<h2>ช่วงที่ผ่านมา บริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์ของไทยทยอยประกาศผลประกอบการปี 2567 ออกมากันอย่างต่อเนื่อง แต่กลับพบว่าส่วนใหญ่มีรายได้รวมลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 สอดคล้องกับทิศทางการเติบโตของตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2567</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ฝั่งศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้รายงานว่า มูลค่ารวมของยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั้งปี 2567 ลดลงจาก ปี 2566 ประมาณ 6.3% จากปัจจัยลบรอบด้านที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย รวมไปถึงปัญหาของการขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ค่อนข้างลำบาก เพราะสถาบันการเงินเข้มงวดในการอนุมัติวงเงินสินเชื่อ ส่งผลให้การโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2567 ลดลง ทั้งในส่วนของจำนวนและมูลค่ารวม ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่พยายามหาช่องทางในการสร้างรายได้แบบต่อเนื่องตลอดปี 2567 ที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ในปี 2567 ผลประกอบการผู้ประกอบการอสังหาฯ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีรายได้และกำไรสุทธิตามภาพนี้​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/2dboP6YT11Nvq4PLwi2f.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="2dboP6YT11Nvq4PLwi2f.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายสุรเชษฐ กองชีพ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย กล่าวว่า ผู้ประกอบการอสังหาฯ ส่วนใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์มีรายได้รวมในปี 2567 ลดลงคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 15% เมื่อเทียบกับปี 2566 แต่ก็มีผู้ประกอบการบางรายเช่นกันที่มีรายได้เพิ่มขึ้น หรือลดลงจากปีก่อนหน้านี้ไม่มาก หรือลดลงประมาณ 2 - 3% เท่านั้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดที่อยู่อาศัยยังมีกำลังซื้ออยู่ในตลาดต่อเนื่อง ขึ้นอยู่กับว่าผู้ประกอบการรายใดจะเข้าถึงและสามารถดึงดูดให้ผู้ซื้อจองและโอนกรมสิทธิ์ได้มากกว่ากัน&nbsp;สำหรับผู้ประกอบการที่มีรายได้มากที่สุดในปี 2567 ใน 5 อันดับแรก คือ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- แสนสิริ มีรายได้รวมทั้งปี 2567 ประมาณ 39,204 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากปี 2566 &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- เอพี (ไทยแลนด์) มีรายได้รวมประมาณ 37,460 ล้านบาท ลดลง 2.4% จากปี 2566 &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ศุภาลัย มีรายได้ประมาณ 31,985 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.5% จากปี 2566 &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- แลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีรายได้รวม 28,151 ล้านบาท ลดลง 6.7% จากปี 2566 &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- พฤกษาฯ มีรายได้รวม 20,996 ล้านบาท ลดลง 19.7% จากปี 2566&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ใน 