250 บาทต่อบาททองคำ เพิ่มขึ้น 250 จากการปิดตลาดเมื่อวานนี้ที่อยู่ 48,000 บาทต่อบาททองคำ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ทาง ฮั่วเซ่งเฮง ระบุว่าภาพรวมราคาทองคำยังเดินหน้าปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องทะลุ 3,000 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ขึ้นไปทำ&nbsp;all time high รอบใหม่ที่ 3,038 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ เนื่องจากความกังวลที่สงครามการค้าจะรุนแรงขึ้นและทิศทางที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ จะเรียกเก็บภาษีเหล็กและอลูมิเนียมที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ ในอัตรา 25% ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2568 และเตรียมใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ในวันที่ 2 เมษายน 2568 นี้รวมถึงยังมีสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางทำให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ส่วนกองทุน SPDR ถือครองทองคำเท่าเดิม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ในทางเทคนิคพบว่ามีแท่งเทียนสีเขียวแท่งยาวและราคาทองคำปิดใกล้ high ของวัน ใกล้ระดับสูงสุดของ all time high ในขณะที่สัญญาณทางเทคนิคทั้ง MACD และ Modified Stochastic ยังส่งสัญญาณการปรับตัวขึ้น อย่างไรก็ตามอาจมีแรงเทขายเล็กน้อยทำให้มีโอกาสย่อมาที่บริเวณ 3,015 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์​&nbsp; &nbsp; ปัจจัยที่นักลงทุนต้องติดตามในคืนนี้ ได้แก่ การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) โดยตลาดคาดว่า&nbsp;Fed&nbsp;จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับเท่าเดิมและรอฟังถ้อยแถลงเพิ่มเติมจากประธานธนาคารกลางสหรัฐ&nbsp; &nbsp; ทั้งนี้ กรอบการเคลื่อนไหวในวันนี้ (19 มี.ค. 68) มองว่าแนวรับอยู่ที่ 3,015 และ 3,000 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ แนวต้านอยู่ที่ 3,040 และ 3,060 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ส่วนทองคำไทยคาดว่าแนวรับอยู่ที่ 47,900 บาทและ 47,750 บาทต่อบาททองคำส่วนแนวต้านอยู่ที่ 48,300 และ 48,400 บาทต่อบาททองคำ Image by <a href="https://pixabay.com/users/stevebidmead-249424/?utm_source=link-attribution&amp;utm_medium=referral&amp;utm_campaign=image&amp;utm_content=513062">Steve Bidmead</a> from <a href="https://pixabay.com//?utm_source=link-attribution&amp;utm_medium=referral&amp;utm_campaign=image&amp;utm_content=513062">Pixabay</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/ezy-sweet-famous-thai-dessert" alt="รู้จัก ‘คุณเก๋ขนมหวาน’ ขายขนมไทยเข้า 7-Eleven ยอดขายปีละ 100 ล้านชิ้น">S</a><a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/scb-eic-th-2025-mar-2025" alt="CB EIC ชวนเจาะลึก 4 แผลเป็นทางเศรษฐกิจ ต้นเหตุไทยฟื้นตัวช้า ‘รั้งท้ายโลก’">CB EIC ชวนเจาะลึก 4 แผลเป็นทางเศรษฐกิจ ต้นเหตุไทยฟื้นตัวช้า ‘รั้งท้ายโลก’</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ทองพุ่ง 250 บาท! ทองคำแท่งขายออก 48,250 บาท เหตุทองโลกทำ all time high รอบใหม่