5 อันดับแรกนี้ ครองผู้นำตลาดที่อยู่อาศัยมาต่อเนื่องทั้งรายได้และยอดขาย โดยผู้ประกอบการบางรายอาจเคยครองตำแหน่ง อันดับที่ 1 หรือ อันดับ 2 ต่อเนื่องมายาวนาน แต่ด้วยภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป รวมไปถึงโฟกัสของผู้ประกอบการที่เปลี่ยนไปมีผลต่อรายได้รวมเช่นกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนของกำไรสุทธิในกลุ่ม 5 อันดับแรก มีเพียง ศุภาลัย เท่านั้นที่มีผลกำไรเป็นบวกเมื่อเทียบกับกำไรสุทธิของปี 2566 ขณะที่ผู้ประกอบการรายอื่นๆ มีกำไรลดลงไม่มากหรือมีนัยสำคัญอะไรต่อผลประกอบการมากนัก โดยเฉพาะ แสนสิริ และเอพี (ไทยแลนด์) ที่ลดลง 13.3% และ17.1% ตามลำดับ เนื่องจากผลกำไรยังมีมูลค่าเกิน 5 พันล้านบาท ซึ่งกำไรที่ลดลงในปีที่ผ่านมาอาจจะชดเชยกลับมาในปี 2568 นี้ก็เป็นไปได้ แม้ว่าสภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้จะยังไม่ฟื้นตัว และมีทิศทางที่ต้องจับตามองอยู่ก็ตาม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 ผู้ประกอบการรายใหญ่มีแผนจะเปิดขายโครงการใหม่มากกว่าปี 2567 และยังคงเป็นการขับเคี่ยวกันของ 3 รายหลัก คือ เอพี (ไทยแลนด์) ที่ประกาศแผนการลงทุนมีมูลค่าโครงการวมมากถึง 65,000 ล้านบาท จากจำนวน 42 โครงการ ในขณะที่ แสนสิริ เปิดขายโครงการใหม่จำนวน 29 โครงการ เท่านั้น แต่มีมูลค่าโครงการมากถึง 52,000 ล้านบาท โดยโฟกัสไปที่กลุ่มสินค้าระดับบน-ลักชัวรีมากขึ้น ส่งผลให้มูลค่าเฉลี่ยต่อโครงการสูงกว่าผู้ประกอบการรายอื่นๆ และ ศุภาลัย มีโครงการเปิดขายใหม่จำนวน 36 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 46,000 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้วยแรงกดันในตลาดที่อยู่อาศัยยังคงมีต่อเนื่องในปีนี้ แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะลดลงเหลือ 2% แล้วก็ตาม แต่มาตรการช่วยเหลือหรือมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาฯจากรัฐบาลยังไม่มีความเคลื่อนไหว รวมไปถึงการที่ผู้ประกอบการทุกรายพยายามกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทยผ่อนปรนเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อ การผ่อนปรนเกณฑ์ LTV ชั่วคราวเพื่อให้กำลังซื้อส่วนหนึ่งกลับเข้ามาในตลาด แต่ดูเหมือนจะยังไม่ได้รับการตอบรับจากหน่วยงานภาครัฐ หากเป็นแบบนี้เชื่อว่าปี 2568 จะยังเป็นอีกปีที่ตลาดที่อยู่อาศัยต้องเผชิญกับความท้าทายต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ภาพ:&nbsp;คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/kbank-cut-rate-loan-feb-2025" alt="มาแล้ว! KBank ประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% ต่อปีหวังลดภาระลูกหนี้ทุกกลุ่ม มีผล 4 มี.ค. 2568"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/central-retail-2024-revenue" alt="‘เซ็นทรัล รีเทล’ ปี 67 รายได้ทะลุ 262,804 ล้าน ปีนี้ลุยต่อ ขยาย GO Wholesale อีก 4 สาขา">‘เซ็นทรัล รีเทล’ ปี 67 รายได้ทะลุ 262,804 ล้าน ปีนี้ลุยต่อ ขยาย GO Wholesale อีก 4 สาขา</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ธุรกิจอสังหาฯ ไทยปี 67 ยังหดตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ในกลุ่ม Top 5 มีเพียงศุภาลัยที่กำไรฯ ยังบวก

<h2>ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่นิ่งนอนใจ รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในรัฐบาลมีผลให้นโยบายและมาตรการต่างๆ ที่มีแผนจะอนุมัติหรือว่าประกาศใช้ต่อเนื่องมาตั้งแต่รัฐบาลก่อนหน้าต้องชะลอและเลื่อนออกไปจนถึง ช่วงปลายของไตรมาส 3 ที่ผ่านมา แต่ด้วยกำลังซื้อบางส่วนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยังมีอยู่ ประกอบกับมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์จากรัฐบาลที่ประกาศใช้มาก่อนหน้านี้ รวมถึงการกระตุ้นกำลังซื้อของผู้ประกอบการหลายๆ รายผ่านกิจกรรมทางการตลาดที่หลากหลาย ส่งผลให้รายได้และผลกำไรเติบโตต่อเนื่อง และมากกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว</h2><h2> </h2><h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ (Property DNA) กล่าวว่า ผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ที่มีรายได้รวมมากที่สุดในช่วง 9 เดือน ที่ผ่านมาของปี 2567 คือ กลุ่มแสนสิริ มีรายได้เป็น อันดับ 1 จำนวน 28,877 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากการขายบ้านในโครงการจัดสรร โดยเฉพาะกลุ่มบ้านลักชัวรี่ที่มีราคาแพง ส่วนคอนโดมิเนียมมีรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการในต่างจังหวัดในสัดส่วนที่มากกว่ากรุงเทพฯ</h2><h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อันดับ 2 คือ กลุ่มเอพี (ไทยแลนด์) ที่มีรายได้รวม 27,676 ล้านบาท สัดส่วนของรายได้หลักมาจากการโอนกรรมสิทธิ์บ้านแนวราบมากกว่าคอนโดฯเช่นกัน และ กลุ่มศุภาลัยตามมาเป็นอันดับที่ 3 ด้วยรายได้กว่า 22,792 ล้านบาท</h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนผู้ประกอบการอีก 2 รายที่มีรายได้รวม 9 เดือนแรก มากกว่า 10,000 ล้านบาท คือ อันดับที่ 4 กลุ่มเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น&nbsp;ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 14,454 ล้านบาท และอันดับที่ 5 เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 13,534 ล้านบาท<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/cw9LPk8DxVR2G59fWHsi.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="720px,480px" data-align="center" data-file-name="cw9LPk8DxVR2G59fWHsi.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,480" data-origin="720px,480px" style="width: 720px; height: 480px;" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในส่วนของกำไรสุทธิสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ศุภาลัย มีกำไรมากเป็นอันดับ 1 จำนวน 4,201 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 6% เนื่องจากโครงการเปิดขายใหม่บางโครงการได้รับการตอบรับสูงมาก ตามมาด้วย อันดับ 2 กลุ่มแสนสิริ ที่มีกำไร 4,009 ล้านบาท และ อันดับ 3 เอพี (ไทยแลนด์) กำไรสุทธิ 3,727 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตามทั้ง แสนสิริ และ เอพีฯ อาจจะมีกำไรลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่ก็ยังมากเป็นอันดับที่ 2 และ 3 ขณะที่ผู้ประกอบการรายอื่นๆ ที่ ประกาศผลประกอบการออกมาแล้วก็มีผลกำไรที่น่าสนใจ เพราะมีกำไรมากกว่า 1,000 ล้านบาท ทุกราย ซึ่งถือว่าเป็นผลประกอบการที่ดีเมื่อเทียบกับปัญหาต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงที่ผ่านมา<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/kLjBwx4beuwrfQD6Fppt.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="kLjBwx4beuwrfQD6Fppt.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="720,480"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับทิศทางของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาส 4/2567 นี้อาจจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือปัจจัยบวกที่จะมีผลกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของกำลังซื้อมากนัก เพราะสิ่งที่ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยต้องการในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง แต่เป็นเรื่องของการอนุมัติวงเงินสินเชื่อ เพราะปัจจุบันสถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการขอสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยค่อนข้างมาก และไม่ค่อยมีการผ่อนปรนหรือประนีประนอมแบบก่อนหน้านี้ ขณะที่ผู้ประกอบการพยายามตรึงราคาขายไม่ให้สูงเกินไป และมีการลดราคาลงด้วยในบางครั้ง หรือมีมาตรการทางการตลาดอื่นๆ ที่ส่งเสริมช่วยเหลือผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจริงๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้นปีนี้อาจจะเป็นปีที่ไม่ได้เห็นการสร้างรายได้หรือกำไรที่ไม่โดดเด่นมากนัก แต่ก็ประเมินว่าจนถึงสิ้นปีจะมีผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สร้างรายได้และกำไรได้มากกว่าปีที่ผ่านมา และอาจจะมีผู้ประกอบการบางรายที่ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้เมื่อตอนต้นปี ภาพ: Property DNA เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/ttb-usedcar-nov-2024" alt="ttb ลุยสินเชื่อรถมือสอง ตั้งเป้าปี 68 Roddonjai มียอดขาย 5 หมื่นคัน ท่ามกลางตลาดรถใหม่ยังติดลบ"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/awc-performance-throughout-9-months-of-2024-revenue-of-15-billion-baht" alt="AWC โชว์ผลงานตลอด 9 เดือน ปี 67 กวาดรายได้รวม 1.5 หมื่นล้าน ธุรกิจโรงแรมแข็งแกร่งเฉพาะ Q3 กำไรพุ่ง 42%">AWC โชว์ผลงานตลอด 9 เดือน ปี 67 กวาดรายได้รวม 1.5 หมื่นล้าน ธุรกิจโรงแรมแข็งแกร่งเฉพาะ Q3 กำไรพุ่ง 42%</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เปิด 5 อันดับบริษัทอสังหาไทยที่มีรายได้สูงสุดในช่วง 9 เดือนแรกปี 2567