<h2>ราคาทองคำยังปรับตัวเป็นขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเช้าวันที่ 14 มี.ค. 68 สมาคมค้าทองคำรายงานว่า ราคาทองคำแท่ง 96.5% ของไทยเปิดตลาดช่วงเวลา 9.07 น. ราคาอยู่ที่ 47,500 บาทต่อบาททองคำ เพิ่มขึ้น 500 บาท จากราคาปิดตลาดเมื่อวานนี้</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สาเหตุหลักที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นแรง ทางกลุ่มฮั่วเซ่งเฮง มองว่าราคาทองคำโลกปรับตัวขึ้นแรงทำ All-time high ที่ 2,989 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ จากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า โดยโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐขู่จะเรียกเก็บภาษีผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์และไวน์นำเข้าจาก EU สูงถึง 200% หลังจากที่ EU ประกาศเรียกเก็บภาษีวิสกี้ที่นำเข้าจากสหรัฐฯ ในอัตรา 50% รวมถึงสหรัฐได้มีการเปิดเผยดัชนี PPI เดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 3.2% ต่ำกว่าตลาดคาด และต่ำกว่าครั้งก่อน ส่วนกองทุน SPDR ซื้อทอง 7.17 ตัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม จากราคาทองคำปรับตัวขึ้นทะทุแนวต้านสำคัญที่ 2,950-2,955 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ และมีแรงซื้อเข้ามาอย่างแข็งแกร่ง ขณะที่สัญญาณทางเทคนิคจาก Modified Stochastic ยังบ่งชี้การปรับตัวขึ้นได้ต่อ มีโอกาสปรับตัวขึ้นแตะ 3,000 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ โดยมีแนวรับที่ 2,965 และ 2,950 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ และมีแนวต้ายที่ 2,955 และ 3,000 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนราคาทองคำไทย ในส่วนของทองคำแท่งราคาทะลุ 47,000 บาทต่อบาททองคำ คาดว่ายังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อได้ โดยมีแนวรับที่ 47,250 และ 47,100 บาทต่อบาททองคำ และมีแนวต้ายที่ 47,650 และ 47,800 บาทต่อบาททองคำ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/dWj4jQ5fX6VT7FAvkqMo.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="dWj4jQ5fX6VT7FAvkqMo.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,480"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในด้านภาพรวมเดือน มี.ค. ฝั่ง ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ สมาคมค้าทองคำ&nbsp;กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำประจำเดือน มี.ค. 2568 ปรับเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือน ก.พ.2568 ที่ผ่านมา จากระดับ 72.67 จุด มาอยู่ที่ระดับ 74.48 เพิ่มขึ้น 1.81 จุด หรือคิดเป็น 2.49% โดยปัจจัยที่ทำให้ดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้นนั้น ได้แก่ ความต้องการซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย นโยบายทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ แรงซื้อทองคำจากธนาคารกลางชาติต่าง ๆ ทั่วโลก แรงซื้อเก็งกำไร และความตึงเครียดของสงครามการค้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ การคาดการณ์กรอบราคาทองคำในเดือน มี.ค. 2568 ของผู้ประกอบกิจการค้าทองคำรายใหญ่มองว่า ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 2,783 - 2,983 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ด้านราคาทองคำแท่งในประเทศความบริสุทธิ์ 96.5% ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 45,900 - 47,900 บาทต่อบาททองคำ และด้านค่าเงินบาทมีกรอบเฉลี่ยบริเวณ 33.09 - 34.54 บาท ต่อเหรียญสหรัฐ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้น หากจะวางแผนลงทุนทองคำในเดือน มี.ค. 2568 มองว่าราคาทองคำยังคงได้รับแรงหนุนจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งเป็นผลจากนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล “ทรัมป์” ที่เพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากหลายประเทศ และภาวะสงครามทั้งในยูเครนและตะวันออกกลาง ปัจจัยเหล่านี้กระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ส่งผลให้ราคาทองมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น สำหรับการลงทุนในช่วงนี้คือการเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัวลง และทยอยขายทำกำไรเมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้น โดยนักลงทุนควรติดตามแนวรับและแนวต้านสำคัญ รวมถึงปัจจัยเสี่ยงที่อาจกระทบต่อราคาทองคำเพื่อประกอบการวางแผนการลงทุน ภาพ:&nbsp;สมาคมค้าทองคำ,&nbsp;<a href="https://firefly.adobe.com/public/t2i?id=urn%3Aaaid%3Asc%3AAP%3Ae5fb0906-583b-429f-b764-8f9a0841508b&amp;ff_channel=shared_link&amp;ff_source=Text2Image" alt="firefly.adobe">firefly.adobe</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/e-fcd-scb-usd-gold-trade-mar-2025" alt="ไทยพาณิชย์ ผนึก ฮั่วเซ่งเฮง เปิดบริการ ‘เทรดทองคำออนไลน์’ ผ่านบัญชี e-FCD จากทาง SCB บนแอป USD GOLD TRADE">ไทยพาณิชย์ ผนึก ฮั่วเซ่งเฮง เปิดบริการ ‘เทรดทองคำออนไลน์’ ผ่านบัญชี e-FCD จากทาง SCB บนแอป USD GOLD TRADE</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ทองคำไทยบวกต่อทะลุ 47,500 บาท! ว่าแต่เดือน มี.ค. 2568 จะวางแผนลงทุนทองคำอย่างไร

<h2>ธนาคารไทยพาณิชย์ ยกระดับบริการดิจิทัล ล่าสุด ร่วมมือกับ ฮั่วเซ่งเฮง เปิดให้บริการ “เทรดทองคำออนไลน์ ชำระหรือรับเงินผ่านบัญชี e-FCD ของ SCB บนแอป USD GOLD TRADE” เพียงเชื่อมต่อบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศอิเล็กทรอนิกส์ ประเภทออมทรัพย์ (e-FCD) ที่แอป SCB EASY ตามขั้นตอนของธนาคาร เข้ากับแอป USD GOLD TRADE จากฮั่วเซ่งเฮง ลูกค้าก็สามารถทำธุรกรรมซื้อ-ขาย ทองคำ 99.99% ด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) ลดแรงกดดัน และความผันผวนของค่าเงินบาท ลงทุนง่าย เริ่มต้นเทรดเพียง 0.1 ทรอยออนซ์ สะดวก รวดเร็วแบบเรียลไทม์</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายรังสิ วงษ์กิจบัญชา ผู้บริหารสายงาน Corporate Banking และ Internation Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “ธนาคารไทยพาณิชย์ เดินหน้าสานต่อกลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch โดยมุ่งเน้นการเปิดตลาด Emerging Wealth เพื่อเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพและต้องการสร้างความมั่งคั่งในระยะแรกเริ่ม ด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงินที่ทันสมัยมาพัฒนาโซลูชันการลงทุนรูปแบบใหม่ๆ ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เราจึงได้ต่อยอดความร่วมมือกับ “กลุ่มฮั่วเซ่งเฮง” ในการเปิดให้บริการ “เทรดทองคำออนไลน์ ชำระหรือรับเงินผ่านบัญชี e-FCD ของ SCB บนแอป USD GOLD TRADE” ซึ่งเป็นการยกระดับประสบการณ์การทำธุรกรรมซื้อ-ขายทองคำ 99.99% ด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) ผ่านแอป USD GOLD TRADE จากฮั่วเซ่งเฮง บริการนี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงการลงทุนทองคำในตลาดโลกได้ง่ายขึ้น เริ่มต้นเพียง 0.1 ทรอยออนซ์ สะดวก ปลอดภัย และสามารถลงทุนได้ทุกที่ เพียงเชื่อมต่อบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศอิเล็กทรอนิกส์ ประเภทออมทรัพย์ (e-FCD) ที่แอป SCB EASY ตามขั้นตอนของธนาคาร เข้ากับแอป USD GOLD TRADE จากฮั่วเซ่งเฮง จะสามารถลงทุนทองคำระดับโลกโดยอ้างอิงราคาทองคำ Live Gold Spot แบบเรียลไทม์ เพิ่มโอกาสในการสร้างผลกำไรจากการซื้อ-ขายทองออนไลน์ด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยลดแรงกดดันและความผันผวนของค่าเงินบาทได้เป็นอย่างดี”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“บัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศอิเล็กทรอนิกส์ ประเภทออมทรัพย์ (e-FCD)” ที่แอป SCB EASY คือการออมเงินด้วยสกุลเงินตราต่างประเทศ สำหรับคนยุคดิจิทัลที่มองหาการออมเงินสมาร์ทหรือลงทุนรูปแบบใหม่ๆ เพื่อสร้างความมั่งคั่ง พร้อมเปิดประตูสู่การต่อยอดการลงทุนในตลาดต่างประเทศและตลาดทองคำ อีกทั้งยังช่วยบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเหมาะสม สำหรับลูกค้าที่ไม่มีบัญชี e-FCD สามารถเปิดบัญชีได้ง่าย ๆ ผ่านแอป