เคล็ดไม่ลับ "ศุภาลัย" คว้าโอกาสลงทุนต่างแดน

<h2>ชายหนุ่มที่เติบโตมากับไซต์งานก่อสร้างบ้าน หัดวาดแปลนบ้านตั้งแต่ 5 ขวบ วันนี้ "ไตร-เตชะ ตั้งมติธรรม" วัย 36 ปี ได้พิสูจน์ฝีมือให้พนักงานศุภาลัยเห็นถึงความพร้อมในฐานะจอมทัพคนต่อไปของอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์</h2>
ในวัยเด็กสนามเด็กเล่นของไตรเตชะ ตั้งมติธรรม คือบ้านตัวอย่างที่เขาวิ่งเข้าออกทุกวัน ตั้งแต่แปดโมงเช้าจนมืดค่ำ แถมพักเหนื่อยด้วยการวาดรูปสัญลักษณ์บนแปลนบ้านแต่ละห้อง นอกจากจะเป็นบุตรคนโตของประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการ และประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) แล้ว ในวันนี้เขายังดำรงตำแหน่งกรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)

“เรารู้เองตั้งแต่ 5-6 ขวบ ไม่ต้องไปเรียน คุณพ่อให้แปลนบ้านมา เรารู้ว่าตรงนี้คือประตู สัญลักษณ์นี้เป็นหน้าต่าง โต๊ะอาหาร ท่านให้มาดูว่าเป็นเราจะจัดห้องอย่างไร เราก็ไปวาดบนแปลนบ้านที่มีอยู่" ไตรเตชะเล่าถึงเส้นทางอสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มต้นด้วยการซึมซับจากบิดา อย่างค่อยเป็นค่อยไปตั้งแต่ยังเล็ก สำนึกในการสืบทอดธุรกิจเกิดขึ้นนับตั้งแต่ที่เขาจำความได้

แม้จะเป็นลูกชายของท่านประธาน แต่การสืบทอดบริษัทมหาชนที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ในตลาดถึง 4.4 หมื่นล้านบาทนั้น หาใช่เรื่องง่าย ตรงกันข้ามกลับกลายเป็นแรงกดดันที่ต้องใช้ผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์

“หลังเรียนจบปริญญาตรี ผมเป็นเซลล์ ทำการตลาด ดูแลโครงการศุภาลัยพาร์ค พหลโยธิน รับลูกค้าติดต่อหน้าสำนักงาน พาไปดูห้อง เป็นคนขาย ไม่ใช่เป็นลูกท่านประธานแล้วได้อภิสิทธิ์ ในความเป็นจริง ผมโดนหนักกว่าคนอื่นเสมอ บางคนอาจจะคิดว่าเลี้ยงมาแบบไม่ให้มือเปื้อนดิน แต่ไม่ใช่แบบนั้น เพราะฉะนั้น เราผ่านมาทั้งหมดแล้ว”

<iframe src="http://www.youtube.com/embed/wP7TrZUhcfo" width="560" height="315" frameborder="0" allowfullscreen="allowfullscreen" data-mce-fragment="1"></iframe>

บทพิสูจน์ฝีมือของเขาเริ่มเมื่อ 7 ปีก่อน กับตำแหน่งกรรมการบริษัทศุภาลัย อิสาน จำกัด ด้วยโจทย์ท้าทายยิ่ง นั่นคือต้องทำกำไรให้กับบริษัทในเครือที่ขาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นหัวใจการลงทุนไปที่ทำเล รุดเข้าถึงทุพื้นที่ก่อนตัดสินใจเก็บที่ดินเข้าพอร์ตของบริษัท เมื่อตีโจทย์แตก ผลสอบมิใช่ผ่านแค่ตัวเลขผลกำไรเท่านั้น แต่ยังรวมการตอบรับจากคนในพื้นที่ ทำให้เขาได้รับความไว้วางใจเดินหน้าโครงการในต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดเชียงใหม่ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี อุดรธานี และขอนแก่น

"เราเป็นลูกท่านประธาน ลูกเจ้าของบริษัท แต่จริงๆ ความคาดหวังมากกว่า ถ้าผมทำอะไรได้ไม่ดีกว่าคนอื่น จะเป็นเพราะผมเป็นลูกคุณพ่อทันที ดังนั้นความกดดันมีมากกว่า ต้องพิสูจน์ตัวเองตลอด”

<hr />

อ่าน "ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม “อำนาจ” ใหม่ของศุภาลัย" ฉบับเต็มใน Forbes Thailand ฉบับ DECEMBER 2014

<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/Covers/COVER%20MARCH-12025.jpg" alt="" />

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events