SCB EASY โดยไม่ต้องไปสาขา ทำให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมได้ทุกที่ทุกเวลา ตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนยุคใหม่อย่างแท้จริง เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบริการให้นี้จะสามารถช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนรุ่นใหม่เลือกลงทุนในทองคำอีกหนึ่งสินทรัพย์ทางเลือกในการช่วยกระจายความเสี่ยงด้านการลงทุน ท่ามกลางภาพรวมการลงทุนมีความผันผวนสูงทั่วโลก”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง กล่าวว่า “ในปัจจุบัน นักลงทุนให้ความสนใจในการลงทุนทองคำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา Gold Spot ปรับตัวขึ้นแล้ว 8% เนื่องจากภาพรวมการลงทุนมีความผันผวนสูง เราจึงคาดว่าในปีนี้ Gold Spot จะอยู่ที่ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่าจะมีปัจจัยจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ ซึ่งเมื่อจีนตอบโต้ด้วยการเก็บภาษี จะเห็นได้ว่าสหรัฐอาจจะเสียเปรียบ เนื่องจากภาษีที่จีนเลือกเก็บมีผลกระทบต่อสหรัฐค่อนข้างมาก หากต้นทุนของสหรัฐเพิ่มขึ้น จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐแย่ลง ซึ่งจะส่งผลบวกต่อราคาทองคำ และในปีนี้ดัชนีเงินดอลลาร์น่าจะยังแข็งค่าต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ โดยความร่วมมือกับไทยพาณิชย์ในครั้งนี้ จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากแรงกดดันของความผันผวนของค่าเงินบาท และอัตราการแลกเปลี่ยนที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้ อีกทั้งยังยกระดับประสบการณ์การลงทุนซื้อ-ขายทองคำในโลกออนไลน์ สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ตอบโจทย์โลกยุคดิจิทัล และกลุ่มลูกค้านักลงทุนรุ่นใหม่อีกด้วย”&nbsp; &nbsp; ทั้งนี้ สามารถทำการซื้อ-ขาย ทองคำออนไลน์บนแอป USD GOLD TRADE โดยชำระหรือรับเงินผ่านบัญชี e-FCD ของ SCB ได้ง่ายๆ ดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ผู้ลงทุนต้องเปิดบัญชี e-FCD บนแอป SCB EASY โดยเข้าไปที่เมนู “ธุรกรรมของฉัน” เลือก “เปิดบัญชีเงินฝาก” &gt; เลือกเปิด “บัญชี e-FCD” บัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศอิเล็กทรอนิกส์ประเภทออมทรัพย์ &gt; จากนั้นเลือกฝาก “สกุลเงิน USD” ในจำนวนเงินที่ต้องการ และทำตามขั้นตอนจนเสร็จสิ้น&nbsp; &nbsp; - เชื่อมต่อบัญชี e-FCD ของคุณตามขั้นตอนของธนาคาร เข้ากับแอป USD GOLD TRADE ของฮั่วเซ่งเฮง ภาพ: ไทยพาณิชย์&nbsp; เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/special-series/finance-and-investment/alternative-investment-gold-newhigh" alt="เทรนด์ทองคำขาขึ้น">เทรนด์ทองคำขาขึ้น</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ไทยพาณิชย์ ผนึก ฮั่วเซ่งเฮง เปิดบริการ ‘เทรดทองคำออนไลน์’ ผ่านบัญชี e-FCD  จากทาง SCB บนแอป USD GOLD TRADE 

ธนรัชต์ พสวงศ์ ฮั่วเซ่งเฮง เปล่งประกายด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล

<h2>นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2566 - ธนรัชต์ พสวงศ์ พลิกโฉม ฮั่วเซ่งเฮง เปล่งประกายด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล</h2><h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp; </h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธนรัชต์ พสวงศ์ พลิกโฉม ฮั่วเซ่งเฮง เปล่งประกายด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล – ความท้าทายของผู้บริหารหนุ่มที่เข้ามาบริหารกิจการร้านทองของครอบครัวจากรุ่นแรกที่จำหน่ายทองรูปพรรณสู่รุ่น 2 ที่เพิ่มผลิตภัณฑ์ทองคำแท่งภายใต้การดำเนินงานรุ่น 3 ได้ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ เปิดแพลตฟอร์มซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์ นำยอดขายแตะหลักแสนล้าน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ศุภพงษ์ เพชรสุทธิ์ ปลุก “จระเข้” ด้วยนวัตกรรม – ด้วยหน้าที่ที่ต้องดูแลตลาดต่างประเทศได้เห็นผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการติดตั้งกระเบื้องเซรามิกทำให้วิศวกรหนุ่มฝ่ายการตลาดมองเห็นโอกาสที่จะนำมาปรับใช้ในประเทศไทย หลังเป็นลูกจ้างได้ 8 ปี เขาและเพื่อนๆ จึงลาออกจากงานประจำมาร่วมกันสร้างธุรกิจของตนเองในปี 2535&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล WARRIX เปิดเกมรุกเวทีโลก – ชัยชนะของแบรนด์เสื้อผ้ากีฬาสัญชาติไทยที่สามารถแจ้งเกิดในสนามแข่งระดับโลกจากการบุกเบิกตลาดสินค้าลิขสิทธิ์เป็นสปอนเซอร์ทีมฟุตบอลแบบป่าล้อมเมือง และขยายฐานสร้างการรับรู้ยังต่างประเทศพร้อมให้แต้มต่อเสริมความแข็งแกร่งสู่ผู้นำธุรกิจ Sport-Health &amp; Culture&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมธ์วดี ประเสริฐสินธนา นำทัพ “BCAP” บริหารความมั่งคั่ง – การเติบโตมาบนเส้นทางธุรกิจการเงินการลงทุน เป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้แม่ทัพหญิงแห่ง BCAP มีความสามารถที่โดดเด่น สร้างความเชื่อถือให้กับแวดวงการลงทุนเพื่อบริหารความมั่งคั่งได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะความเชี่ยวชาญในการลงทุนต่างประเทศ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นภัทร อัสสกุล ชูเสน่ห์ไทยอวดโฉม “บัญดารา” – โจทย์ธุรกิจที่ได้รับจากครอบครัวให้นั่งเก้าอี้ขุนพลนำทัพโรงแรมในกลุ่มไทยสมุทรและโอเชี่ยน กรุ๊ป ในทายาทรุ่น 3 ประกาศความภาคภูมิโรงแรมเชนไทยสร้างชื่อทั่วโลกพร้อมร่วมขับเคลื่อนอาณาจักรหมื่นล้านข้ามผ่านความท้าทายและเติบโตอย่างแข็งแกร่ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พบการจัดอันดับ “100 TO WATCH” บริษัทเล็กและสตาร์ทอัพมาแรง แห่งเอเชียแปซิฟิก ร่วมอ่านบทความและเรื่องราวธุรกิจอันหลากหลายเพื่อสร้าง “แรงบันดาลใจของผู้ใฝ่ความสำเร็จ” จาก Forbes Thailand ฉบับกุมภาพันธ์ 2566 และอ่านในรูปแบบ e-magazine <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><a href="https://bit.ly/3l3QtLn" alt="https://bit.ly/3l3QtLn" data-image-link="image"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/02/GZNgjurcZ6mXABPbQChz.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="GZNgjurcZ6mXABPbQChz.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="650,853" style="" data-index="0" data-image-link="https://bit.ly/3l3QtLn"></a></figure></div> <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><a href="https://bit.ly/3l3QtLn" alt="https://bit.ly/3l3QtLn" data-image-link="image"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/02/XaXZUGfBDf8mf6rsyvCW.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="XaXZUGfBDf8mf6rsyvCW.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="650,853" style="" data-index="1" data-image-link="https://bit.ly/3l3QtLn"></a></figure></div>

นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2566 - ธนรัชต์ พสวงศ์ พลิกโฉม ฮั่วเซ่งเฮง เปล่งประกายด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล

<h2>ราคาทองคำในไตรมาส 4  มีแนวโน้มขาลงมากกว่าขาขึ้น โดยมีปัจจัย ได้แก่ นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ และธนาคารกลางยุโรป  ความต้องการทองจากจีนและอินเดีย  แรงซื้อขายของกองทุนอีทีเอฟทองคำ รวมทั้งความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในยูเครนและตะวันออกกลาง</h2>
ปีนี้ทองคำกลับมาให้ผลตอบแทนเป็นบวกอีกครั้ง หลังจากปีที่แล้วราคาทองคำในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐลดลง 28% แรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยช่วยพยุงราคาไว้จากสถานการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นในยูเครนและตะวันออกกลาง ทำให้มีความต้องการทองคำถือทองเพื่อกระจายความเสี่ยงจากพอร์ตของนักลงทุนสถาบัน สะท้อนให้เห็นจากแรงเทขายทองคำจากกองทุนอีทีเอฟทองคำในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ที่ลดลงเหลือเพียง 42 ตัน เทียบกับครึ่งปีแรกของปีที่แล้วที่มีแรงเทขายอย่างหนักถึง 580 ตัน

อย่างไรก็ดีราคาทองคำถูกกดดันจากเงินดอลลาร์ในไตรมาส 3 ที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องมาจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาแข็งแกร่ง บางตัวออกมาสูงกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤตในปี 2551 ด้วยซ้ำ และความวิตกกังวลในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ทั้งนี้เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มฟื้นตัวในลักษณะ V shape โดย ในไตรมาส 2 ขยายตัว 4.2% หลังจากที่หดตัวลง 2.1% ในไตรมาส 1 ขณะที่ไตรมาส 2 เศรษฐกิจยูโรโซนไม่ขยายตัวและเศรษฐกิจญี่ปุ่นหดตัวลง 1.7% ทำให้เงินดอลลาร์เทียบกับเงินยูโรและเงินเยนแข็งค่าขึ้น

<img class="img-responsive" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/%E0%B9%8CNEWS/Chart1.png" alt="" />

แนวโน้มราคาทองคำในไตรมาส 4  ขึ้นอยู่กับนโยบายการเงินของธนาคารกลาง (เฟด) และธนาคารกลางยุโรป  (อีซีบี) ความต้องการทองรูปพรรณและทองแท่งจากจีนและอินเดีย  แรงซื้อขายของกองทุนอีทีเอฟทองคำ รวมทั้งสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในยูเครนและตะวันออกกลาง

นโยบายการเงินของเฟดและอีซีบี  มีแนวโน้มที่จะใช้นโยบายที่แตกต่างกันคนละขั้ว แต่จะมีผลลัพธ์เหมือนกันคือเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับเงินยูโรแข็งค่าขึ้นที่จะเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาทองคำ จากเศรษฐกิจสหรัฐที่มีแข็งแกร่งขึ้นทำให้เฟดเริ่มคุมเข้มนโยบายการเงินไม่ว่าจะเป็นการถอนมาตรการคิวอี ที่จะสิ้นสุดในเดือนตุลาคมนี้ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกหลังจากที่ตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับที่ต่ำยาวนาน 6 ปีนับตั้งแต่เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยประมาณกลางปีหน้า ขณะที่ อีซีบี มีนโยบายการเงินที่มีแนวโน้มผ่อนคลายมากขึ้นโดยมีเป้าหมายที่จะกดให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงและอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่ต่ำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและแก้ไขปัญหาเงินฝืด ไม่ว่าจะเป็นนโยบายดอกเบี้ย มาตรการ LTRO รวมไปถึงอาจใช้มาตรการ QE ในอนาคต โดยอัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนลดลงอย่างต่อเนื่องและต่ำสุดในรอบ 5 ปี ส่วนเศรษฐกิจของยูโรโซนถึงแม้ว่าหลุดจากภาวะถดถอยตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปีที่แล้ว แต่ชะลอตัวลงในปีนี้เนื่องจากได้รับผลกระทบจากวิกฤตยูเครน

<img class="img-responsive" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/%E0%B9%8CNEWS/Chart2.png" alt="" />

แรงซื้อขายทองจากอินเดีย จีน และกองทุนอีทีเอฟทองคำ แรงขับเคลื่อนความต้องการทองคำมาจากอินเดียและจีนที่เป็นผู้บริโภคทองคำรายใหญ่รวมกันเกินกว่าครึ่งของความต้องการทั่วโลก อินเดียดูเหมือนมีปัจจัยสนับสนุนให้ความต้องการแข็งแกร่งกว่าจีนในไตรมาส 4 ในปีนี้คนอินเดียได้ซื้อทองถูกกว่าปีที่แล้ว และเศรษฐกิจของอินเดียที่มีแนวโน้มฟื้นตัวหลังได้รัฐบาลใหม่ที่มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจน่าจะปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นแรงซื้อได้ รวมทั้งเทศกาลดิวาลี (เทศกาลแห่งการเฉลิมฉลอง จับจ่าย และมอบของขวัญเป็นเวลา 5 วัน ปีนี้เริ่มวันที่ 23 ตุลาคม) จะช่วยกระตุ้นแรงซื้อด้วย

ราคาทองในอินเดียที่ถูกลงมาจาก 3 ประเด็น คือ ราคาทองตลาดโลกที่ลดลง ค่าเงินรูปีที่กลับมาแข็งค่าขึ้น และค่าพรีเมี่ยมที่ลดลงอย่างมาก ถึงแม้รัฐบาลอินเดียยังไม่มีการปรับลดภาษีนำเข้าทองคำ แต่ยังมีความหวังอยู่เพราะอัตราภาษีนำเข้าที่สูง 10% ในปีที่แล้ว ทำให้มีการลักลอบนำเข้าทองคำผิดกฎหมายในปริมาณมาก ซึ่งทางสภาทองคำโลกประเมินว่ามีราว 200 ตัน หรือราว 1 ใน 5 ของความต้องการทองคำรวม ขณะที่แนวโน้มความต้องการจากจีนในไตรมาส 4 คาดว่าจะไม่แข็งแกร่งมากนัก เนื่องจากเศรษฐกิจจีนยังมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากที่รัฐบาลจีนมีแนวนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจ รวมทั้งนโยบายปราบปรามคอรัปชั่นทำให้การซื้อทองเพื่อเป็นของขวัญในการติดสินบนลดลง

สำหรับความต้องการทองแท่งเพื่อการลงทุนของจีนคาดยังคงเบาบาง เนื่องจากแนวโน้มราคาทองคำในปีนี้มีทิศทางไม่ชัดเจนและแกว่งตัวในกรอบแคบทำให้นักลงทุนทำกำไรได้ค่อนข้างยาก ส่วนกองทุนอีทีเอฟทองคำที่ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนของนักลงทุนสถาบันชาติตะวันตกมีแรงเทขายที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในปีนี้ นับว่าช่วยพยุงราคาทองคำได้ อย่างไรก็ดีนักลงทุนสถาบันและเฮดจ์ฟันด์ยังมีมุมมองต่อราคาทองคำในเชิงลบ ดังนั้นในไตรมาส 4 คาดการณ์จะยังไม่เห็นแรงซื้อที่มีกลับเข้ามาอย่างชัดเจน

การส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาสนี้ก่อนที่จะมีการปรับขึ้นจริงในช่วงกลางปีหน้า น่าจะเป็นปัจจัยหลักที่มีผลต่อราคาทองคำไตรมาส 4  ส่วนสถานการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นในยูเครนและตะวันออกกลางเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาทองคำมีความผันผวน โดยจะทำให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาเป็นระยะในช่วงที่มีข่าวเหตุการณ์รุนแรง ราคาทองคำอาจถูกแรงเทขายในระยะสั้นในช่วงที่เฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนที่ราคาจะเริ่มมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้

คาดการณ์ว่าจุดต่ำสุดของราคาทองคำจะอยู่ที่บริเวณ 1,240-1,250 ดอลลาร์/ออนซ์เป็นระดับที่น่าสนใจในการเข้าซื้อ ซึ่งถือว่าราคาทองคำมี downside risk ต่ำ ขณะที่จุดสูงสุดไตรมาส 4 คาดจะอยู่ที่ 1,350-1,360 ดอลลาร์/ออนซ์
<div>

<hr />

ธนรัชต์ พสวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด

</div>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events